เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ – ตอนที่ 55 ถูกปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้า

รองอธิบดีเสิ่นขาอ่อนเพราะคำพูดของเขา และในมือของเขาก็ชุ่มเหงื่อ  

 

 

“อธิ…อธิบดีเจียง?”  

 

 

ท่านอธิบดีส่ายหัวและเรียกเจ้าหน้าที่หลี่ออกมาสอบถามรายละเอียด  

 

 

ย่าสวี่สังเกตว่ามีบางอย่างผิดปกติ เธอบีบมือตัวเองและมองรองอธิบดีด้วยสายตาฝ้าฟาง “รองอธิบดีเสิ่น เมื่อครู่ฉันได้ยินไม่ค่อยชัด ใครคือท่านอธิบดี”  

 

 

“อธิบดีเจียงหรือเจียงหุยคือคนที่รายงานข่าวช่วงเย็นของอวิ๋นเฉิงทุกวันไง ครั้งนี้คุณทำผมแสบจริงๆ!” รองอธิบดีเสิ่นเช็ดหน้าของเขาและจ้องไปที่เธอ  

 

 

จากนั้นเขาก็ไล่ตามท่านอธิบดีทันที  

 

 

คราวนี้เขาถูกปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้า เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อของสวี่เซิ่นและคิดว่านี่เป็นเพียงความตึงเครียดเล็กน้อยระหว่างนักเรียนมัธยมปลาย ดังนั้นเขาจึงยื่นมือเข้าช่วย  

 

 

ใครจะรู้ว่าแม้แต่เจียงหุยก็มีเอี่ยวด้วย ตอนนี้เขาแทบปกป้องตัวเองยังไม่ได้เลย  

 

 

หนิงฉิงเพิ่งโทรคุยกับทนาย  

 

 

เธอยังไม่ได้เห็นรายงานการบาดเจ็บของสวี่เซิ่น ดังนั้นเธอจึงพูดถึงเรื่องนี้อย่างสั้นๆ หากเธอต้องการจัดการเรื่องนี้แบบลับๆ เธอจะต้องจ่ายค่าชดเชยประมาณแปดหมื่นหยวน  

 

 

นี่เป็นเงินจำนวนเพียงเล็กน้อยสำหรับตระกูลหลิน แต่หลินฉีมีรายละเอียดบันทึกข้อมูลบัตร ของหนิงฉิง  

 

 

หนิงฉิงเดินกุมขมับเข้าไปในสถานีตำรวจ  

 

 

“คุณนายหนิงคะ” ตำรวจหญิงเดินเข้ามาหาอย่างสุภาพ  

 

 

ท่าทางของเธอก็ดูดีแต่ดูแปลกๆ หนิงฉิงเงยหน้าขึ้นมอง “ลูกสาวของฉัน…”  

 

 

“อ๋อ ตอนนี้ท่านอธิบดีกำลังจัดการเรื่องนี้อยู่” ตำรวจหญิงคนนั้นหยิบปากกาขึ้นมาและก้มลงจดบันทึกของเธอ “ลูกสาวของคุณออกจากสถานีตำรวจไปแล้ว ส่วนสวี่เซิ่น ทางเราได้ส่งคนไปขนย้ายเอกสารของเมืองหนิงไห่ และเราก็ยังส่งคนไปสอบปากคำเขาด้วย”  

 

 

เมื่อหัวหน้าส่วนส่งเธอกลับไปเรียบร้อย หนิงฉิงก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  

 

 

ท่านอธิบดีเป็นคนจัดการเรื่องนี้งั้นเหรอ  

 

 

เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับท่านอธิบดี  

 

 

เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านอธิบดีเป็นใคร  

 

 

**  

 

 

ห้องพยาบาลของโรงเรียนมีเครื่องมือไม่ครบ ดังนั้นเฉิงมู่จึงขับรถตรงไปที่โรงพยาบาล  

 

 

เฉิงเจวี้ยนมีกล่องฆ่าเชื้อชั่วคราวอยู่ในรถและไม่มีเครื่องมืออื่น เขาจึงทำได้เพียงช่วยฆ่าเชื้อและจัดการอะไรเล็กๆ น้อยๆ  

 

 

ไฟที่เบาะหลังเปิดอยู่  

 

 

ถ้าไม่ใช่เพราะฝีมือการขับรถของเฉิงมู่ดี ก็เป็นเพราะประสิทธิภาพของรถดี ทำให้การเดินทางราบรื่นและไม่มีการสะเทือนใดๆ  

 

 

เฉิงเจวี้ยนลดสายตาของเขาลงเพื่อพันผ้าพันแผลบางๆ เขาใช้น้ำฆ่าเชื้อเช็ดบาดแผลทั้งสองที่ของเธออย่างแผ่วเบา  

 

 

เนื่องจากผิวของฉินหร่านขาวมาก ทำให้เห็นความต่างของสีแดงชัดเจนยิ่งขึ้น  

 

 

หัวใจของเขาเจ็บปวดและอึดอัดเมื่อได้เห็น  

 

 

เขาหยุดนิ่งแล้วกระแอม จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมอง “เธอ…”  

 

 

เขาเห็นฉินหร่านใช้มือซ้ายจับหน้าต่างและเอนหัวพิงเบาะอย่างเกียจคร้าน เธอกำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงนั้นส่องเงาภายใต้ดวงตาที่มืดมิดของเธอ  

 

 

ดวงตาของเธอหรี่ลงเมื่อเขาเข้ามาดูใกล้ๆ ดูเหมือนเหม่อลอยและเสียดแทงเล็กน้อย  

 

 

ฉินหร่าไม่ได้ขยับมือของเธอ เธอเอียงหัวเล็กน้อยและขยับปากช้าๆ “อะไรน่ะ”  

 

 

แววตาของเธอสดใส สีหน้าก็ปกติราวกับว่าเธอไม่ได้มีบาดแผลทั้งสองที่บนมือ  

 

 

ประโยคที่ว่าถ้าเจ็บก็บอกมาถูกกลืนลงลำคอไป เฉิงเจวี้ยนจ้องเข้าไปในดวงตาของเธอ เขาไม่อาจละสายตาจากดวงตาดูเหมือนมีหมู่ดาวระยิบระยับอยู่เต็มไปหมดคู่นั้นได้  

 

 

ไม่นานนักพวกเขามาถึงโรงพยาบาล แพทย์จะช่วยเย็บแผลให้เธอในคืนนี้  

 

 

เฉิงเจวี้ยนถือโทรศัพท์หันหน้าเข้ากำแพงคุยกับลู่จ้าวอิ่ง  

 

 

“ดีนะที่อายุสิบแปด” เฉิงเจวี้ยนพูดแล้วจ้องไปที่ประตู เขาจุดบุหรี่ที่ใช้นิ้วคีบไว้ด้วยท่าทางเกียจคร้าน แต่คำพูดของเขาดูดี “เธอจะไม่ต้องรับผิดทางอาญา”  

 

 

มือฉินหร่านถูกเย็บด้วยเข็มและยาชาก็ใกล้จะหมดฤทธิ์แล้ว  

 

 

เฉิงเจวี้ยนเก็บโทรศัพท์และอยากเลิกบุหรี่โดยไม่รู้ตัว  

 

 

“ไม่ต้องแอบหรอก” ฉินหร่านคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอียงหัวพิงกำแพง เธอมองตาของเขาและส่งยิ้มให้ “ขอมวนนึงสิ”  

 

 

น้ำเสียงเธอสดใส  

 

 

เฉิงเจวี้ยนโยนบุหรี่ที่เหลือของเขาลงถังขยะด้วยที่หน้าที่เรียบเฉย  

 

 

แล้วเขาก็โยนบุหรี่ในกระเป๋าทิ้งไปด้วย  

 

 

ฉินหร่านไม่ใส่ใจ เธอเพียงยักไหล่และพูดว่า “ขอบคุณสำหรับวันนี้ คุณหักค่าใช้จ่ายจากค่าจ้างของฉันได้เลยนะ”  

 

 

เฉิงเจวี้ยนมองที่ด้านหลังของเธอขณะที่เธอเดินนำหน้าเขาไป เขาใช้นิ้วนวดขมับตัวเองและยืนอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน  

 

 

**  

 

 

ตรงนี้  

 

 

หนิงฉิงกลับมาที่บ้านตระกูลหลิน  

 

 

หลินฉีนั่งอยู่ในห้องโถง  

 

 

หลินจิ่นเซวียนวางโทรศัพท์และเห็นว่าเธอกลับมาแล้ว “กลับมาทำไม ฉินหร่านเป็นยังไงบ้าง”  

 

 

ฉินอวี่ได้ยินเสียงจึงวางไวโอลินลง “คุณอาคะ เหมือนว่าแม่จะกลับมาแล้ว เราลงไปดูกันไหมคะ”  

 

 

เธอพาหลินหว่านลงไปชั้นล่าง  

 

 

หนิงฉิงยังนึกถึงเรื่องท่านอธิบดี เธอโทรหาฉินหร่านแต่หล่อนไม่รับสาย เมื่อเจอหลินหว่าน เธอจึงไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องทั้งหมดนี้ยังไง  

 

 

เธอเม้มริมฝีปากและไม่ยอมพูด  

 

 

“เกิดอะไรขึ้นถึงทำให้คนในครอบครัวปั่นป่วนกันไปหมด จิ่นเซวียนกับพี่ชายของฉันออกตามหาคนแทบทั้งคืน” หลินหว่านจิบชาและมองไปที่หนิงฉิง  

 

 

“เรื่องนี้ไม่ง่ายเลย” หลินจิ่นเซวียนส่ายหัว “รองอธิบดีเสิ่นเข้ามาแทรกแซง อาพอจะรู้จักใครที่กองความมั่นคงสาธารณะไหมครับ”  

 

 

หลินหว่านวางถ้วยชาลงบนโต๊ะและไม่ได้พูดอะไร  

 

 

“คุณอาช่วยพี่สาวของหนูด้วยนะคะ พี่ยังถูกควบคุมตัวอยู่ที่โรงพัก” ฉินอวี่เขย่าแขนหลินหว่าน  

 

 

“ถูกคุมตัวอยู่ที่โรงพักงั้นเหรอ” หลินหว่านหันไปมองหนิงฉิงจนหนิงฉิงรู้สึกอายมากและหันกลับไปมอง “เธอนี่เหลวไหลจริงๆ ฉันพอรู้จักคนอยู่บ้าง เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะไปพบพวกเขา”  

 

 

หนิงฉิงรู้สึกโล่งอก ตระกูลหลินแทบจะหาแค่คนที่ไม่สนิทไม่ได้จริงๆ จึงเป็นเรื่องดีที่หลินหว่านเสนอตัวเข้าช่วย  

 

 

“จิ่นเซวียน ลูกรู้จักอธิบดีของพวกเขาหรือเปล่า” หนิงฉิงถามหลินจิ่นเซวียน  

 

 

“ฮ่า…” หลินหว่านหัวเราะ “พี่ชาย จิ่นเซวียน อาขอตัวไปนอนก่อนนะ”  

 

 

หนิงฉิงนั่งอยู่บนโซฟาอย่างอกสั่นขวัญแขวน  

 

 

หลินจิ่นเซวียนอธิบายว่า “ตระกูลหลินของเราเป็นเพียงพ่อค้า”  

 

 

เพราะตระกูลหลินมีรากฐานที่อ่อนแอ  

 

 

ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่แปลก  

 

 

หนิงฉิงฝืนยิ้ม เธอไม่รู้เรื่องพวกนี้มากเท่าไรนัก แต่…  

 

 

เธอขมวดคิ้ว…ตำรวจหญิงคนนั้นหมายความว่าอะไรนะ  

 

 

จะเป็นฉินหร่านหรือพานหมิงเย่ว์กันนะที่รู้จักเขา  

 

 

**  

 

 

วันต่อมา  

 

 

ตอนเช้าตรู่  

 

 

เสียงออกกำลังกายในห้องเรียนที่อาคารหอพักยังคงดังขึ้น  

 

 

ฉินหร่านขอลาพักมาแล้ว แต่ที่เสียงดังนั้นก็เกินจะทน  

 

 

เธอลุกจากเตียงอย่างหัวเสีย  

 

 

ดวงตาของเธอแดงก่ำ  

 

 

เมื่อวานลู่จ้าวอิ่งเอาเแจ็กเกตนักเรียนไปที่ร้านซักแห้งและเธอก็นำเสื้อแจ็กเกตสีดำตัวบางๆ ไปด้วย  

 

 

ตอนนี้เป็นเวลาออกกำลังกายอย่างเป็นทางการ แต่โรงเรียนอีจงไม่ค่อยมีการฝึกซ้อมและคาบเรียนก็ยาวนักเรียนจึงออกไปซื้อขนม  

 

 

ผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา  

 

 

ฉินหร่านก้มหัวลงเล็กน้อยและสวมชุดนักเรียนอย่างเรียบร้อย เธอหรี่ตาเรียวดั่งผลแอปริคอตและขมวดคิ้วเล็กน้อย  

 

 

ช่วงสองวันที่ผ่านมาเฉียวเซิงไม่ค่อยสนใจฉินอวี่ ฉินอวี่ก็รู้ตัวแต่ก็แสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไร  

 

 

เขาเดินลงไปชั้นล่างพร้อมกับสวีเหยากวงเพื่อซื้ออมยิ้ม และฉินอวี่ก็ไปกับพวกเขาเพื่อถามคำถามสองสามข้อด้วยเสียงต่ำกับสวีเหยากวง สายตาของผู้คนส่วนใหญ่จับจ้องไปที่พวกเขาตลอดทาง  

 

 

เฉียวเซิ่งสอดมือข้างหนึ่งไว้ในกระเป๋าและมีรุ่นน้องผู้ชายสองสามคนตามเขามา  

 

 

“วันนี้ฉินหร่านลาเหรอ” เขาแกะอมยิ้มแล้วยัดเข้าปากจากนั้นเอียงหัวถามสวีเหยากวง  

 

 

สวีเหยากวงเป็นหัวหน้าวินัยประจำวัน  

 

 

สวีเหยากวงเป็นคนเย็นชา เขาหยุดแล้วส่ายหัว “ไม่รู้สิ”  

 

 

ฉินอวี่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างตะลึง “พวกนายไม่รู้เรื่องเหรอ”  

 

 

“เรื่องอะไร”  

 

 

“เรื่องที่พี่สาวของฉัน…” ฉินอวี่เม้มริมฝีปากจากนั้นส่ายหัวและกระดิกนิ้วไปมา “เธอก่ออาชญากรรม ตอนนี้ก็เลยยังอยู่ที่สถานีตำรวจ”  

 

 

 

 

 

——  

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ด้วยว่าพ่อแม่หย่าร้างกันตั้งแต่ยังเล็ก และ ฉินหร่าน ไม่ใช่เด็กประพฤติดี นอกจากจะไม่ตั้งใจเรียนจนผลการเรียนย่ำแย่แล้ว เธอยังหัวรั้นและก่อเรื่องทะเลาะวิวาทจนโดนพักการเรียนไปเป็นปี แตกต่างจาก ฉินอวี่ น้องสาวที่เป็นนักเรียนดีเด่นผู้แสนเพียบพร้อมราวฟ้ากับเหว ด้วยเหตุนี้แม่ของเธอจึงเลือกพาน้องสาวไปอยู่ด้วยเพียงคนเดียวและทิ้งฉินหร่านเอาไว้ท่ามกลางชนบท ปล่อยให้เธอเติบโตเพียงลำพังในความดูแลของคุณยายวัยชรา สองยายหลานร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาสิบสองปี จนกระทั่งวันหนึ่งคุณยายเกิดป่วยหนักอาการโคม่าต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในเมือง ครอบครัวฉินจึงได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง เมื่อคุณยายไม่สามารถดูแลฉินหร่านด้วยตัวเองได้ต่อไปได้อีก แม่ของเธอจึงอาสารับเลี้ยงเธอไว้แทน กระนั้นก็ยังไม่วายเหน็บแนมหญิงสาวอยู่ตลอดว่าอย่าทำตัวน่าขายหน้า ให้เอาอย่างฉินอวี่ผู้เป็นน้องบ้าง กระนั้นกลับไม่มีใครล่วงรู้เลยว่านอกจากฉินหร่านจะมีใบหน้างดงามเกินเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว เธอยังมีอีกหนึ่งตัวตนปริศนาที่ซุกซ่อนเอาไว้อยู่ เพราะใครกันล่ะที่ทำข้อสอบกากบาททุกข้อแล้วผลคะแนนสอบจะออกมาได้เท่ากับศูนย์ในทุกๆ วิชา เธอโง่จริงๆ หรือว่าตั้งใจกันแน่… เช่นเดียวกับ เฉิงเจวี้ยน หมอหนุ่มประจำโรงเรียนที่แสนธรรมดาคนนั้น ทว่า…เขาเป็นแค่หมอประจำโรงเรียนจริงหรือ เมื่อโชคชะตานำพาให้คนสองคนที่ปกปิดตัวตนของตัวเองเอาไว้ได้มาพบกัน หน้ากากของใครจะถูกกระชากออกมาก่อนนะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset