ตอนที่ 163 สิ่งที่เรียกว่างานเลี้ยงดินเนอร์ในครอบครัว
คิ้วของเธอดูเคร่งขรึม หลังจากที่เงียบไปไม่กี่วินาที สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะเดินเข้าไป
“ฝานซิง มาแล้วเหรอจ๊ะ…”
เสียงนั้นฟังอย่างไรก็รับรู้ได้ถึงความอึดอัด
มุมปากที่แข็งทื่อของเธอคลี่ยิ้มออกเล็กน้อย ด้วยการศึกษาของเธอ ทำให้เธอไม่อาจเพิกเฉยต่อบุคคลทั้งสองที่อยู่ตรงหน้านี้ได้
คนที่เพิ่งทักเธอไปเมื่อครู่คือไช่จิ้งอี๋ คุณแม่ของซูเหิง
เธออยู่ในเดรสลายลูกไม้สีม่วงเข้ารูป ดูแลสุขภาพอย่างดี จนถึงตอนนี้รูปหน้าของเธอก็ยังคงงดงามน่ามอง
และข้างๆ กันนั้นคือชายวัยกลางคนคนหนึ่งนั่งอยู่ในชุดสูทและรองเท้าหนังซูปิ่งโย่ว
แม้ใบหน้าของเขาจะดูเหมือนคนที่เข้มงวดมาแต่เกิด แต่ก็หาได้มีผลกับความหล่อเหลาหรือพลังที่เห็นอยู่ตรงหว่างคิ้วของเขาแม้แต่น้อย ซูเหิงดูเหมือนกับเขามาก
ต่อให้เรื่องระหว่างเธอกับซูเหิงจะเป็นเช่นไร สุดท้ายมันก็เป็นเรื่องของคนหนุ่มสาวอย่างพวกเธอเอง
เธอไม่เคยคิดที่จะเอาความเคียดแค้นในใจที่ถูกซูเหิงทรยศไปพาลใส่ผู้ใหญ่ทั้งสอง
แต่ว่าการพบเจอครั้งนี้มันน่าอึดอัดใจ ทำไมเราต้องมาพบกันในสถานการณ์แบบนี้ด้วย
วันนี้เจียงหรงหรงบอกว่ามันคืองานเลี้ยงของคนตระกูลเฉิน
แล้วผู้ใหญ่ของตระกูลซูสองท่านนี้ หมายความว่ายังไง
ปฏิกิริยาสงบนิ่งของเฉินฝานซิงทำเอาไช่จิ้งอี๋ทำตัวไม่ถูกจนต้องหันไปมองสามีของเธอที่นั่งอยู่ข้างๆ
ซูปิ่งโย่วปลอบโยนเธอด้วยสายตา ใบหน้าของเขาเองก็แฝงไปด้วยความจนใจ
“ให้ผู้ใหญ่เป็นฝ่ายทักทายก่อนแกนี่มันเป็นคนยังไง”
เฉินเต๋อฝานที่อยู่อีกมุมหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงเข้ม เขาประจันหน้ากับเฉินฝานซิงที่ก้าวเข้าด้วยท่าทีทำลายบรรยากาศอย่างไม่สบอารมณ์
“ไม่เป็นไรๆ …”
ไช่จิ้งอี๋รีบออกโรงไกล่เกลี่ย เพราะถึงอย่างไรเธอก็ไม่ได้จงเกลียดจงชังเฉินฝานซิงอยู่แล้ว อีกอย่าง เรื่องทั้งหมดควรเป็นบ้านสกุลซูที่ต้องเอ่ยขอโทษเธอ
เฉินฝานซิงไม่ได้สนใจเฉินเต๋อฝาน อันที่จริงเธอก็ไม่ได้ใส่ใจเฉินเต๋อฝานกับหยางลี่เวยมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
เฉินฝานซิงรินน้ำให้ตัวเองแก้วหนึ่ง เธอจรดลงริมฝีปากแล้วค่อยๆ จิบ ขณะที่เธอเพิ่งวางแก้วลงบนโต๊ะ เสียงหัวเราะเบาๆ ก็แว่วมาจากประตูทางเข้า
“คุณปู่พูดถูก เธอก็สวยอยู่แล้ว ต่อให้สวมผ้าขี้ริ้วก็สวย”
“อะไรนะ ใครจะไปสวมผ้าขี้ริ้ว!”
มือของเฉินฝานซิงจับแก้วในมือไว้แน่นขึ้นเล็กน้อย เธอนั่งหันหลังให้ประตู ไม่แม้จะขยับตัวเก้าอี้ที่คลุมด้วยผ้าคลุม ซ่อนร่างเธอไว้อย่างมิดชิด
เสียงหัวเราะที่ไม่ได้ดูเปิดเผยนักของเฉินซั่งหวาค่อยๆ ใกล้เข้ามามากเรื่อยๆ แต่กลับทำให้หัวใจของเฉินฝานซิงรู้สึกว่างเปล่า
เธอบอกกับตัวเองว่ามันไม่ควรเป็นแบบนี้ เชียนโหรวเองก็เป็นหลานสาวของท่าน มันไม่ผิดที่ท่านจะปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียม
แต่ถ้าหากจะพูดว่า การรับประทานอาหารร่วมกันในวันนี้ท่านเป็นคนอยากให้เธอมา แล้วท่านเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าเธอต้องอยู่ที่นี่ในสถานะที่น่าขำแค่ไหน!
ซูเหิงเข็นเฉินซั่งหวาที่นั่งบนรถเข็น เฉินเชียนโหรวเองก็คล้องแขนของเขาอยู่ พูดพลางหัวเราะพลางเดินกันเข้ามา
“คุณลุงคุณป้ามาถึงกันแล้ว? ต้องขอโทษด้วยนะคะ พอดีหนูกับซูเหิงไปรับคุณปู่ที่บ้านมา”
เฉินเชียนโหรวกะเอาไว้แล้วว่าเปิดประตูเข้ามาก็คงจะได้พบกับคุณพ่อคุณแม่ของซูเหิง เธออธิบายสาเหตุที่ต้องมาสายให้พวกเขาฟังอย่างเหนียมอาย
ไช่จิ้งอี๋ยกยิ้มขึ้น “ไม่เป็นไรจ้ะ เราเข้าใจ”
ในตอนนี้ เฉินเต๋อฝานก็ยกยิ้มขึ้น “ดูเอาเถอะ นี่ก็อีกคน ไม่เห็นหัวพ่อแม่บังเกิดเกล้าแล้ว!”
“คุณพ่อคะ พูดอะไรอยู่เนี่ย”
เฉินเชียนโหรวกระทืบเท้า แล้วหันใบหน้าสีระเรื่อไปมองเฉินเต๋อฝานอย่างน่าเอ็นดู
ไช่จิ้งอี๋ปิดปากขำ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างหยอกล้อ
“แหงละ ลูกสาวที่แต่งงานออกไปก็เหมือนน้ำที่ถูกสาดออกมา จากนั้นเฉินเชียนโหรวก็จะกลายเป็นน้ำในสระของตระกูลซู ก็ต้องเอาใจฉันดีๆ หน่อย ตอนนี้เธอเริ่มจะเห็นอนาคตแล้ว”
“ฮ่าๆ ไม่ใช่น้ำๆ เธอเป็นแก้วตาดวงใจของสกุลเฉิน…”
ตอนที่ 164 หนูช่วยปล่อยให้พวกเขาได้สมหวังกันเถอะนะ
“ฮ่าๆ ไม่ใช่น้ำๆ เธอเป็นแก้วตาดวงใจของสกุลเฉิน…”
“ใช่ๆ วางใจเถอะ เราจะรักษาอัญมณีชิ้นนี้ให้เป็นอย่างดี!”
“พ่อ คุณป้า ทุกคน…พอได้แล้วค่ะ…”
ใบหน้าของคนถูกเอ่ยถึงแดงขึ้นเป็นริ้ว ร่างที่ยืนอยู่ตรงประตูเขินจนต้องแอบอิงเข้าไปในอ้อมอกของอีกฝ่าย
“เอาล่ะๆ ลอยไปถึงไหนต่อไหนแล้วนั่น! นั่งลงก่อน!”
ตอนนั้นเอง เจียงหรงหรงเอ่ยขึ้น แม้เสียงจะฟังดูเข้มงวดแต่ก็ไม่ขาดความรักใคร่
เฉินฝานชิงนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ฟังเสียงหัวเราะอันเริงร่าของคนทั้งห้อง เธอก็เหมือนเป็นคนนอกไปโดยสมบูรณ์
มีอยู่หลายครั้งที่เธออยากจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
แต่เธอก็รู้ดีว่าการทำแบบนั้นจะดูไม่งาม
ทำให้เห็นว่าสุดท้ายแล้วเธอยังห่วงใยพวกเขาอยู่มากแค่ไหน…
เธอทำได้เพียงนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ สายตาเย็นชาจ้องมองความสุขและสนิทสนมของคนในครอบครัวอยู่ไม่ห่าง
แต่จนกระทั่งทั้งสามเดินเข้ามาใกล้โต๊ะอาหาร พวกเขาก็ถึงกับหน้าเปลี่ยนสีทันที
“พี่คะ พี่ก็มาด้วยเหรอ!” ใบหน้าของเฉินเชียนโหรวทั้งดูอึดอัดและประหลาดใจ
รอยยิ้มบนในหน้าของซูเหิงเองก็ชะงักค้าง
“ฝานซิง เธอ…มาแล้ว…”
เธอยกริมฝีปากขึ้นไม่พูดจา
ดูเหมือนทั้งห้องจะตระหนักได้ถึงการมีอยู่ของเฉินฝานซิงอีกครั้ง บรรยากาศเริ่มหนักอึ้งขึ้นในทันที
เฉินซั่งหวามองไปที่เฉินฝานซิงก่อนจะลอบถอนหายใจ “นั่งกันเถอะ!”
หลังจากที่พวกเขานั่งลง บรรยากาศก็ยังคงกดดัน
“เสิร์ฟอาหารได้” เฉินซั่งหวาสั่งขึ้นเสียงเข้มอีกครั้ง
“เดี๋ยวก่อน”
ในที่สุดเฉินฝานซิงก็ค่อยๆ เอ่ยขึ้น ใบหน้าของเธอไร้ความรู้สึกราวกับสายลม
ทุกคนพากันจับจ้องไปที่เธอ
“คุยอะไรก่อนสักหน่อย อย่างเช่น…ที่บอกว่างานเลี้ยงตระกูลเฉิน ขอถามหน่อยว่าทำไมถึงได้มีคนนอกเข้ามาร่วมได้”
เธอรู้ตั้งนานแล้วว่าถ้าเจียงหรงหรงออกโรงเองอย่างนี้ มักจะมีอะไรดีๆ?
แค่นึกไม่ถึงว่าผลของมันจะทำให้เธอ…
สะอิดสะเอียน!
ใบหน้าของไช่จิ้งอี๋และซูปิ่งโย่วดูหนักใจ
เจียงหรงหรงสูดหายใจเข้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึมก่อนจะเอ่ยเสียงเข้ม
“จุดประสงค์หลักของวันนี้คือเพื่อหารือเกี่ยวกับงานแต่งของเฉินเชียนโหรวกับซูเหิง และถือโอกาสกำหนดงานหมั้นและงานแต่งงาน”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน” แววตาว่างเปล่านั้นเปี่ยมไปด้วยความเย้ยหยัน
“เพราะเธอกับซูเหิงหมั้นกันอยู่ ที่รวมกันในวันนี้ก็เพื่อที่จะถอนหมั้นอย่างเป็นทางการ แล้วก็ถือโอกาสในวันครบรอบบริษัทชี้แจงเรื่องนี้บนเวที พูดเรื่องปัญหาความสัมพันธ์ของพวกเธอที่เกิดขึ้น และเธอเป็นฝ่ายขอถอนหมั้นเอง…”
เฉินฝานซิงกระตุกยิ้มเย็น “เพื่อทดแทนหนี้สินที่ติดค้างสกุลซูไว้ จึงเอาเฉินเชียนโหรวใส่กระกร้ายกให้ซูเหิงในฐานะค่าทำขวัญ แบบนี้เฉินเชียนโหรวก็ไม่ต้องแบกรับคำว่ามือที่สามที่เข้ามาแทรกแซงความสัมพันธ์ของคนอื่น พวกเขาทั้งสองเองก็ไม่ต้องกลัวคำครหาของใครต่อใคร และก็ครองคู่กันอย่างถูกทำนองคลองธรรมแล้วถูกไหม”
สิ้นเสียงของเธอทั้งห้องก็เงียบกริบอย่างกับป่าช้า
เป็นเวลานานกว่าที่เจียงหรงหรงจะเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าขุ่นมัว
“ฉันรู้ว่าแกไม่ชอบเชียนโหรวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่แกยังไม่เข้าใจท่าทีของซูเหิงเหรอ ซูเหิงและเฉินเชียนโหรวได้เดินมาถึงจุดที่ไม่อาจแยกจากกันได้แล้ว ถ้าเลือกได้เขาคงไม่ตัดสินใจทำเรื่องแบบนี้”
ในตอนนั้นไช่จิ้งอี๋เองก็พยักหน้าไม่หยุดด้วยความรู้สึกผิด จนแทบจะร้องไห้ออกมา
“ฝานซิง นี่คือความจริงนะ มันเป็นความจริงจะ อันที่จริงตั้งแต่ก่อนที่หนูจะออกจากประเทศไป ฉันก็ดูออกแล้วว่าอาเหิงชอบหนูเชียนโหรว แต่ว่าเขาก็รู้สึกเสียใจมาตลอดว่าไม่อาจจะทำให้หนูผิดหวังได้! หลายปีมานี้เขาต้องใช้ชีวิตอยู่กับความขื่นขม ไม่อย่างนั้น…ไม่อย่างนั้นก็คงปกปิดความสัมพันธ์ไม่ได้อีกต่อไป และยังคงรู้สึกผิดต่อไป…ฝานซิง หากหนูยังมีความรู้สึกดีๆ หลงเหลือให้เขาอยู่บ้าง ก็ช่วยปล่อยเขาไปได้ไหมจ๊ะ ปล่อยให้เขาได้มีความสุขเถอะนะ! นะ? ถือว่าน้าขอ หนูปล่อยอาเหิง? ให้เขากับเชียนโหรวได้สมหวังกันเถอะนะ!”