เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ – ตอนที่ 57 รู้ความจริง

หลินหว่านเงยหน้าขึ้นและมองตามสายตาของเขา  

 

 

ผู้ชายสวมเสื้อเบลเซอร์สีเทาเปิดประตูและโค้งตัวลงอย่างนอบน้อม  

 

 

เนื่องจากเธอเพิ่งออกมาจากบ้านของเฟิงโหลวเฉิง หลินหว่านจึงคุ้นเคยกับมุมมองด้านหลังและใบหน้าที่ดูไม่ชัดนี้ดี นี่ใช่นายกเทศมนตรีหรือเปล่านะ  

 

 

เฟิงโหลวเฉิงไต่เต้าจนมาถึงตำแหน่งนี้ทั้งที่ยังอายุไม่ถึงห้าสิบปีดี เขาถ่อมตัวก็จริง แต่ลึกๆ แล้วเขาก็มีความกระหายอำนาจ  

 

 

แต่ในเวลานี้จิตวิญญาณอันแรงกล้านั้นได้มาบรรจบกันแล้ว  

 

 

หลินหว่านอดสงสัยไม่ได้ว่าใครคือคนที่ทำให้นายกเทศมนตรีอวิ๋นเฉิงเดินตามหลังไปอย่างนอบน้อมเช่นนี้  

 

 

“คุณบอกว่าเธอคือฉินหร่านเหรอ” หลินหว่านลังเลก่อนเหลียวมองหญิงสาวที่ใส่เสื้อลายตารางซึ่งเพิ่งเดินเข้าประตูมา  

 

 

หญิงสาวคนนั้นหันหลังอยู่และเธอไม่ได้ใส่ชุดนักเรียน ตัวเธอครึ่งนึงถูกเฟิงโหลวเฉิงบังอยู่ หลินหว่านเคยเจอฉินหร่านเพียงครั้งเดียวจึงจำเธอไม่ได้  

 

 

เธอเก็บลิปสติกเข้าที่ ยิ้มและค่อยๆ หันไปมอง “จะเป็นเธอไปได้ยังไง คุณต้องตาฝาดแน่ๆ เธอเพิ่งจะออกจากสถานีตำรวจเมื่อคืนนี้ เธอจะมาเจอกับนายกเทศมนตรีตอนนี้ได้ยังไง”  

 

 

คนที่ทำให้เฟิงโหลวเฉิงเดินตามหลังและเปิดประตูให้คือฉินหร่านเหรอ  

 

 

ต่อให้คนทั้งเมืองอวิ๋นเฉิงก็เถอะ หลินหว่านไม่เคยคิดว่าจะมีใครทำให้เฟิงโหลวเฉิงเคารพได้ถึงเพียงนี้เลย  

 

 

 

 

 

**  

 

 

ภายในห้อง ฉินหร่านลากเก้าอี้ไปข้างหน้าต่างแล้วนั่งลง  

 

 

เฟิงโหลวเฉิงรินชาสองแก้วและดันแก้วหนึ่งให้ฉินหร่าน  

 

 

ฉินหร่านเปิดหน้าต่างออก ด้านล่างมีทะเลสาบจำลองอยู่ เธอนั่งเอนหลังบนเก้าอี้แล้วใช้มือซ้ายถือแก้วชาค้างไว้ แต่ไม่ยกดื่ม  

 

 

เฟิงโหลวเฉิงขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่ามือขวาของเธอมีผ้าพันแผลพันอยู่และถามเสียงเครียด “มือของเธอ?”  

 

 

“อาจะกังวลอะไรขนาดนั้น แค่นี้หนูไม่ตายหรอก” ฉินหร่านเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน  

 

 

“พูดบ้าๆ!” นานๆ ทีเฟิงโหลวเฉิงจะแสดงความห่วงใยแบบผู้ใหญ่ “ไม่เป็นไรอะไรของเธอ รู้ไหมว่ามือของเธอน่ะเจ็บหนักแค่ไหน…”  

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินหร่านก็นั่งเท้าคางเอียงคอมองเขา  

 

 

เฟิงโหลวเฉิงชะงักและจ้องมองฉินหร่าน  

 

 

เขาเปลี่ยนเรื่องคุย แต่สีหน้าของเขายังตึงเครียด “ฉันจะพาเธอไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล”  

 

 

“มันไม่เป็นไรจริงๆ” ฉินหร่านพูดแล้วมองฝ่ามือขวาของตัวเองก่อนยิ้มแบบขอไปที “หนูมาหาอาเพื่อคุยเรื่องหมิงเย่ว์”  

 

 

“หมิงเย่ว์เหรอ” เฟิงโหลวเฉิงมองมือของเธอและพยายามบังคับตนเองให้มองไปทางอื่น  

 

 

“เจอกันแล้วเหรอ หล่อนต้องดีใจที่ได้เจอเธอแน่ๆ”  

 

 

ฉินหร่านพยักหน้าและพูดว่า “เราเจอสวี่เซิ่นเมื่อวานนี้”  

 

 

“หมอนั่นเหรอ!” เฟิงโหลวเฉิงสีหน้าถอดสีและแก้วชาก็หล่นโครมลงจากโต๊ะ  

 

 

ฉินหร่านเล่าสรุปเหตุการณ์ให้เขาฟัง  

 

 

“ไอ้สวะนั่น!” เฟิงโหลวเฉิงเกรี้ยวกราด “ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ เดี๋ยวฉันจัดการเอง”  

 

 

“โอเค” อาหารเกือบทั้งหมดที่อยู่บนโต๊ะล้วนเป็นอาหารจานโปรดของฉินหร่าน เธอยกขาขึ้นและเริ่มกินด้วยตะเกียบ  

 

 

ถึงแม้เฟิงโหลวเฉิงจะคิดเรื่องพานหมิงเย่ว์อยู่ แต่สายตาของเขาก็ยังจับจ้องเธอ  

 

 

เขาเรียกให้บริกรเก็บจานทันที “มือเธอเจ็บอยู่ ทำไมถึงกินของเผ็ดล่ะ”  

 

 

ฉินหร่านมองชามชุปเพื่อสุขภาพ: “…”  

 

 

เฟิงโหลวเฉิงสั่งอาหารเพื่อสุขภาพรสไม่จัดให้เธออีกสามสี่จาน  

 

 

เขาก้มหัวลงพึมพำต่อหน้าใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ของฉินหร่าน “ถ้า… ถ้าพวกเขารู้ว่าเธอเจ็บหนักขนาดนี้ในถิ่นฉัน ฉันต้องโดนแล่เนื้อแน่”  

 

 

ฉินหร่านคีบกะหล่ำปลีผัดกับเก๋ากี้สามสี่เม็ดอย่างเฉยเมย  

 

 

เธอไม่รู้สึกปั่นป่วนในหัวใจสักนิดและเธออยากจะหัวเราะออกมาด้วยซ้ำ  

 

 

**  

 

 

 

 

 

ตอนนี้สวี่เซิ่นไม่ล่วงรู้เลยสักนิดว่าความหุนหันพลันแล่นของเขาได้นำพาชายที่ฉลาดและทรงอิทธิพลให้มาเจอกัน  

 

 

คุณสวี่อยู่ในโรงพยาบาลทั้งคืน สวี่เซิ่นได้รับบาดเจ็บหลายจุดและแขนทั้งสองก็หัก ต่อให้เขาหายดี แต่ก็จะมีผลกระทบต่อเขาแน่  

 

 

เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนซ้อมลูกชาย แต่เขาไม่คิดจะปล่อยคนที่ทำร้ายลูกชายเขาจนเจ็บหนักขนาดนี้ไปแน่  

 

 

มันคงเป็นแบบนั้นจนกระทั่งรองอธิบดีเสิ่นบอกทางโทรศัพท์ว่าเขารู้ว่าคนคนนั้นคือฉินหร่าน  

 

 

“ทำไมถึงไม่บอกผมว่าคนเมื่อวานคือฉินหร่าน” คุณสวี่วางโทรศัพท์ลงด้วยหัวใจที่เต้นระส่ำด้วยความโกรธ  

 

 

ย่าสวี่ไม่คิดว่าเขาจะโกรธจัดขนาดนี้ “นั่นใช่นักเรียนที่ลูกสอนหรือเปล่า แม่รู้ว่าลูกชอบเธอ แต่เธอซ้อม…”  

 

 

“ผมบอกแล้วไงว่าสวี่เซิ่นไม่ควรโดนแบบนี้ แม่…” คุณสวี่สูดลมหายใจฮึดฮัด  

 

 

เขาจุดบุหรี่สูบอย่างช่วยไม่ได้และขมวดคิ้วมองตำรวจที่จะมาสอบสวนสวี่เซิ่น  

 

 

เขาไม่กล้าตามหาตัวหรือแม้แต่เผชิญหน้ากับฉินหร่าน  

 

 

ถึงแม้จะมีสายสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์ แต่ฉินหร่านก็อาจไม่ต้อนรับถ้าเขาไป  

 

 

หลังครุ่นคิดอยู่สักพัก คุณสวี่ก็เดินออกมาโทรศัพท์หลายสาย  

 

 

**  

 

 

หลังพบกับเฟิงโหลวเฉิง ฉินหร่านก็กลับห้องเรียน  

 

 

เมื่อเธอกลับไปถึง ชั้นเรียนก็เลิกพอดี  

 

 

มู่หยิงยืนอยู่รอเธออยู่หน้าห้องเรียน  

 

 

“พี่คะ พี่กลับมาแล้วเหรอ” เมื่อเห็นฉินหร่าน มู่หยิงก็ไขว้นิ้วมองลงไปที่มือของเธอก่อนจะค่อยๆ เอ่ยปากถาม “มือพี่โอเคไหมคะ”  

 

 

เช้านี้ทั้งโรงเรียน แม้แต่ในกระทู้ต่างก็พูดคุยกันเรื่องมือที่บาดเจ็บของฉินหร่าน  

 

 

บางคนถึงขั้นไปซื้อช็อกโกแลตกับขนมมากมายเพื่อเอามาให้เธอ  

 

 

ในห้องเรียน เมื่อเฉียวเซิงที่นั่งเอนหลังพูดคุยอยู่เห็นฉินหร่านก็ลุกขึ้นทันที เขาเรียกเธอ  

 

 

“ฉันไม่เป็นไร” ฉินหร่านชำเลืองมอง “อย่าบอกป้าเรื่องนี้นะ เธอกลับไปก่อนได้เลย”  

 

 

มู่หยิงพูด “อ้อ” แต่ไม่ได้กลับไปทันที เธอยืนอยู่นอกหน้าต่างและจ้องเข้ามาในห้องเรียน เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อดูสดใสร่าเริงเดินตรงมาที่โต๊ะของฉินหร่าน ดวงตาของเขาอ่อนโยนขัดกับรูปลักษณ์ที่ดูอวดดีและหยิ่งยะโส  

 

 

เธออดคิดถึงตอนที่หลี่อวี้หานอธิบายถึงเฉียวเซิงไม่ได้ ทายาทรุ่นที่สองของเศรษฐีที่มีเหมืองแร่มากมาย  

 

 

“น้องสาว” คนมากมายเดินเข้าออกห้องสามทับเก้า  

 

 

พวกเขาล้วนยิ้มและทักทายมู่หยิง  

 

 

พวกเขาเลียนแบบฉินหร่านและเรียกมู่หยิงว่าน้อง  

 

 

มู่หยิงเขินและตอบรับ  

 

 

เธอมองผ่านหน้าต่างเข้าไปอีกครั้งก่อนผละไป  

 

 

ในห้องเรียน หลินซือหรานเทน้ำลงไปในกระติกน้ำร้อนของฉินหร่าน  

 

 

“คาบหน้าเป็นวิชาชีวะแล้ว” เมื่อเห็นว่าฉินหร่านดื่มน้ำเสร็จแล้ว เธอก็หมุนฝาปิดและเดินไปช่วยฉินหร่านหาหนังสือ  

 

 

ฉินหร่านมีหนังสือเยอะ  

 

 

เธอมีกระดาษโน้ตและเอกสารมากมาย รวมถึงหนังสือและตำรานอกหลักสูตร นอกจากจะวางเรียงเป็นกองสูงบนโต๊ะยังมีอีกหลายเล่มกระจายอยู่ตามขอบหน้าต่าง  

 

 

ในที่สุดหลินซือหรานก็เจอหนังสือวิชาชีววิทยาจากกองหนังสือจึงดึงออกมา  

 

 

กระดาษแผ่นหนึ่งร่วงลงมา  

 

 

ฉินหร่านชะงักนิ่ง  

 

 

หยุดเพื่อเก็บกระดาษทันที “หร่านหร่าน เธอต้องใช้กระดาษนี้ไหม…”  

 

 

“เธอถามทำไมน่ะ” เฉียวเซิงมองตาม “อย่าบอกนะว่านั่นเป็นจดหมายรัก…”  

 

 

เขาชะงักไปก่อนจะทันพูดจบ  

 

 

กระดาษแผ่นนั้นมีตัวอักษรเขียนด้วยลายมืดหวัดๆ เต็มพรืด ลายมือนั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม  

 

 

 

 

 

——  

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ด้วยว่าพ่อแม่หย่าร้างกันตั้งแต่ยังเล็ก และ ฉินหร่าน ไม่ใช่เด็กประพฤติดี นอกจากจะไม่ตั้งใจเรียนจนผลการเรียนย่ำแย่แล้ว เธอยังหัวรั้นและก่อเรื่องทะเลาะวิวาทจนโดนพักการเรียนไปเป็นปี แตกต่างจาก ฉินอวี่ น้องสาวที่เป็นนักเรียนดีเด่นผู้แสนเพียบพร้อมราวฟ้ากับเหว ด้วยเหตุนี้แม่ของเธอจึงเลือกพาน้องสาวไปอยู่ด้วยเพียงคนเดียวและทิ้งฉินหร่านเอาไว้ท่ามกลางชนบท ปล่อยให้เธอเติบโตเพียงลำพังในความดูแลของคุณยายวัยชรา สองยายหลานร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาสิบสองปี จนกระทั่งวันหนึ่งคุณยายเกิดป่วยหนักอาการโคม่าต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในเมือง ครอบครัวฉินจึงได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง เมื่อคุณยายไม่สามารถดูแลฉินหร่านด้วยตัวเองได้ต่อไปได้อีก แม่ของเธอจึงอาสารับเลี้ยงเธอไว้แทน กระนั้นก็ยังไม่วายเหน็บแนมหญิงสาวอยู่ตลอดว่าอย่าทำตัวน่าขายหน้า ให้เอาอย่างฉินอวี่ผู้เป็นน้องบ้าง กระนั้นกลับไม่มีใครล่วงรู้เลยว่านอกจากฉินหร่านจะมีใบหน้างดงามเกินเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว เธอยังมีอีกหนึ่งตัวตนปริศนาที่ซุกซ่อนเอาไว้อยู่ เพราะใครกันล่ะที่ทำข้อสอบกากบาททุกข้อแล้วผลคะแนนสอบจะออกมาได้เท่ากับศูนย์ในทุกๆ วิชา เธอโง่จริงๆ หรือว่าตั้งใจกันแน่… เช่นเดียวกับ เฉิงเจวี้ยน หมอหนุ่มประจำโรงเรียนที่แสนธรรมดาคนนั้น ทว่า…เขาเป็นแค่หมอประจำโรงเรียนจริงหรือ เมื่อโชคชะตานำพาให้คนสองคนที่ปกปิดตัวตนของตัวเองเอาไว้ได้มาพบกัน หน้ากากของใครจะถูกกระชากออกมาก่อนนะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset