“เป็นอะไรไปครับ ลั่วอิงไม่อยากเล่าให้ลุงจางฟังเหรอ บางทีถ้าหนูได้เล่าสิ่งที่หนูกำลังกลัวอยู่ มันจะทำให้หนูหายกลัวได้นะ
หนูดูคนที่ห่วงใยหนูสิครับ มีทั้งแม่โจวโจว คุณพ่อ แล้วไหนจะคุณปู่ คุณย่า คุณตา แล้วก็คุณยายอีก มีคนเป็นห่วงหนูตั้งเยอะแยะ หนูจะทำให้พวกท่านเสียใจไม่ได้นะครับ” จางจิ่งเซินหวังว่าลั่วอิงจะเป็นฝ่ายที่เล่าให้เขาฟังเอง เพื่อที่เธอจะได้ไม่ทิ้งปมไว้ในใจ
ผู้ป่วยทางจิตหลายรายมักจะมีอาการรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จากสภาวะเก็บกดในระยะยาว แม้ว่าลั่วอิงจะไม่ได้มีอาการป่วยทางจิต แต่เธอก็มีปมที่ถูกทิ้งอยู่ในใจ หากเธอไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมตั้งแต่ยังเด็ก ก็อาจจะส่งผลเกี่ยวกับโรคทางจิตใจหนักขึ้นได้เมื่อเธอโตขึ้น
หากใครบางคนถูกขังไว้ในที่มืดตั้งแต่ยังเด็ก หลังจากโตขึ้นมา เขาคนนั้นก็จะเป็นโรคกลัวที่แคบหรือกลัวความมืด หากเขาอยู่คนเดียวในห้องที่มิดชิด เขาคนนั้นก็จะเกิดอาการหวาดกลัว หัวใจของเขาจะสูบฉีด หายใจลำบาก บางครั้งความเจ็บปวดทางจิตก็รุนแรงกว่าทางร่างกายมาก
เมื่อลั่วอิงได้รับกำลังใจจากจางจิ่งเซิน เธอก็ค่อยๆ ถ่ายทอดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันที่เธอถูกลักพาตัวไปออกมา ถังโจวโจวและลั่วเซ่าเชินเงยหน้าตั้งใจฟัง นี่เป็นครั้งแรกที่ลั่วอิงเล่าถึงเหตุการณ์ในระหว่างที่เธออยู่ที่นั่นเพียงลำพัง
“พอหนูตื่นขึ้นมา หนูก็ไม่เห็นแม่โจวโจวแล้ว หนูถูกมัดอยู่ในที่แปลกๆ หนูกลัวมาก หนูก็เลยร้องไห้ออกมา แต่ว่าตรงนั้นไม่มีแม่โจวโจวคอยปลอบหนูอยู่ข้างๆ มีแต่คนใจร้ายที่ไม่ยอมให้หนูร้องไห้อีก และหนูก็ต้องกลั้นมันไว้ เพราะกลัวว่าเขาจะตีหนู
…จากนั้นพวกเขาก็หาอะไรมาให้หนูกิน แต่หนูไม่อยากกิน ทั้งๆ ที่หนูก็หิวมาก …พอแม่โจวโจวมาถึง ตอนแรกหนูก็ไม่เชื่อ แต่พอมองดีๆ หนูก็แน่ใจแล้วว่าเป็นแม่โจวโจวจริงๆ หลังจากนั้นหนูก็จำอะไรไม่ได้แล้วค่ะ”
เมื่อลั่วอิงเล่าจนจบ คราวนี้เธอก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันน่ากลัวเหมือนที่เธอฝังใจ พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเธอเลย พวกเขานำอาหารมาให้เธอด้วย แต่เธอไม่ยอมกินมันเอง
สองวันนั้นช่างเป็นวันที่มืดมน เดิมทีลั่วอิงคิดว่าการกลับไปคิดถึงเรื่องในวันนั้นมันเป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่หลังจากที่ได้เล่ามันออกมาแล้ว เธอกลับรู้สึกดี มันไม่เหมือนกับสิ่งที่เธอเคยผ่านมาก่อนเลยสักนิด
“ลั่วอิง หนูรู้ไหมครับ ตั้งแต่เด็กจนโต ทุกๆ คนต่างก็ผ่านความล้มเหลวหรือเจ็บปวดกันมาก่อนทั้งนั้น และในเมื่อหนูผ่านเรื่องนี้มาได้ ความจริงแล้วมันก็เป็นแค่หนึ่งในอุปสรรคของชีวิตหนู ตอนนี้หนูผ่านมันมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว เพราะฉะนั้นหนูอย่าได้กลัวมันอีกเลยนะครับ”
“แล้ววันข้างหน้าหนูจะเจออะไรอีกหรือคะ หนูขอไม่เจอมันได้ไหม” ลั่วอิงไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเธอถึงต้องเจอกับ ‘อุปสรรค’ มากมายขนาดนั้นอีก เธอจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไม่ได้เหรอ?
เมื่อจางจิ่งเซินเห็นว่าเธอไม่เข้าใจ เขาก็เลยเล่านิทานสั้นๆ ให้เธอฟัง ซึ่งความหมายโดยรวมก็คือ ‘เธอชอบเจอความลำบากก่อนแล้วสบาย’ หรือ ‘ชอบเจอความสบายก่อนแล้วค่อยเจอความลำบาก’? จากนั้นเขาก็ยังบอกเธออีกว่า เธอสามารถเรียนรู้อะไรได้มากมายจากอุปสรรค เช่น ความกล้าหาญ ความเมตตา ความยุติธรรม และอื่นๆ
เขาไม่รู้ว่าหลังจากที่ลั่วอิงได้ฟังและคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วเธอจะเข้าใจหรือไม่ อย่างไรก็ตาม จางจิ่งเซินถือว่านี่เป็นแค่การโยนหินถามทาง หากลั่วอิงยอมรับได้ มันก็เป็นเรื่องที่ดี เขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีอื่น
หลังจากการสนทนาระหว่างเขากับลั่วอิงจบลง จางจิ่งเซินก็บอกลาถังโจวโจวและลั่วเซ่าเชิน ถังโจวโจวและลั่วอิงเดินกลับเข้าไปในบ้านเมื่อเห็นว่าจางจิ่งเซินขึ้นรถไปแล้ว ส่วนลั่วเซ่าเชินนั้นจงใจตามกลับเข้าไปทีหลัง แล้วก็ดูเหมือนว่าจางจิ่งเซินจะอ่านความคิดของลั่วเซ่าเชินออก เขาจึงยังไม่ได้เคลื่อนรถออกห่างจากตัวบ้านไป
ลั่วเซ่าเชินใช้เวลาเดินแค่ไม่กี่ก้าวก็สามารถขึ้นไปนั่งบนรถของจางจิ่งเซินได้ และก่อนที่เขาจะได้อ้าปากพูด จางจิ่งเซินก็ได้อธิบายความตั้งใจของลั่วเซ่าเชินก่อนแล้ว “ผอ. ลั่วคงอยากจะทราบว่าอาการของคุณหนูเป็นยังไงบ้างใช่ไหมครับ?”
“คุณหมอจาง ในเมื่อคุณพูดออกมาแล้ว เราก็ไม่ต้องอ้อมค้อมกันแล้วนะครับ อาการของลั่วอิงคงไม่ยากเกินไปใช่ไหม? ผมแค่หวังว่ามันจะไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของเธอในวันข้างหน้า”
หากลั่วอิงมีปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ในภายหลังอย่างที่จางจิ่งเซินยกตัวอย่าง เขาก็จะไม่ปล่อยพวกเจ้าแผลเป็นไป
“ท่านวางใจได้เลยครับ ลั่วอิงไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก สองสามวันนี้พวกคุณก็คอยสังเกตดูเธอสักหน่อย พวกคุณสามารถให้เธอดื่มนมก่อนนอนได้ เพื่อเป็นการส่งเสริมประสิทธิภาพในการนอนของเธอ วันนี้ผมให้เธอเล่าเรื่องนั้นออกมา เธอก็น่าจะดีขึ้นเยอะแล้ว หากในตอนกลางคืนเธอไม่ได้ฝันร้ายแล้ว ก็ไม่มีปัญหาใหญ่อะไรครับ”
จางจิ่งเซินเห็นว่าอาการของลั่วอิงไม่ได้ร้ายแรงมากนัก เธออาจจะแค่ตกใจกลัว เวลาเธออยู่ใกล้กับใครก็เลยรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย ดังนั้น ในคืนนั้นเธอจึงมีอาการผิดปกติเล็กน้อย และตอนนั้นก็เป็นเพราะว่าเหตุการณ์เพิ่งจะผ่านมาได้สองวัน
ลั่วเซ่าเชินรู้สึกโล่งใจขึ้นมากเมื่อได้ฟังคำอธิบายของจางจิ่งเซิน “วันนี้ผมขอบคุณคุณมากนะครับ คุณหมอจาง”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับท่าน… ตอนนี้ก็คุณผู้หญิงกับคุณหนูคงจะรอท่านแย่แล้ว ท่านอย่ามัวเสียเวลาอยู่เลยครับ ผมเองก็ต้องขอตัวกลับก่อน” ลั่วเซ่าเชินลงจากรถและคอยส่งจางจิ่งเซินจนลับสายตา
หลังจากส่งจางจิ่งเซินแล้ว เมื่อลั่วเซ่าเชินกลับเข้าไปในบ้าน เขาก็ไม่พบร่างของถังโจวโจวและลั่วอิง และเมื่อเขาเห็นว่าป้าหลิวเพิ่งจะเดินออกมาจากห้องครัว เขาก็เอ่ยถามว่า “ป้าหลิว คุณผู้หญิงกับคุณหนูล่ะ?”
“น่าจะอยู่ข้างบนนะคะ เมื่อครู่นี้คุณผู้หญิงบอกว่าจะอาบน้ำให้คุณหนูค่ะ” ลั่วเซ่าเชินเดาเหตุผลออกได้ในทันที น่าจะเป็นเพราะลั่วอิงเหงื่อซกเต็มตัว ถังโจวโจวก็เลยกลัวว่าเธอจะเป็นหวัด ดังนั้นจึงทำแบบนี้
ลั่วเซ่าเชินรีบก้าวขึ้นไปบนชั้นสองและเคาะประตูห้องของลั่วอิง แต่ก็ไม่มีใครตอบรับ ลั่วเซ่าเชินจึงไม่ได้รบกวนอะไรอีก เขาเดินกลับไปที่ห้องหนังสือ
ถังโจวโจวอาบน้ำให้ลั่วอิงอย่างรวดเร็ว และเมื่อเปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าที่แห้งสบายเรียบร้อยแล้ว เธอก็ปล่อยให้ลั่วอิงออกไปก่อน ส่วนเธอก็ยังคงเก็บเสื้อผ้าที่อยู่ในห้องน้ำ ชิ้นไหนควรแยกประเภทก็แยกไว้ อันไหนควรซักก็ซัก เธอวางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
เมื่อถังโจวโจวลงมาจากชั้นบน ป้าหลิวก็เอ่ยเรียกเธอไว้ “คุณผู้หญิงคะ เมื่อครู่นี้คุณชายเธอถามหาค่ะ”
“เขาว่าอะไรหรือคะ?”
“ไม่ได้ว่าอะไรค่ะ แต่ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องดีๆ นะคะ ฉันเห็นว่ามุมปากของคุณชายกำลังยิ้มอยู่” ป้าหลิวเดาว่ามันน่าจะไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี หากเป็นเรื่องที่ไม่ดี คุณชายจะยิ้มได้อย่างไร
ยิ่งเธอทำงานอยู่ที่บ้านตระกูลลั่วมานานมากเท่าไร เธอก็ยิ่งรู้จักและเข้าใจลักษณะนิสัยของแต่ละคนมากขึ้นเท่านั้น ลั่วเซ่าเชินนั้นค่อนข้างเย็นชา เขาไม่ค่อยพูดอะไรกับเธอสักเท่าไร นอกจากจำเป็นจริงๆ หากวันไหนลั่วเซ่าเชินคุยกับป้าหลิวยาวหลายประโยค เธอคงจะตกใจมาก
ถังโจวโจวนั้นโอบอ้อมอารี เธอมักจะช่วยทำในสิ่งต่างๆ ที่เธอพอจะทำได้ เธอไม่ได้วางมาดคุณผู้หญิงเลยสักนิด ป้าหลิวชื่นชอบถังโจวโจวเป็นอย่างมาก ดังนั้น ป้าหลิวจะคิดเผื่อเธออยู่เสมอ หากมีสิ่งใดที่มันเป็นผลเสียกับถังโจวโจว ป้าหลิวก็เต็มใจที่จะช่วยสกัดกั้นให้เธอก่อน
ส่วนลั่วอิง เธอเป็นภาพลักษณ์แห่งความน่ารักในใจของป้าหลิว แม้เธอจะยังดูดื้อรั้นตามนิสัยคุณหนูอยู่ แต่ความดื้อรั้นของลั่วอิงก็ไม่เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ เพราะมันไม่ได้ทำให้คนรำคาญใจ ในทางกลับกัน เธอทำให้คนรู้สึกว่าเธอน่ารักน่าเอ็นดู
แน่นอนว่าถังโจวโจวไม่ได้รับรู้ถึงความคิดของป้าหลิว ตอนนี้เธอกำลังคิดว่าลั่วเซ่าเชินตามหาเธอทำไม เขามีเรื่องอะไรจะคุยกับเธอ? ถังโจวโจวเข้าไปชงกาแฟและยกมันไปเสิร์ฟที่ห้องหนังสือ
ก๊อกๆๆ “เซ่าเชิน ฉันขอเข้าไปได้ไหมคะ” ถังโจวโจวถือจานรองถ้วยกาแฟไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งก็เคาะประตูห้องหนังสือ
“เข้ามาสิ” น้ำเสียงทุ้มต่ำของลั่วเซ่าเชินดังออกมาจากห้องหนังสือ
ถังโจวโจวเปิดประตูและเอี้ยวตัวกลับไปปิด จากนั้นเธอก็วางกาแฟไว้ใกล้ๆ กับมือของลั่วเซ่าเชิน ก่อนจะยืนอยู่ที่โต๊ะแล้วถามว่า “ป้าหลิวบอกว่าคุณตามหาฉัน มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“เรื่องลั่วอิงน่ะ เมื่อครู่นี้คุณหมอจางเขาพูดอะไรกับผมนิดหน่อย”
“อะไรหรือคะ” ถังโจวโจวรีบเอ่ยถามอย่างตื่นเต้นเมื่อได้ยินว่าจางจิ่งเซินมีข้อสรุปแล้ว
ลั่วเซ่าเชินย้ำคำพูดของจางจิ่งเซินอีกครั้ง ถังโจวโจวได้ยินแล้วกลับรู้สึกไม่ค่อยแน่ใจ
“เขาหมายความว่าลั่วอิงไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหมคะ?”
“ผมตีความว่าอย่างนั้นนะ” เมื่อลั่วเซ่าเชินได้ยินที่จางจิ่งเซินพูด เขาเองก็คิดว่านี่น่าจะเป็นข่าวดี แม้ว่าน้ำเสียงของจางจิ่งเซินจะไม่ค่อยหนักแน่นมากนัก แต่ลั่วเซ่าเชินก็เชื่อว่าลั่วอิงจะไม่มีปัญหาอะไร
“ถ้าอย่างนั้นช่วงนี้ก็ให้ลั่วอิงนอนกับเราเถอะค่ะ” ถังโจวโจวเสนอความเห็น พอเธอนึกถึงว่าลั่วอิงจะหวาดกลัวแค่ไหนเมื่อต้องอยู่คนเดียวตามลำพัง ถังโจวโจวก็ยิ่งเชื่อมั่นว่าหากให้ลั่วอิงนอนด้วยกันกับเธอและลั่วเซ่าเชิน ลั่วอิงก็จะไม่ต้องรู้สึกกลัวอีก
ลั่วเซ่าเชินคิดว่าข้อเสนอแนะของถังโจวโจวนั้นเป็นปัญหาใหญ่ “คุณจะให้ลั่วอิงนอนกับเรานานแค่ไหน” หากแค่วันสองวันก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้ามันนานมากเกินไป ลั่วเซ่าเชินนี่แหละที่จะทนไม่ไหว
“คุณหมายความว่ายังไงคะ ก็ต้องจนกว่าลั่วอิงจะหายดีสิ!” แน่นอนว่าเพื่อลั่วอิงแล้ว เธอย่อมต้องคิดถึงลั่วอิงก่อนเสมอ
ซึ่งนั่นหมายความว่าหากลั่วอิงยังไม่ดีขึ้น เธอก็จะได้นอนอยู่บนเตียงหลังนั้นกับพวกเขาไปตลอด ถ้าอย่างนั้น หากเขาคิดจะใกล้ชิดกับถังโจวโจว เขาก็ทำไม่ได้น่ะสิ! ลั่วเซ่าเชินอยากจะปฏิเสธเสียเดี๋ยวนั้น แต่เมื่อเขาเห็นสายตามุ่งมั่นของถังโจวโจว เขาก็ปฏิเสธไม่ลง
“โอเคๆ เอาตามที่คุณว่าก็แล้วกัน” ลั่วอิงครับ รีบๆ หายนะลูก ความสุขของพ่ออยู่ในกำมือหนูแล้ว!
คืนนั้น เมื่อถังโจวโจวแจ้งข่าวนี้กับลั่วอิง ลั่วอิงก็ตื่นเต้นมากจนเอ่ยถามไม่หยุดว่า “แม่โจวโจวพูดจริงหรือคะ”
ที่จริงแล้ว ลั่วอิงอยากจะนอนกับถังโจวโจวและลั่วเซ่าเชินมานานแล้ว มันต้องแบบนี้สิถึงจะเรียกว่าครอบครัวเดียวกัน แต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นลั่วเซ่าเชินไม่เห็นด้วย เขาบอกว่าเขาต้องการปลูกฝังความ สามารถในการช่วยเหลือตัวเองให้กับเธอ และเป็นเพราะลั่วอิงไม่อยากให้ลั่วเซ่าเชินคิดว่าเธอไม่สามารถอยู่ด้วยตัวของตัวเองได้ เธอจึงไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อหน้าถังโจวโจว
คราวนี้ เมื่อเธอได้ยินข่าวดีจากปากของถังโจวโจว ซ้ำลั่วเซ่าเชินเองก็ยังเห็นดีเห็นงามด้วย ลั่วอิงจึงตื่นเต้นดีใจเสียยกใหญ่ “ดีจังเลย หนูจะได้นอนกับคุณพ่อคุณแม่แล้ว!”
หลังจากถังโจวโจวแจ้งข่าวนี้จบ ลั่วอิงก็เร่งกินข้าวเร็วขึ้นอีก และเมื่อได้เห็นว่าลั่วอิงมีความสุขมากขนาดนี้ จิตใจที่เศร้าหมองของลั่วเซ่าเชินก็ได้รับการปลอบประโลม เอาเถอะ ลูกสาวดีใจขนาดนี้ เขาก็จะยอมเสียสละสักหน่อย
หากถังโจวโจวได้ล่วงรู้ถึงความคิดที่อยู่ในใจของลั่วเซ่าเชิน เธอคงจะหัวเราะเยาะเขาแน่ๆ ลั่วเซ่าเชินเสียสละที่ไหนกัน แล้วไหนยังจะพูดเสียน่าสงสารอีก
หลังจากกินข้าวเสร็จ ถังโจวโจวก็พาลั่วอิงออกไปเดินเล่น ส่วนลั่วเซ่าเชินก็ไปออกกำลังกายที่ยิม จากนั้นถังโจวโจวก็ช่วยลั่วอิงเตรียมกระเป๋านักเรียนของเธอให้เรียบร้อย ลั่วอิงอยากจะไปโรงเรียนแล้ว เธอบอกว่าเธอคิดถึงเพื่อนๆ ที่โรงเรียน เมื่อลั่วเซ่าเชินได้ยินดังนั้น เขาก็ตกลง
มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะขังลั่วอิงไว้แต่ในบ้าน แบบนั้นมันจะไม่เอื้ออำนวยต่อการพักฟื้นของเธอ พวกเขาต้องทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย เบิกบานใจ และทำให้เธอรู้สึกมั่นคง เพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องหวาดกลัวกับโลกภายนอกอีก
ถังโจวโจวให้ลั่วอิงนอนตรงกลาง จากนั้นเธอก็เข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ และหลังจากที่เธอเป่าผมจนแห้งแล้ว ลั่วเซ่าเชินก็ยังไม่กลับมา ลั่วอิงรู้สึกเป็นกังวล “แม่โจวโจวขา เราควรจะเข้านอนแล้วไม่ใช่หรือคะ ทำไมคุณพ่อถึงยังไม่มาอีก”
“น่าจะกำลังยุ่งอยู่กับงานน่ะค่ะ ลั่วอิง เอาอย่างนี้ดีกว่านะ เราเข้านอนกันก่อนค่ะ เดี๋ยวคุณพ่อเขาก็กลับมา”
สีหน้าของลั่วอิงเศร้าลง เธอดูผิดหวังเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม หากลั่วเซ่าเชินต้องทำงานและกลับมาที่ห้องดึกทุกคืน มันก็เป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของถังโจวโจว