ฉินหร่านพับแขนเสื้อ หรี่ตามองไปที่เจี่ยงหันพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
ทันใดนั้นเจี่ยงหันก็เกิดอาการขนลุกไปทั้งตัวและรับรู้ได้ถึงอันตราย ม่านตาเธอหดตัว เตรียมถอยหลังหาทางหนี!
ก่อนที่เจี่ยงหันจะถอยหลังไป คนของเธอก็โดนบีบคออย่างแรง และคอของเธอก็โดนเหวี่ยงกระแทกกับกำแพงอย่างแรง
ร่างกายแทบไร้เรี่ยวแรง
ฉินหร่านจับเจี่ยงหันไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง พลางเอาเท้าถีบเด็กสาวอีกสองคนลงกับพื้น เธอมองไปที่เด็กสาวคนสุดท้ายที่ยักคิ้วแล้วยิ้มให้ “อยากลองมั่งไหมล่ะ”
เด็กผู้หญิงกับเด็กผู้ชายยุคนี้ไม่ละอายใจต่อการกระทำของตัวเองมั่งเลย ในสายตาของฉินหร่านพวกเขาเป็นเพียงไก่อ่อนเท่านั้น
“เลิกทะเลาะกันได้แล้ว” มีคนดึงแขนเสื้อเธอจากด้านหลัง
นั่นก็คือพานหมิงเย่ว์
ฉินหร่านไม่พูดอะไร เธอมองไปที่เจี่ยงหันด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์
คิ้วของเจี่ยงหันเย็นและชุ่มเหงื่อ หญิงสาวตรงหน้ามัดผมไว้ มีผมสองสามเส้นตกลงมาที่ใบหน้าและติดอยู่ที่ปากของเธอ
ดวงตาเธอชวนมอง แต่รูม่านตาแดงฉาน เธอถลึงตาใส่อย่างน่ากลัว ทำให้คนอื่นรู้สึกขนลุกกันไปทั่ว
ทุกคนที่อยู่ในห้องนอนอื่นๆ รู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนี้
อู๋เหยียนรู้สึกกลัวขึ้นมานิดๆ แต่เธอเหลือบมองเจี่ยงหันกับคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ตรงประตูและพูดว่า “ฉินหร่าน อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ ฉันจะไปพบคนดูแลหอ…”
ฉินหร่านเปิดประตูถัดไป
ปั้ง!
ประตูกระแทกกับกำแพงแล้วเด้งกลับด้วยเสียงดังสนั่น
ไม่ใช่แค่อู๋เหยียนที่ไม่กล้าพูด แต่ทั้งชั้นเงียบสนิท
ฉินหร่านสูงกว่าเจี่ยงหันนิดหน่อย เธอปล่อยมือที่จับคออยู่ออก ก้มหัวลงและยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
หลังจากนั้นไม่นานภายใต้สายตาที่น่ากลัวและแปลกประหลาดของเจี่ยงหัน เธอปล่อยมือและค่อยๆ พับแขนเสื้อขึ้น
ฉินหร่านไปหยิบแก้วคืนจากหลินซือหราน
ก่อนจะจากไป เธอหันมองด้วยสายตาแดงก่ำและยิ้มสยองให้เจี่ยงหัน “อย่าแส่เรื่องคนอื่นนัก แล้วก็กินให้เยอะๆ หน่อย”
เธอหยิบแก้วและเดินกลับห้องนอนของเธอไปอย่างช้าๆ
เด็กสาวที่เหลือยืนอยู่ตรงทางเดินเหมือนกระต่ายขี้ตกใจ รีบกระโดดหนีด้วยความกลัวเพื่อหลีกทางให้เธอ
เด็กผู้หญิงเกือบทั้งหมดในห้องโถงหดตัวเข้าไปในประตูห้องนอน สายตามองฉินหร่านเดินเข้ามาในห้อง เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่กล้ายุ่งกับเจี่ยงหัน
ไม่มีใครรู้สึกตัว และก็เงียบมาเป็นเวลาหลายนาที
หลังจากหลินซือหรานอาบน้ำเสร็จ เธอก็ไม่เห็นฉินหร่านอยู่ในหอพัก เธอขมวดคิ้วเพราะมองไม่เห็นจนกระทั่งมาตรงระเบียง
เธอเห็นฉินหร่านนั่งหันหลังอยู่ที่ระเบียง เห็นขาของเธอห้อยลงมา
หลินซือหรานกลัวจนหัวใจแทบหยุดเต้น “หร่านหร่าน!”
ฉินหร่านได้ยินเสียงเอะอะ ก็หรี่ลงจนตาหยี “ตกใจอะไรเนี่ย”
บุหรี่ยังคาอยู่ในปากของเธอ เธอแกว่งขาอย่างไม่ใส่ใจ ภาพตอนกลางคืนแวบเข้ามาทำให้เธอนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมา
หลินซือหรานไม่ตอบโต้
ฉินหร่านหัวเราะเสียงเบาๆ เธอยื่นมือออกไปและกระโดดลงมาโยนบุหรี่ลงถังขยะ “ไปนอนกันเถอะ”
หลินซือหรานถอนหายใจและเอามือทาบอก “หร่านหร่าน เธอนี่น่าทึ่งจริงๆ เลย”
อีกฝ่ายกำลังพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้นี้
เธอไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนทำให้เจี่ยงหันกลัวได้ขนาดนี้
ฉินหร่านเข้าไปในห้องนอนเอามือไพล่ท้ายทอยและไม่ได้พูดอะไรอีก
นานมากที่จะได้ยินหลินซือหรานพูดสี่คำนี้ออกมา ทั้งสั้นและเยือกเย็น “ฉันไม่ใช่พระเจ้า”
**
บ้านพักต่างอากาศแห่งหนึ่งในอวิ๋นเฉิง
เฉิงเจวี้ยนถือมีดเรียนเกี่ยวกับหุ่นอยู่
เขาได้ยินลู่จ้าวอิ่งเปิดประตูก็ตกใจ “เจวี้ยนเหยีย เจวี้ยนเหยียครับ มี… มี…”
เฉิงเจวี้ยนใช้มีดผ่าตัดบางๆ ของเขาชี้ไปที่ลู่จ้าวอิ่งและส่ายหัว “ถ้าฉันทำพัง นายจะหาซื้อหุ่นมาให้ฉันได้ไหม”
ลู่จ้าวอิ่งเงียบสนิท
นายน้อยเฉิงใช้เงินห้าล้านในการปรับแต่งหุ่นจำลองร่างกายมนุษย์ แม้แต่หลอดเลือดก็ยังทำออกมาได้เหมือนมาก เขาหาเงินมาจ่ายได้แต่จะหาคนมาช่วยปรับแต่งหุ่นจำลองร่างกายมนุษย์ได้หรือไม่นั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง…
เขาอึ้งและพูดว่า “คำสั่งถูกตีกลับครับ…”
เฉิงเจวี้ยนดึงมีดของเขาออกมา ลมแรงพัดชายเสื้อของเขาถลกขึ้น “ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้ล่ะ”
ลู่จ้าวอิ่ง “…”
**
แม้ว่าจะเป็นปีสุดท้าย แต่โรงเรียนอีจงก็ไม่มีคาบเรียนเสริมในช่วงวันหยุด ก่อนหน้านี้ยังมีอยู่ แต่หลังจากที่ผู้ปกครองนักเรียนบางคนรายงานเรื่องนี้ไปยังสำนักการศึกษา พวกเขาหยุดให้มีคาบเรียนเสริมทันที
สองวันถัดมาฉินหร่านงดไปทำงานพิเศษที่ร้านชานมไข่มุก
ช่วงเช้าวันเสาร์หนิงฉิงโทรหาเธอหลายครั้งแต่เธอไม่รับสาย
ฉินหร่านสะพายกระเป๋าเป้ไปเยี่ยมเฉินซูหลานที่โรงพยาบาล
เฉินซูหลานอยู่ในห้องวีไอพีของโรงพยาบาลและได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เมื่อฉินหร่านมาถึง คุณป้าก็กำลังป้อนซุปให้เฉินซูหลานอยู่
มู่หยิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านข้าง กำลังเล่นกับโทรศัพท์มือถืออยู่
มู่หนานนั่งหั่นแอปเปิลอยู่อีกด้านหนึ่ง
ฉินหร่านเดินเข้าไปยืนมองเฉินซูหลานอยู่ด้านนอกหน้าต่างกระจกสักพัก
เฉินซูหลานแต่งงานกับตาของเธอไวนะแต่กลับมีลูกช้า เพิ่งมีลูกคนแรกตอนอายุสามสิบ
ตอนนี้ก็จะแปดสิบแล้ว
เมื่อคนเราอายุมากขึ้นอวัยวะต่างๆ ก็เริ่มถดถอย โรคมากมายก็รุมเร้า
ฉินหร่านมีวิธีช่วยเรื่องขาของหนิงเวย แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความตาย การเจ็บป่วยและอาการอวัยวะต่างๆ ล้มเหลว เป็นฉินหร่านก็คงทำอะไรไม่ถูก
ฉินหร่านเปิดประตูเดินเข้าไป เฉินซูหลานก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นทันที
“หร่านหร่าน ยายให้แม่ของหลานเอาของพวกนี้มาให้ หลานเก็บเอาไว้สิ” มือเฉินซูหลานสั่นเทาขณะหยิบกองกระดาษออกมาจากใต้หมอน แล้วส่งให้กับฉินหร่าน
ฉินหร่านก้มดู นี่มันกองกระดาษบันทึกที่เธอเคยขยำทิ้งลงถังขยะนี่นา
เป็นการเขียนแบบลวกๆ
เธอไม่คิดว่ายายจะเก็บมันไว้เป็นอยางดี
เมื่อเห็นว่าเธอนิ่งเฉย เฉินซูหลานก็เอากระดาษยัดใส่ไว้ในมือฉินหร่านอย่างถือวิสาสะ เฉินซูหลาน อายุมากแล้ว ความจำก็ไม่ดี แต่เธอยังจำได้ว่าอาจารย์ของเมืองหลวงจักรวรรดิได้ดูบันทึกเหล่านี้อย่างไร
เสมือนว่าเป็นอัญมณี
ถ้าเป็นพ่อแม่คนอื่น คงบังคับให้ลูกเรียนแน่นอน
แต่เฉินซูหลานไม่เหมือนกัน เธอมีความสุขต่อให้ฉินหร่านจะไม่ได้แต่งงาน เพราะมันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร
“ลูกพี่ลูกน้อง นั่นอะไรน่ะ” เมื่อมู่หยิงเห็นฉินหร่านเข้ามา ก็วางโทรศัพท์และเดินเข้าไปหา
เธอเอาแต่จ้องกระดาษ
แต่มองไม่ออกว่าเขียนว่าอะไร
ฉินหร่านม้วนกระดาษยัดใส่กระเป๋าเสื้อนักเรียน “ไม่มีอะไร”
เธอพูดอย่างแผ่วเบา
ถึงมู่หยิงจะอยากรู้ แต่เธอก็ไม่ถามให้มากความเพราะรู้สึกแปลกๆ
พวกเขาอยู่กับเฉินซูหลานที่โรงพยาบาลจนถึงเที่ยง และเมื่อฉินหร่านออกไปทำงานที่ร้านชานมไข่มุก เธอก็ออกไปด้วยเช่นกัน
**
ฉินอวี่ยังคงมาที่โรงเรียนในวันเสาร์เพื่อฝึกซ้อมไวโอลิน
ฉินอวี่ต้องขึ้นแสดงในวันครบรอบโรงเรียน
ในวันธรรมดาคนขับจะมาส่งเธอ ตอนนี้หลินหว่านอยากเจอฉินอวี่เป็นการส่วนตัวจึงตามมาด้วย ส่วนหนิงฉิงแค่ไปเป็นเพื่อนพวกเขา
วันเสาร์สามารถขับรถเข้าไปในโรงเรียนได้
แต่พอเข้าประตูไป ฉินอวี่พลันอยากกินชานม
ทั้งสามคนจึงลงจากรถ
คนขับลงมาเข้าคิวเพื่อซื้อชานมให้ฉินอวี่
ฉินอวี่จับแขนหลินหว่าน ส่งยิ้มพร้อมแนะนำให้รู้สถารการณ์ภายในโรงเรียนอีจง
เธอเห็นร่างที่คุ้นตาอยู่ที่ร้านชานมไข่มุก ฉินอวี่อึ้งไปพักนึง
หลินหว่านเห็นว่าฉินอวี่ทำท่าทางแปลกๆ “มีอะไรเหรอ”
เธอถามและมองตาม
“แม่คะ ทำไมพี่ถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ” ฉินอวี่จ้องหนิงฉิง
หนิงฉิงเห็นอยู่ก่อนแล้ว เธอหน้าซีดและเม้มริมฝีปากก่อนจะเดินไปที่ร้านชานมไข่มุกด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
ฉินหร่านเดินมาตรงเคาน์เตอร์ ก้มหน้าลงก่อนวางแก้วชานมไข่มุกลงบนโต๊ะอย่างใจเย็น
หนิงฉิงกำมือแน่น เธอถือกระเป๋าใบละสามหมื่นหยวนพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ฉินหร่าน ทำอะไรของแก ฉันไม่ได้ให้เงินแกหรือไง”