ตอนที่ 73 ความรู้สึกแบบนั้นมันตายไปตั้งนานแล้ว!
นั่นทำให้เธอนึกถึงตอนที่หลินเฟยเฟยผลักเธอถึงสองครั้งที่จัตุรัสซินซื่อเจี้ยเมื่อบ่ายวันนี้
เอวของเธอไปกระแทกเข้ากับกระจกรถโรลส์รอยซ์ของซูเหิง
ตอนนั้นแค่รู้สึกเจ็บๆ ก่อนที่จะไม่ไปสนใจมันอีก
นึกไม่ถึงเลยว่ามันจะเจ็บจนมาถึงตอนนี้
เธอกุมเอวยืดตัวขึ้นแล้วเดินไปนั่งลงตรงเก้าอี้หวายที่ห่างออกไปไม่ไกล
สมองดันไปคิดถึงเรื่องที่ของป๋อจิ่งชวนทำไว้เมื่อตอนบ่ายขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
เรื่องที่เขาหักแขนหลินเฟยเฟยไปข้างนึง
เรื่องที่เขาพังรถของซูเหิงไปคันนึง
เรื่องที่อวี๋ซงพูดว่าพวกนั้นดันไปมีเรื่องกับคนที่ไม่ควรมีเรื่อง
เรื่องที่ป๋อจิ่งชวนพูดว่าต่อว่าครอบครัวเขาต้องล่มจมเขาก็ยินดี
มุมปากของเธอแย้มขึ้นอย่างเผลอตัว ความสดใสจากนัยน์ตาเพียงเล็กน้อยแต่กลับงดงามน่ามองยิ่งกว่าดอกไม้ทั้งหมดในสวน
–
ระหว่างทางกลับบริษัท สิ่งที่อยู่ในใจของอวี๋ซงนั่นก็คือความสบายอกสบายใจ
เขารู้สึกว่าตนมีความสุขยิ่งกว่าเจรจาธุรกิจหมื่นล้านได้สำเร็จเสียอีก
จะว่าไปก็ใช่ ในฐานะขุนศึกไร้พ่ายบนโต๊ะเจรจา เมื่อเจรจาเสร็จไปแล้วหนึ่งธุรกิจที่เหลือก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ
เขาเคลื่อนสายตาไปยังกระจกมองหลัง ตอนนี้ป๋อจิ่งชวนกำลังก้มหน้าก้มตาเคลียร์เอกสารในโทรศัพท์
แม้ยุ่งขนาดนี้ยังยอมทิ้งคนทั้งห้องประชุมเพื่อออกมาด้วยตัวเอง
หรือนี่จะเป็นอย่างที่เขาว่ากันว่ารักหญิงงามไม่รักแผ่นดิน?
หากลองให้พวกผู้บริหารระดับสูงของบริษัทที่โดนเทไปถึงสองสองครั้งสองคราวในวันเดียวรู้เหตุผลนี้ละก็ พวกนั้นจะไม่กระอักเลือดกันหมดเหรอ
“จะพูดอะไร” จู่ๆ ป๋อจิ่งชวนก็พูดขึ้นทำเอาอวี๋ซงตกใจจนเผลอกำพวงมาลัยในมือแน่น
“…วันนี้คุณหนูเฉินทำเอาคนคาดไม่ถึงกันไปเลยนะครับ”
“ทำเอาคนคาดไม่ถึงตรงไหน”
อวี๋ซง: “…” ทำเอาคนคาดไม่ถึงตรงไหน?!
ต่อให้รวยล้นฟ้าก็ไม่น่าจะซื้อรถหรูมาพังเล่นตามอำเภอใจแบบนี้!
ขอถามหน่อยเถอะจะมีผู้หญิงสักกี่คนที่กล้าทำเรื่องแบบนั้น
วันนี้คุณหนูเฉินห้าวหาญเสียขนาดนั้น ทำไมคุณผู้ชายของเขายังนิ่งเฉยได้เพียงนี้
ไม่รู้สึกว่ามันน่าเหลือเชื่อสักนิดเลย?
ดูๆ ไปแล้วคุณผู้ชายของเขาจะมีคราบของความทรราชอยู่หน่อยๆ
–
เฉินฝานซิงที่กำลังจะเคลิ้มหลับขณะนั่งอยู่ในสวน ไม่นานเธอก็ถูกปลุกขึ้นด้วยเสียงโทรศัพท์ของตัวเอง
เป็นสวี่ชิงจือนั่นเอง
“ฝานซิง เธอแน่มาก! นกที่ไม่ส่งเสียงร้อง แต่พอร้องก็ทำให้คนตกตะลึง [1] ! ฟาดเงินซื้อรถมาพังเล่น ขอบใจนะที่เธอทำแบบนั้น!”
เฉินฝานซิงเลิกคิ้ว ความสงสัยผุดขึ้นในดวงตา
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อบ่ายวันนี้ก็…ไม่นับว่าเป็นเรื่องเล็กๆ ยิ่งไปกว่านั้นตอนแรกก็มีคนมามุงดูตั้งเยอะแยะ สวี่ชิงจือจะรู้ก็ไม่แปลก
เพียงแต่…
“เรื่องนี้ดังไปถึงในโซเชียลแล้ว?”
“เธอว่าไงล่ะ! ยังมีคนขุดพบอีกนะว่าเฟอร์รารี่คันนั้นเป็นของเฉินเชียนโหรวน่ะ ทางหลานอวิ้นก็คงรีบกลบข่าวก่อนใคร แต่ซูเหิงเองก็คงไม่เหลือ เรื่องมันเกี่ยวโยงถึงเฉินเชียนโหรวกับเขาแบบนี้ มีหรือท่านประธานใหญ่แห่งสกุลซูผู้ทรงเกียรติจะยอมขายหน้าเพราะเรื่องแบบนี้”
เฉินฝานซิงยกมุมปาก จะว่าไปก็ถูก
“แต่ฉันว่าครั้งนี้เธอระวังตัวไว้หน่อยก็ดีนะ ก็เฉินเชียนโหรวร้ายซะขนาดนั้น เหอะๆ …คงไม่ปล่อยให้เธอสบายใจได้นานหรอก ยิ่งพวกแฟนคลับของเฉินเชียนโหรวยิ่งไม่ต้องพูดถึง! เกิดคลั่งขึ้นมาแล้วมีเรื่องอะไรบ้างที่ทำไม่ได้ เธอต้องระวังตัวให้มากๆ นะ! …เอาอย่างนี้ไหม สองสามวันนี้เธอไม่ต้องมาทำงานที่บริษัทฉันก่อน จะได้ไม่ต้องโดนพวกแฟนคลับดักทำร้ายโดยใช่เหตุ”
เฉินฝานซิงไม่ได้โต้ตอบ
หลายปีมานี้ซิงเฉินกั๋วจี้เองก็รับใบบันทึกรายการจากคนดังไม่ใช่น้อยๆ ที่สกุลซูเองเธอก็เป็นคนจัดการด้านการประชาสัมพันธ์ด้วยตัวคนเดียว
ดังนั้นการประชาสัมพันธ์จึงไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเธอ
เธอยอมรับว่าสิ่งที่ชิงจือกลัวนั้นก็ถูก เธอจึงไม่ปฏิเสธข้อเสนอนี้
ทุกอย่างต้องได้รับการแก้ไข แต่เธอกลับไม่ได้หวาดกลัว เวลาแบบนี้หลานอวิ้นคงจะออกมาทำอะไรสักอย่างเพื่อเฉินเชียนโหรว
ในเมื่อพวกเขาเป็นฝ่ายบีบบังคับ เธอเองก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวอะไรทั้งนั้น!
ความรู้สึกแบบนั้นมันตายไปพร้อมกับวันที่คนพวกนั้นบีบบังคับจนแม่ของเธอต้องกระโดดน้ำไปวันนั้นแล้ว!
ตอนที่ 74 ใครบางคนแถวนี้จะไปนั่งติดได้ยังไง
“แฮะแฮ่ม…ฝานซิง ถึงพรุ่งนี้เธอจะมาทำงานไม่ได้ แต่ก็ห้ามอยู่เฉยๆ ล่ะ! ศุกร์นี้เป็นงานเลี้ยงการกลับมาเพื่อรับตำแหน่งประธานสูงสุดของกรรมการหนุ่มแห่งสกุลป๋อ ถึงวันนั้นฉันจะพาเธอไปด้วย…”
เธอนิ่งไปเล็กน้อย ศุกร์นี้อีกแล้ว …
“ว่ากันว่าค่ำวันนั้น ส่วนใหญ่พวกคนมีชื่อเสียงและผู้มีอิทธิพลจากทั่วทุกมุมโลกจะมากันหมด พอถึงตอนนั้นเราก็ถือโอกาสนี้หาผู้ชายที่เพียบพร้อมเรื่องหน้าตา เพียบพร้อมเรื่องรูปร่างและก็เพียบพร้อมเรื่องชาติตระกูลสักคนมาโชว์สวีทหวาน ต้องแปลงโฉมให้เช้งกะเด๊ะด้วยนะ เอาให้ฟาดหน้าหญิงร้ายชายเลวคู่นั่นแรงๆ ไปสักฉาด!”
เฉินฝานซิงยกยิ้มขึ้น “นี่ฉันต้องเอาตัวเข้าแลกเพื่อแก้แค้นพวกนั้น? ไม่คุ้มมั้ง?”
สวี่ชิงจือทอดถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย “ฉันกะอยู่แล้วว่าเธอต้องพูดแบบนี้! แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นหลักนะ ประเด็นหลักคือเรื่องหลังจากที่กรรมการหนุ่มสกุลป๋อได้ขึ้นรับตำแหน่งไปแล้ว!”
“เอ่อ?”
“รู้จักห้างที่เฉิงเป่ยที่กำลังก่อสร้างอยู่ใช่ไหม”
เฉินฝานซิงพยักหน้ารับโดยไม่ต้องคิด “รู้จัก”
นั่นแหละคือเนื้อติดมันชิ้นหนึ่ง [2] เลย
สินค้าแทบจากทั่วทุกมุมโลกกำลังเล็งศูนย์การค้าแห่งนั้นอยู่!
แม้แต่สกุลซูเองช่วงนี้ก็พยายามอย่างหนักเพื่อที่จะได้เข้าไป
“ห้างนั่นนะ ก็คือห้างของสมาคมสกุลป๋อล่ะ!”
แสงสะท้อนในดวงตาของเธอวูบไหวเล็กน้อย เธอทอดมองไปยังสวนเบื้องหน้าที่จัดตกแต่งอย่างสวยงามพร้อมพูดต่อว่า
“เพราะงั้นเธอเองก็เล็งที่นั่นไว้เหมือนกัน”
“อื้ม ดูจากขนาดก็รู้แล้วว่าที่นั่นจะต้องเป็นห้างที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของประเทศอย่างไม่ต้องสงสัยเลย หากจือชิ่นได้เข้าไปนะ ก็นับว่าเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกว่าที่เคยผ่านมาเลย! ได้รับการยอมรับจากสกุลป๋อ อีกทางหนึ่งก็เท่ากับว่าได้มีต้นไม้ใหญ่ตระหง่านไว้เป็นที่พึ่งพิง!”
เหตุผลนี่เฉินฝานซิงรู้ได้เองโดยไม่ต้องถาม แต่ก็ใช่ว่าทุกคนที่จะสมหวังในการไต่เต้าความสัมพันธ์กับสกุลป๋อ
“แล้วไงล่ะ เธออยากให้ฉันทำอะไร”
“คิดค้นสูตรจากนั้นเริ่มวิจัยและพัฒนาน้ำหอม แต่ฉันก็ไม่ขออะไรมากหรอกนะ ถึงแม้จือชิ่นจะเล็กไปนิด แต่สองสามปีมานี้เสียงตอบรับด้านอุตสาหกรรมก็ถือว่าไม่เลว ฉันจะพยายามให้เต็มที่”
นัยน์ตาของเธอวูบไหว เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างสกุลซูแล้ว ขนาดและชื่อเสียงของจือชิ่นนั้นเห็นได้ชัดว่าแพ้ตั้งแต่จุดเริ่มต้น
ในขณะที่คุยอยู่นั้นเองสวี่ชิงจือสัมผัสได้ถึงความรู้สึกกังวลของคนปลายสาย
“ฝานซิง…ฉันน่ะไม่เคยซีเรียสนะ จะแพ้ก็แพ้ แต่ฉันเชื่อมั่นในตัวเธอ! แค่เธอตกลงจะมาทำงานกับจือชิ่น ก็เพิ่มความมั่นใจให้กับฉันได้ไม่น้อยเลย!”
ความกังวลของเฉินฝานซิงค่อยๆ จางหายไป สำหรับเธอแล้วไม่มีประโยคไหนจะมีความหมายไปกว่าคำว่าเชื่อใจแค่คำเดียว
ยิ่งไปกว่านั้นหลายปีมานี้ก็มีเพียงสวี่ชิงจือคนเดียวเท่านั้นที่เชื่อมั่นในตัวเธอเสมอมา
“ตกลง ฉันจะพยายาม”
สวี่ชิงจือถอนหายใจอย่างโล่งอก “แต่เธอต้องจำไว้นะ วันศุกร์เธอต้องไปงานเลี้ยงกับฉัน ไปดูกันซิว่ากรรมการหนุ่มของสกุลป๋อคนนั้นจะแบนหรือกลม!”
เธอคลี่ยิ้มบางๆ “จ้าๆ วันศุกร์เจอกัน”
เฉินฝานซิงกดวางสายไปก่อนจะเห็นคนรับใช้คนหนึ่งเดินออกมาทิ้งขยะ เขาอาจจะเริ่มเตรียมมื้อเย็นแล้ว
เธอยืนขึ้นเดินเข้าบ้านไปก่อนจะตรงไปยังครัว
–
การประชุมยังคงดำเนินไปจนกระทั่งได้สิ้นสุดลงตอนหกโมงเย็น ป๋อจิ่งชวนไม่ได้เลือกที่จะอยู่ทำโอทีต่อเหมือนที่ผ่านๆ มา แต่ได้สั่งให้อวี๋ซงเก็บเอกสารที่จำเป็นต้องเคลียร์เตรียมนำกลับไปสะสาง
อวี๋ซงไม่ได้แปลกใจตรงจุดนี้
คุณหนูเฉินกำลังทานมื้อเย็นกับนายหญิงอยู่ที่โน่น ใครบางคนแถวนี้จะไปนั่งติดได้ยังไง
“คุณผู้ชายจะกลับคฤหาสน์เซิ่งจิ่งหรือไปหานายหญิงครับ” อวี๋ซงแกล้งทำเป็นถาม
ป๋อจิ่งชวนมองเขาแวบหนึ่ง อวี๋ซงคลี่มุมปากอีกทั้งเริ่มออกรถไปยังบ้านของหญิงชราโดยไม่รอคำตอบ
แต่เมื่อรถได้ขับผ่านร้านยาแห่งหนึ่ง ป๋อจิ่งชวนที่ก้มหน้าก้มตาราวอย่างกับกำลังคิดคำนวณมาตลอดทางก็ได้สั่งกับอวี๋ซงหนึ่งประโยค
“จอดรถ”
——
[1] นกที่ไม่ส่งเสียงร้อง แต่พอร้องก็ทำให้คนตกตะลึง หมายถึงเป็นคนมีความสามารถแต่ไม่แสดงออกแต่เมื่อได้แสดงออกแล้วก็ทำให้คนที่ได้เห็นต่างตกตะลึง
[2] เนื้อติดมันชิ้นหนึ่ง ยุคข้าวยากหมากแพงเนื้อติดมันชิ้นเดียวก็ถือเป็นของหายากที่ใครก็อยากลิ้มลองสำนวนนี้จึงชี้ถึงสิ่งที่ใครต่างต้องการ