“คุณ…มาได้ไง”
เสื้อสูทของป๋อจิ่งชวนพาดอยู่ตรงไหล่ เชิ้ตยี่ห้อแพงสีขาวสะอาดตา คัฟลิงค์สีเงินคู่สวยฝังอยู่ที่ชายแขนเสื้อทั้งสองข้าง เขาดูสุภาพเรียบร้อยโดดเด่นเป็นสง่าตั้งแต่หัวจรดเท้า
ดวงตาสีดำขลับมองใบหน้าที่หลบออกไปอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาที่เปล่งประกายแฝงไปด้วยความสงสัย
นานสองนานกว่าเสียงทุ้มต่ำชวนฟังจะเอ่ยขึ้นในลำคอ
“ปกติในเวลาแบบนี้ผู้หญิงต้องร้องไห้สิ”
เฉินฝานซิงรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย หลังจากนั้นความกระจ่างก็ปรากฏขึ้นในดวงตาใส
เขาคงจะตามเธอมาตั้งแต่เมื่อกี้ คงได้ยินทั้งหมด คนฉลาดๆ อย่างเขาไม่มีทางไม่เข้าใจ
“โทษทีนะ ปกติผมไม่ได้มีนิสัยชอบแอบฟังคนอื่นหรอก”
เฉินฝานซิงไม่ใส่ใจ
“เสียน้ำตาให้คนแบบนั้นไปก็ไม่มีความหมาย อีกอย่างน้ำตาฉันไม่มีค่าอะไร”
คิ้วเข้มขยับเล็กน้อย “จริงอย่างที่คุณว่า น้ำตาตกเพราะผู้ชายไร้ค่าเพียงคนเดียวเปลืองความรู้สึกเปล่าๆ แต่ว่าประโยคสุดท้ายของคุณ ผมขอเสริมนิดนึง”
เฉินฝานซิงแหงนหน้ามองเขาด้วยแววตาน่าสงสัย
นัยน์ตาสีนิลจ้องมองอีกฝ่ายแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเบา
“น้ำตาจะมีค่าหรือไม่มีค่า ต้องดูว่าคุณร้องไห้ต่อหน้าใคร บางคนอาจมองว่ามันไม่มีค่า แต่สำหรับบางคนกลับมองว่ามันประเมินค่าไม่ได้”
คำพูดที่แสดงออกถึงความอบอุ่นอย่างชัดเจน ทว่ากลับเคลือบแฝงไปด้วยตรงไปตรงมาและความลึกซึ้งจนทำให้หัวใจของเธอกระตุกวูบ ก่อนที่เธอจะหลบสายตาออกมาอย่างลุกลี้ลุกลน
ป๋อจิ่งชวนค่อยๆ เก็บผ้าเช็ดหน้าลงกระเป๋าไป “ตอนนี้ผมกำลังตอบคำถามแรกของคุณอยู่นะ”
เขานิ่งไปสักพัก แล้วลู่ตาลงมอง
“คุณเป็นผู้หญิงฉลาด คงเดาได้ไม่ยากว่าคุณย่าอยากให้ผมจีบคุณ”
นัยน์ตาเธอเบิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่ความอึดอัดจะปรากฏบนใบหน้าเกลี้ยงเกลา
“ฉันเดาว่า…คุณคงปล่อยให้ท่านรอนานแล้วและฉันคิดท่านน่าจะอยากได้หลานน่ารักๆ สักคน”
“คุณนี่ฉลาดจริงๆ”
เสียงหัวเราะของป๋อจิ่งชวนทำให้เฉินฝานซิงผ่อนคลายลงไปบ้าง
“แต่ผมเลือกที่จะจีบคุณเอง เพราะคนที่จะมีลูกให้กับผมไม่ใช่ว่าผู้หญิงคนไหนก็เป็นได้”
ป๋อจิ่งชวนพูดขึ้นอีก น้ำเสียงนุ่มนวลแต่แฝงความแข็งแกร่งและเย่อหยิ่งทำให้เฉินฝานซิงทนเงียบต่อไปไม่ไหว
แต่เธอไม่เคยคิดว่า ผู้ชายที่โดดเด่นเป็นสุภาพบุรุษอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างเขา จู่ๆ ก็พูดจาไม่ยั้งปากได้แบบนี้
“ปกติเวลาคุณป๋อจีบสาวจะพูดจาตรงๆ แบบนี้เสมอเหรอคะ?”
“ผมเคยจีบคุณแค่เดียว”
เฉินฝานซิงปวดหัวขึ้นมาบ้างแล้ว เป็นครั้งแรกที่เธอคิดว่ารับมือกับคนคนหนึ่งมันยากขนาดนี้
“เราเจอกันอย่างมากสุดไม่เกินหนึ่งชั่วโมงในหนึ่งวัน เจอหน้ากันแค่สองครั้ง คุณป๋อคุณไม่คิดว่ามันเร็วเกินไปหน่อยเหรอ”
“ผมเชื่อสายตาตัวเอง”
ในที่สุดสีหน้าไร้อารมณ์อารมณ์ของเธอก็ปริออกจนเห็นรอยร้าวอย่างชัดเจน
เนิ่นนานที่เธอยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
“เมื่อกี้คุณคงได้ยินฉันคุยผู้ชายคนนั้นแล้วใช่ไหม ฉันรู้จักเขามาแปดปีแต่กลับได้มาเพียงความเชื่อใจที่เปราะบาง ฉันก็แค่คนที่ผ่านมาโดยบังเอิญ อะไรทำให้คุณมั่นใจในตัวฉันนัก”
ป๋อจิ่งชวนเลิกคิ้ว “นี่คุณเอาผมไปเทียบกับคนสับปะรังเค?”