ชายหนุ่มเหม่อมองเจ้าของร่างที่ทั้งผอมบางและดื้อรั้นเดินหายไปจนลับตา
ป๋อจิ่งชวนยืนนิ่ง
ผลสุดท้ายคือเขาถูกคุณย่าฟาดป้าบเข้าให้ที่ก้น!
ร่างสูงแข็งทื่อไปทั้งตัว เมฆมืดครึ้มพลันก่อตัวขึ้นในดวงตานิ่งสงบและเฉยเมยของเขา
ป๋อจิ่งชวนไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าคนที่ไม่เคยถูกใครใช้กำลังด้วยมาตลอดยี่สิบแปดปีอย่างเขา ต้องมาโดนฟาดก้นเพราะเรื่องแบบนี้!
ไหลหรงที่อยู่ข้างหลังหลุดขำออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“เร็วเข้าสิ! แกจะให้ฉันคลั่งตายให้ได้เลยใช่ไหม”
คุณย่าไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังเร่งเขาอีก
นิ้วยาวยกขึ้นกดลงตรงหว่างคิ้วที่มีอาการปวดตึ๊บอย่างพูดไม่ออก
“ครับ คุณย่า!”
–
เฉินฝานซิงเดินเข้ามาที่ห้องพักผู้ป่วยเพียงลำพัง ซูเหิงได้มารอเธออยู่ก่อนแล้ว
เขายืนอยู่ริมหน้าต่าง หันหลังให้กับประตู ชุดสูทสีเทาดูมีราคา ตอนนี้เสื้อสูทตัวนอกได้หายไปแล้ว เหลือแค่เสื้อเชิ้ตตัวสีขาวเท่านั้น
ท่าทีผ่อนคลายแบบนั้นทำให้เฉินฝานซิงหวนนึกถึงช่วงเวลาในมหาวิทยาลัย ผู้ชายที่สวมเชิ้ตสีขาวและแสนสุภาพอ่อนโยนคนนั้น
แต่น่าเสียดาย เมื่อคืนวันได้ผันเปลี่ยน เด็กหนุ่มคนนั้นก็ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว
เฉินฝานซิงไม่ได้เข้าไปหาเขา ได้แต่เดินเข้าห้องพักมาเงียบๆ โดยที่เธอเองก็แอบนึกหวั่นอยู่ในใจ
เมื่อรู้สึกว่ามีคนเดินเข้าห้องมา ซูเหิงจึงหมุนตัวกลับไป
“เธอไปไหนมา?”
เฉินฝานซิงไม่ตอบ เธอตรงไปนั่งบนเตียงคนไข้
ซูเหิงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เมื่อกี้ที่เผลอผลักเธอไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบน่ะ ขอโทษนะ”
น้ำเสียงของเขาช่างอบอุ่นราวกับว่าผู้ชายที่เพิ่งถลึงตาใส่เธออย่างเดือดดาลเป็นเพียงแค่เรื่องที่เธอฝันไปเท่านั้น
“เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ ไม่ใช่ความผิดของฉัน”
ไม่ว่ายังไง เธอก็ต้องยืนยันความบริสุทธิ์ให้ตัวเอง
ซูเหิงก้มลงต่ำ สายตาที่แฝงไปด้วยความรู้สึกผิดและความพยายามก่อนหน้า บัดนี้ได้เต็มด้วยการถากถาง
“นายรู้ไหมว่าเชียนโหรวพูดว่าไงบ้าง”
ดวงตาแข็งกร้าวมองลงมาจากเหนือศีรษะ เมื่อเฉินฝานซิงเงยหน้าขึ้นมอง สิ่งที่เธอได้รับคือแววตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังของซูเหิง
“เธอบอกว่า เธอจับแก้วไว้ไม่แน่นเองทุกอย่างเป็นความผิดของเธอ เชียนโหรวแก้ต่างให้เธอทุกอย่าง แล้วเธอล่ะ? เอาแต่โยนความผิดให้คนอื่น ฝานซิงมันไม่ควรจะกลายเป็นแบบนี้เลย ”
ฝานซิงมองเขานาน จากแววตาตกตะลึง แปรเปลี่ยนเป็นผิดหวัง และกลายเป็นว่างเปล่าในที่สุด
เธอเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง แล้วกระตุกยิ้มเย็นที่มุมปาก
ยิ้มจางๆ ดุจสายหมอกที่อัดแน่นด้วยความเย้ยหยัน
“ซูเหิง เรารู้จักกันมากี่ปีแล้ว”
ซูเหิงชะงักไป แต่ก็ยอมตอบออกมา “แปดปี”
“เหอะ…”ฝานซิงแค่นหัวเราะออกมา
แปดปีแล้ว!
แปดปี เธอไม่เคยคิดมาก่อน!
ว่าความเชื่อใจที่ซูเหิงมีต่อเธอจะเปราะบางขนาดที่สะกิดเบาๆ ก็พังทลายได้ง่ายๆ
ผู้ชายแบบนี้ หาที่ไหนก็เจอ!
เฉินฝานซิงหยัดกายขึ้นมองตรงไปยังเขาอย่างเย็นชา
“ซูเหิง เราถอนหมั้นกัน”
เสียงเย็นกระแทกด้วยความหนักแน่นและเด็ดเดี่ยวไม่ว่าใครก็ไม่อาจคัดค้านได้
ซูเหิงมองด้วยแววตาตื่นตะลึง
“ทำไม่ทำหน้าอย่างนั้นล่ะ? ตั้งแต่วันที่นายช่วยเชียนโหรว หรือแม้แต่ก่อนหน้านี้ นั่นหมายความนายได้เลือกดีแล้วไม่ใช่เหรอ”
ซูเหอนิ่งอึ้ง มองเข้าไปนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความสลับซับซ้อนของเฉินฝานซิง ก่อนมันถูกจะสลัดออกในชั่วอึดใจ
“ฝานซิง ขอโทษจริงๆ ไม่แน่บางทีการที่เราแยกทางกันอาจเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องแล้วก็ได้ ขืนยังไปกันต่อ ฉันกลัวว่าสักวันฉันจะอยากปกป้องเชียนโหรวจนเผลอพลั้งมือทำร้ายเธอให้เจ็บหนักกว่าเดิม ”
คนฟังถึงกับกำมือเข้าหากัน แล้วเชิดหน้าขึ้นมองอย่างเยือกเย็น
“ปกป้องเชียนโหรว? ซูเหิง หมายความว่าที่ผ่านมานายไม่เคยเชื่อฉันแม้แต่ครั้งเดียวเลยงั้นเหรอ!”
แววตาของเขาสั่นคลอน “เชียนโหรวบอบบางและไร้เดียงสาเกินไป ฝานซิงเธอ…ทั้งเย็นชาและเข้มแข็งเกินไป”