ตอนที่ 189 ยังคงต้องพัฒนา
ประตูลิฟต์เปิดออกช้าๆ เฉินฝานซิงค่อยๆ ปล่อยมือออกจากเขา แล้วทั้งสองคนจึงก้าวเดินออกจากลิฟต์ไปพร้อมกัน ทว่า เฉินฝานซิงเกิดขาอ่อนแรงขึ้นมากะทันหันทำให้เสียหลักเซเข้าไปในอ้อมแขนของป๋อจิ่งชวน
ป๋อจิ่งชวนโอบเธอไว้จากด้านหลัง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“เป็นอะไรไป”
แก้มที่ พอจะมีสีแดงระเรื่ออยู่บ้างแล้วพลันแดงหนักขึ้นกว่าเดิม
สายตาของป๋อจิ่งชวนสอดส่องไปยังขาทั้งสองข้างของเธอปราดหนึ่ง ทันใดนั้นเองรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขาอย่างเห็นได้ชัด
เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแต่ใช้มือข้างหนึ่งโอบลงบนเอวเธอ จากนั้นก็โน้มตัวลงมาเพื่อช้อนตัวเธอขึ้นมาอุ้มไว้
“อ๊ะ”
เฉินฝานซิงร้องอุทานออกมาเบาๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปกอดคอเขาเอาไว้ตามสัญชาตญาณ
แม้ว่าอ้อมแขนของเขาจะต้องแบกรับน้ำหนักของเธออย่างกะทันหัน แต่ดูเหมือนร่างกายที่สูงใหญ่กำยำของป๋อจิ่งชวนไม่จำเป็นต้องออกแรงอะไรเลยแม้แต่น้อย เขาก้าวเท้าออกมาจากลิฟต์พร้อมกับก้มลงมองเฉินฝานซิงวูบหนึ่ง แล้วพูดยิ้มๆ
“กำลังกายของคุณ ยังต้องพัฒนาอีกเยอะจริงๆ ด้วย”
“…”
ใบหน้าของเฉินฝานซิงแดงขึ้นกว่าเดิม เธอมุดศีรษะลงไปด้วยความเขินอาย เส้นผมยาวสยายบดบังแก้มแดงก่ำ
หลังจากที่อุ้มเฉินฝานซิงไปวางลงเบาะข้างคนขับแล้วคาดเข็มขัดให้เธอเรียบร้อยแล้ว ป๋อจิ่งชวนจึงเดินอ้อมไปขึ้นรถฝั่งคนขับ
“วันนี้ฉันขับรถมานะ”
“ให้เป็นหน้าที่ของอวี๋ซงเถอะ”
เฉินฝานซิงสูดหายใจเข้าหนึ่งฟอดใหญ่ก่อนจะหันไปมองป๋อจิ่งชวน แต่กลับพบว่าเขาได้สตาร์ทรถพร้อมเตรียมออกตัวแล้ว
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงเมื่อกี้นี้ก็ทำให้เฉินฝานซิงเผลอยิ้มออกมา
“สไลด์ในงานเมื่อกี้นี้ เป็นแผนการของคุณเหรอ”
“อืม”
“เพราะงั้น…สุดท้ายแล้วที่เด็กสองคนนั้น…มีเรื่องที่น่ายินดีเกิดขึ้น คุณเองก็…”
“ที่พวกเขาพูดก็ถูกแล้ว หนุ่มสาวคู่นั้นเหมาะสมกันจริงๆ สำหรับผมแล้ว ต้องขอบคุณพวกเขาด้วยซ้ำ โชคดีที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน ถึงทำให้ผมได้มาพบกับคุณ ขอให้พวกเขารักกันยาวนาน ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรไปเลย”
เฉินฝานซิงรู้สึกประหลาดใจจนแทบไม่อยากจะเชื่อสายตา “เพราะงั้นหมายความว่า…เรื่องพวกนั้นคุณก็…”
“เปล่า”
ป๋อจิ่งชวนปฏิเสธ “แต่ว่าเรื่องนี้…ผมว่าผมควรพิจารณาขึ้นเงินเดือนให้อวี๋ซงซะแล้ว ผลลัพธ์ออกมาไม่เลวเลย”
เฉินฝานซิงนึกภาพปฏิกิริยาการตอบสนองของผู้คนในงาน รวมทั้งสีหน้าของซูเหิงและเฉินเชียนโหรวก่อนหน้านี้ก็อดแสยะยิ้มมุมปากออกมาไม่ได้
ผลลัพธ์ เป็นที่น่าพอใจจริงๆ
ในขณะเดียวกัน เธอก็แอบถอนหายใจอย่างโล่งอกอยู่ลึกๆ
ยังดีที่ไม่ได้เป็นเขาเอง
“ขอบคุณนะคะที่คุณไปหาของพวกนั้นมาช่วยฉัน แต่ว่าฉันคนเดียวก็รับมือไหว”
เธอหันไปมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ป๋อจิ่งชวนหันมามองเธอพริบตาหนึ่ง จากนั้น รถที่เพิ่งขับออกจากโรงจอดรถใต้ดินได้ไม่นานก็ได้จอดเทียบที่ข้างทาง
“เป็นอะไรไปเหรอ ” เฉินฝานซิงมองเขาด้วยความสงสัย
เวลานี้ ใบหน้างดงามได้รูปของป๋อจิ่งชวนไม่มีรอยยิ้มหลงเหลืออยู่อีกแล้ว เขาหันหน้าไปมองเธอด้วยแววตาราบเรียบ ทำให้ไม่อาจคาดเดาความรู้สึกที่แท้จริงได้เลย
นี่คงจะเป็นครั้งที่ป๋อจิ่งชวนมีท่าทีเคร่งเครียดใส่เธอมากที่สุดในช่วงระยะเวลาไม่นานที่เพิ่งผ่านมานี้
“ผมไม่ได้คิดว่าคุณจะรับมือไม่ไหวอยู่แล้ว เพราะงั้นถึงคอยให้ความร่วมมือคุณมาตลอด”
“คุณ…คุณรู้มาตลอดเลยเหรอคะ”
เขายกมือขึ้นมานวดขมับคิ้วเบาๆ “ผมไม่วางใจ…เพราะผมไม่แน่ใจว่า คนในสกุลเฉินพวกนั้นจะมีอิทธิพลกับคุณมากแค่ไหน เพราะยังไงซะ เขาก็คือญาติของคุณ ผมเป็นห่วงจริงๆ ว่าคุณจะยอมกล้ำกลืนยอมรับความไม่เป็นธรรมเพื่อรักษาหน้าให้พวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า รู้ไหมตอนที่ผมรู้ข่าวว่าคุณตอบตกลงคุณย่าของคุณเรื่องจะขึ้นไปประกาศถอนหมั้นบนเวที ผมรู้สึกยังไง”
เฉินฝานซิงส่ายหน้า
“ผมคิดแค่ว่าจะต้องรีบมาถึงให้เร็วที่สุด ถึงจะมาขวางคุณไว้ไม่ทัน แต่อย่างน้อยก็ต้องมาพาคุณลงจากเวทีให้ได้”
แววตาของเฉินฝานซิงเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม “โชคดีที่คุณมาขวางฉันไว้ทัน ก็เลยไม่ต้องหาวิธีลากฉันลงจากเวทีนะคะ”
ป๋อจิ่งชวนเหร่ตามองค้อนเธอแวบหนึ่ง “ถูกคนอื่นรังแกถึงขนาดนั้นแล้วคุณยังอารมณ์ดีได้อยู่อีกเหรอ”
ตอนที่ 190 ตอนนั้นเธอทั้งไร้ที่พึ่งและหวาดกลัว
ป๋อจิ่งชวนเหร่ตามองค้อนเธอแวบหนึ่ง “ถูกคนอื่นรังแกถึงขนาดนั้นแล้วคุณยังอารมณ์ดีอยู่ได้อีกเหรอ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของฝานเฉินซิงกลายรอยยิ้มเจื่อน แล้วค่อยๆ เลือนหายไปในท้ายที่สุด
“อันที่จริงแล้ว เจียงหรงหรงเป็นคนเสนอเรื่องถอนหมั้นนี้ขึ้นมา ความรู้สึกแรกของฉันตอนนั้นก็คือหดหู่เศร้าใจที่เธอเผยธาตุแท้ของเธอออกมาให้เห็นจนหมด ที่คุณเป็นห่วงก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ทั้งๆ ที่ควรจะชินได้แล้ว แต่ฉันก็ยังทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลยไม่ได้อยู่ดี…”
เธอพูดพลางถอนหายใจ ก่อนจะทอดมองไปยังหน้าประตูโรงแรมจวินอี๋ที่แขกผู้มาร่วมงานกำลังทยอยกันออกมา ใบหน้าเฉยชาของเธอกลับมีรอยยิ้มมุมปากด้วยความเย้ยหยัน
“ยังไงซะ ตอนที่ฉันยังเด็ก พวกเขาก็นับว่าดีกับฉันไม่น้อย บนโลกใบนี้ มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับฉัน…”
“ฉันยังจำคำที่ผอ.คนเก่าเคยพูดกับพวกเด็กที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าได้ เธอบอกว่า ไม่ว่าพวกเขาคนใดคนหนึ่งจะมีที่ไปที่ใหม่แล้วก็ตาม แต่ในใจของเธอก็จะยังคงมีพื้นที่ให้สำหรับเด็ก ผอ. หรือคุณครูของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตลอดไป เพราะว่าเด็กๆ นั้นใส่ซื่อบริสุทธิ์ จิตใจของพวกเขาก็เหมือนกับกระดาษขาวใบหนึ่ง เส้นแรกที่ถูกเติมลงไป มักจะเป็นสิ่งที่ตราตรึงอยู่ในใจยากจะลืมเลือนที่สุดเสมอ…”
“หลังจากที่แม่ฉันจากไป ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ฉันถึงกับเคยคิดว่าจะหาบางอย่างมาชดใช้ แต่พวกเขากลับไม่ปล่อยให้ฉันมีแม้แต่โอกาสที่จะทำอะไรแบบนั้น…
…ตอนนั้นฉันรู้สึกย้อนแย้งไปหมด ฉันเกลียดพวกเขาที่บีบบังคับจนแม่ฉันหมดหนทาง แต่ลึกๆ กลับรู้สึกเห็นแก่ตัว ไม่อยากจะให้พวกเขาทิ้งฉันไว้…ฉันจำได้เพียงว่าความรู้สึกในตอนนั้นมันน่ากลัวมาก ตอนนั้น ฉันยังไม่พร้อมที่จะต้องเผชิญหน้ากับทุกสิ่งทุกอย่างตามลำพัง การไร้ที่พึ่งพาและความหวาดกลัวทำให้ฉันรู้สึกกระวนกระวายจนไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี…”
“ตั้งแต่เล็กจนโต ฉันถูกเลี้ยงดูมาอย่างฟูมฟักทะนุถนอมมาโดยตลอด ก่อนหน้านั้น ฉันไม่เคยคิดเลยว่า วันหนึ่ง ตัวเองจะต้องมาเจอกับเรื่องราวมากมายขนาดนั้น แม่เลี้ยงหยางลี่เจียเข้ามาในบ้านสกุลเฉิน คุณแม่ถูกบังคับให้ออกไป ฉันไม่แม้แต่จะรับมือกับวิธีการน่ารังเกียจที่เฉินเชียนโหรวทำเลยฉันได้เลย…คุณแม่ก็ไม่เคยสอนฉันเรื่องพวกนี้ ฉันคิดว่าท่านเองก็คงไม่ถนัดเหมือนกัน ถ้าหากท่านรู้ ก็คงไม่ต้องพบเจอกับจุดจบแบบนั้น…”
ความรู้สึกบีบคั้นอบอวลไปทั่วตัวรถ ดวงตาของเฉินฝานซิงทอประกาย ก่อนจะสูดหายใจเข้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีความสัมพันธ์ในครอบครัวที่อาลัยอาวรณ์และยากที่จะตัดทิ้งมากมายแค่ไหน แต่ตอนนี้ก็ถือว่าปล่อยวางได้หมดแล้ว…การกระทำที่ไม่รู้ขอบเขตของพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ทำลายขีดความอดทนทั้งหมดที่มีของฉันไปโดยสิ้นเชิง…ฉันไม่รู้ว่าทำไมตั้งแต่ที่เฉินเชียนโหรวเข้ามาในบ้านสกุลเฉิน พวกเขาถึงได้ปฏิบัติกับฉันและเธอต่างกันนัก แต่ว่าก็เป็นเพราะพวกเขาทุกคนนั่นแหละ ที่ทำให้ฉันกลายเป็นฉันในวันนี้ได้…”
น้ำเสียงอ่อนหวานที่มาจากเส้นเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครของเธอดังก้องไปทั่วตัวรถ ล่องลอยอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง แล้วปลายเสียงก็ค่อยๆ แผ่วลงไป
“ตอนนี้คุณมีผม”
ป๋อจิ่งชวนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ก่อนจะยกมือขึ้นมาสอดไปที่ด้านหลังท้ายทอยของเฉินฝานซิงแล้วค่อยๆ ดึงตัวเธอเข้ามาเบาๆ จนหน้าผากของเขาและเธอแนบติดกัน
“คุณจะไม่ต้องตัวคนเดียวอีกแล้ว ผมจะอยู่ข้างกายคุณเสมอ”
เฉินฝานซิงอมยิ้มพร้อมกับพยักหน้า “ค่ะ”
“เพราะงั้น คุณก็ไม่ควรจะมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แล้วทำไมถึงยังต้องยอมให้พวกเขาหาโอกาสรังแกคุณจนได้ ล่ะ หืม?”
ป๋อจิ่งชวนลูบผมเธอย่างนุ่มนวล แต่เขายังคงไม่รู้สึกพอใจที่เธอตกปากรับคำเจียงหรงหรงเรื่องนี้อยู่ดี
“ทำให้เธอสมหวังยังไงล่ะ แล้วก็เป็นการปลดปล่อยตัวฉันเองด้วย ฉันกับซูเหิง ไม่มีทางไปต่อได้แล้ว ตัดเรื่องระหว่างฉันกับสกุลเฉินออกไป แล้วมองแค่เรื่องถอนหมั้น ซึ่งถ้าฉันเป็นคนขอถอนหมั้นกับซูเหิงเองก็มีแต่จะเป็นผลดีกับฉัน แน่นอนว่าฉันต้องเต็มใจที่จะทำแบบนี้อยู่แล้ว”