“อาเหยียน คุณหลินได้พบกับความรักครั้งใหม่แล้ว เราก็ควรจะแสดงความยินดีกับเธอนะคะ!” สวีเฉินซียืนอยู่ข้างๆ หลิวเหยียนมาตลอด คำพูดที่เธอโพล่งออกมา ทำให้หลิวเหยียนหันไปจ้องมองเธอด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว
หลิวเหยียนคิดว่าสวีเฉินซีไม่น่าพูดประโยคนี้ออกมาเลยจริงๆ หลินเหยาเป็นของเขา ผู้ชายคนนี้เกี่ยวอะไรด้วย หลิวเหยียนไม่ยอมรับเด็ดขาด เขาชักรู้สึกหงุดหงิดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับฟังหยวนอย่างนี้
“ขอบคุณสำหรับคำอวยพรนะคะ คุณสวี ฉันกับอาหยวนจะต้องไปด้วยกันได้ดีอย่างแน่นอน”
หลินเหยาเห็นว่านัยน์ตาของหลิวเหยียนเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยพอใจด้วย ในตอนแรกเธอก็ไม่ได้คิดว่าการกระทำของถังโจวโจวนั้นจะมีผลกระทบอะไร แต่เมื่อได้เห็นเต็มตาว่าหลิวเหยียนสนใจเรื่องนี้มากขนาดนี้ จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่ามันน่าสนุกเอาการ
ฟังหยวนเห็นว่าจู่ๆ หลินเหยาก็ให้ความร่วมมือกับเขาเช่นกัน จากนั้นเขาก็มองดูหลิวเหยียนที่โกรธจนควันออกหู อีกฝ่ายคงรู้สึกเสียดายที่ไม่สามารถทำอะไรเขาได้ ทันใดนั้นเอง ฟังหยวนก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ชักจะสนุกมากขึ้นทุกที
เขาเขยิบเข้าไปใกล้กับใบหูของหลินเหยา และเมื่อหลินเหยารู้สึกได้ถึงลมหายใจของเขา เธอก็พยายามจะเลี่ยงหลบ แต่ฟังหยวนนั้นล็อกเอวเธอไว้แน่น เขากระซิบที่ข้างหูเธอว่า “คราวนี้คุณติดหนี้ผมครั้งใหญ่เลย”
แม้ว่าฟังหยวนจะเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้กับใบหูของหลินเหยา แต่เขาก็ไม่ลืมลอบสังเกตปฏิกิริยาของถังโจวโจว และเมื่อเขาเห็นว่าแววตาของเธอเปล่งประกายอย่างยินดี ฟังหยวนก็รู้สึกว่าเขาถอยไม่ได้เสียแล้ว จากนั้นเขาก็ไม่ได้มองเธออีกต่อไป ได้แต่หันกลับมาช่วยหลินเหยาจัดการกับเรื่องตรงหน้านี้ต่อ
ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าทางด้านของถังโจวโจวนั้นมีคนยืนรวมตัวกันอยู่มากมาย แล้วก็ดูเหมือนว่าจะมีคนที่เขารู้จักอยู่ในกลุ่มนั้นไม่น้อยเลย หลังจากทักทายคนอื่นเสร็จ เขาก็รีบเดินตรงไปหาเธอ
แล้วจู่ๆ ก็มีคนมาขวางหน้าเขาเอาไว้ “อาเชิน!”
เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นหันฮุ่ยซินปรากฏตัวขึ้นในงานเลี้ยง เขาก็รู้สึกว่าเธอมีความสามารถมากขึ้นจริงๆ “ฮุ่ยซิน คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
แม้ว่าลั่วเซ่าเชินจะเคยพูดว่าเขาไม่อยากติดต่อกับหันฮุ่ยซินอีก แต่เมื่อเจอหน้ากันเขาก็จำต้องเอ่ยทักทายเธอ เพราะถึงอย่างไรพวกเขาสองคนก็รู้จักกันมานาน ลั่วเซ่าเชินไม่สามารถเดินผ่านหันฮุ่ยซินราวกับว่าเป็นคนแปลกหน้าได้
“อาเชิน ฉันมากับคุณเจียงน่ะ” หันฮุ่ยซินไม่ได้ปิดบัง เดิมทีเธอก็ไม่อยากจะรับนัดของเจียงรุ่ยเฉินด้วยซ้ำ แต่เมื่อเธอได้ยินว่าลั่วเซ่าเชินน่าจะมา เธอก็คิดทบทวนดูอีกครั้ง ก่อนจะตอบตกลงในที่สุด
เมื่อได้เห็นแววตาอันแสนเย็นชาของลั่วเซ่าเชิน รอยยิ้มที่ติดอยู่บนใบหน้าของหันฮุ่ยซินก็ค่อยๆ จืดจางลง ลั่วเซ่าเชินไม่ได้สังเกตเห็นการแต่งตัวที่ละเอียดลออของเธอเลยสักนิด เธอแต่งตัวมาเพื่อที่จะได้เข้าไปอยู่ในสายตาของเขานะ
หันฮุ่ยซินก็ไม่ได้ตั้งใจอยากทำอะไรแบบนี้หรอก แต่เธอไม่รู้ว่าจะดึงดูดสายตาของลั่วเซ่าเชินได้อย่างไรอีกนอกจากวิธีนี้
เธออยู่ในชุดเดรสสีม่วงเอวสูง บวกกับการเลือกโทนแต่งหน้าและทรงผมที่เหมาะสม ทำให้หันฮุ่ยซินดูงดงามกว่าปกติ เธอดูสง่างามมีราศี และลำคอที่สูงระหงนั้นก็ยังบ่งบอกถึงความงามที่ไม่เป็นสองรองใคร
ลั่วเซ่าเชินได้ฟังคำอธิบายทั้งหมดนั้นของหันฮุ่ยซิน เขาก็ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรเลย “อ้อ ก็ดี ฮุ่ยซิน ผมมีธุระ ขอตัวก่อนนะ”
ลั่วเซ่าเชินปลีกตัวจากหันฮุ่ยซินไปหาถังโจวโจว เขาก็คิดไม่ถึงว่าหันฮุ่ยซินจะเดินตามเขามาด้วย ซ้ำร้ายยังมาหยุดยืนขวางหน้าเขาอีก ลั่วเซ่าเชินจึงมองเธออย่างไม่ค่อยเข้าใจ “คุณคิดจะทำอะไรน่ะ ฮุ่ยซิน?”
เขาคิดว่าระหว่างเขากับเธอไม่มีเรื่องอะไรให้คุยกันอีก ครั้งก่อนก็เคลียร์จบไปแล้วนี่? หรือว่าหันฮุ่ยซินอยากจะทะเลาะกับเขาในสถานที่แบบนี้ ลั่วเซ่าเชินรู้สึกได้ถึงความเบื่อหน่ายที่มันล้นออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
หันฮุ่ยซินดูลนลานเมื่อสังเกตเห็นถึงความเหนื่อยหน่ายในสายตาของลั่วเซ่าเชิน เธอจึงรีบอธิบายอย่างตะกุกตะกักในทันที “อาเชิน ฉัน… ฉันไม่…ไม่ได้จะทำอะไร ฉันแค่อยากจะคุยกับคุณก็เท่านั้นเอง อาเชิน ทำไมตอนนี้คุณถึงมองฉันในแง่ร้ายตลอดเลย”
เมื่อพูดมาถึงประโยคหลัง น้ำเสียงของหันฮุ่ยซินก็เริ่มตัดพ้อ ความกลัวในตอนแรกค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความสงบนิ่ง จากนั้นยิ่งเธอพูดมากเท่าไร มันก็ยิ่งลื่นไหลมากขึ้นเท่านั้น เธออยากจะระบายความแค้นที่อยู่ในใจของเธอออกมาให้หมดเสียด้วยซ้ำ
“เปล่าเลย ฮุ่ยซิน ผมมีธุระจริงๆ ถ้าคุณมีอะไรจะคุย ไว้ครั้งหน้าเราค่อยหาเวลามาคุยกันก็แล้วกัน” ลั่วเซ่าเชินมองดูหันฮุ่ยซินที่ทำท่าจะร้องไห้ แม้ว่าเขาจะไม่อยากทำร้ายจิตใจเธอ แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าเขาไม่สามารถให้ความหวังกับหันฮุ่ยซินได้อีกแล้ว
หันฮุ่ยซินเห็นว่าสายตาของลั่วเซ่าเชินนั้นเอาแต่จับจ้องไปทางด้านหลังของเธอ เธอรู้ดีว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ “คุณคงอยากจะไปหาถังโจวโจวแย่แล้วใช่ไหม”
ลั่วเซ่าเชินไม่ตอบ แต่สายตาและท่าทางของก็บอกทุกอย่างแล้ว หันฮุ่ยซินจ้องเขาอยู่นาน ก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวเปิดทางให้ เธอเห็นว่าลั่วเซ่าเชินค่อนข้างตกใจ หลังจากนั้นเขาก็ยิ้มออกมา
“ไปเถอะค่ะ ฉันรู้ดี แม้ว่าคุณจะอยู่ตรงนี้ แต่หัวใจของคุณก็ไม่ได้สนใจฉันเลย”
“ไว้ค่อยคุยกันนะ ฮุ่ยซิน” หลังจากได้ยินลั่วเซ่าเชินพูดแบบนี้ แล้วเขาก็ทิ้งให้เธอยืนอยู่คนเดียว เพราะจะรีบไปหาถังโจวโจว รอยยิ้มเบิกบานที่มีอยู่เมื่อครู่นี้ของหันฮุ่ยซินก็ค่อยๆ กลายเป็นรอยยิ้มที่ขมขื่น
“ในเมื่อคุณไม่พอใจ คุณจะฝืนยิ้มออกมาทำไมล่ะคะ คุณหัน” ทันใดนั้นเองก็มีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านข้าง ซึ่งเสียงนั้นทำให้น้ำตาของหันฮุ่ยซินเหือดหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อหันฮุ่ยซินหันไปมอง เธอก็เห็นคนที่คุ้นเคย “คุณเมิ่งคะ คุณคงเข้าใจผิดแล้ว ฉันมีเรื่องอย่างอื่นต้องไปทำ ขอตัวก่อนนะคะ”
“คุณหันคะ ทำไมพอฉันมาแล้วคุณก็จะไป คุณมีปัญหาอะไรกับฉันหรือเปล่า” เมิ่งชิงซีในชุดสีแดงเพลิงจนสามารถสะกดสายตาของหันฮุ่ยซินไว้ได้ แต่รอยยิ้มเย้ยหยันที่อยู่บนใบหน้าของเธอกลับทำให้หันฮุ่ยซินรู้สึกไม่พอใจ
หันฮุ่ยซินขี้เกียจจะรับมือกับเมิ่งชิงซี แต่แล้วเธอกลับถูกจับแขนไว้แน่นไม่ยอมปล่อย หันฮุ่ยซินทำอะไรเมิ่งชิงซีไม่ได้ เธอจึงทำได้แค่เพียงกล้ำกลืนฝืนทนคุยกับเมิ่งชิงซีต่อไป
“คุณเมิ่งคะ ฉันจะไปกล้ามีปัญหากับคุณได้ยังไง”
เมิ่งชิงซีดูออกว่าหันฮุ่ยซินไม่พอใจ แต่เธอก็ยังแสร้งมองไปที่หันฮุ่ยซินอย่างไร้เดียงสา “คุณหันคะ คุณไม่รู้สึกแย่เหรอที่เซ่าเชินทำกับคุณแบบนี้ แล้วไหนจะถังโจวโจวนั่นอีก ทำไมเธอถึงได้ทุกอย่างที่เคยเป็นของคุณไปหมด”
หันฮุ่ยซินโดนเมิ่งชิงซีร่ายมนต์ใส่ไปชั่วขณะ แต่เพียงไม่นานเธอก็เข้าใจได้ว่าเมิ่งชิงซีแค่อยากจะยั่วโมโหเธอก็เท่านั้น “คุณเมิ่งคะ คุณไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องของฉันหรอก คุณห่วงตัวคุณเองจะดีกว่า”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเมิ่งชิงซีค่อนข้างเหยียดตึง “คุณหัน ฉันแค่รู้สึกเสียเปรียบแทนคุณก็เท่านั้นเอง คุณไม่จำเป็นต้องเข้าใจฉันผิดแบบนี้เลย?”
หันฮุ่ยซินไม่สนใจคำพูดเมิ่งชิงซี “คุณเมิ่งคะ ฉันว่าแทนที่คุณจะสนใจฉัน คุณหันไปสนใจตัวเองก่อนดีกว่าค่ะ เพราะคุณต้องการมันมากกว่าฉันอีก” เมื่อหันฮุ่ยซินพูดจบ เธอก็เหยียดยิ้มให้เมิ่งชิงซี ก่อนจะสะบัดแขนแล้วเดินเลี่ยงไปอีกด้านหนึ่ง
เมิ่งชิงซีจิกเล็บลงบนฝ่ามือตัวเองอยู่นาน มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น พลางมองตามแผ่นหลังของหันฮุ่ยซินไป “เธอกำลังมองข้ามความหวังดีของคนอื่น!” เมิ่งชิงซีค่อนข้างหัวเสียที่หันฮุ่ยซินไม่ได้เป็นไปตามที่เธอคิด
เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าลั่วเซ่าเชินมาแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็ยิ่งฉีกกว้างมากกว่าเดิม เธอรอจนลั่วเซ่าเชินเดินเข้ามาถึงตัวเธอ “เซ่าเชิน มาแล้วหรือคะ” ถังโจวโจวรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่ลั่วเซ่าเชินเข้ามาหาเธอในเวลาที่พอเหมาะพอเจาะเช่นนี้
“ผมจะมาดูคุณสักหน่อย แล้วนี่มีอะไรกัน ทำไมถึงมายืนรวมตัวกันอยู่ตรงนี้” ลั่วเซ่าเชินแปลกใจที่เห็นฟังหยวนโอบเอวหลินเหยา สองคนนี้คบกันตั้งแต่เมื่อไร? ไม่เคยได้ยินข่าวเลยสักนิด ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าบรรยากาศในตอนนี้มันค่อนข้างผิดปกติ แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา
เพียงแค่ส่งสายตาให้กับถังโจวโจว ถังโจวโจวก็ส่ายหน้าเบาๆ ให้เขา ลั่วเซ่าเชินเข้าใจความหมายที่เธอจะสื่อทันที เขาจึงแสร้งทำเป็นทักทายฟังหยวนตามปกติ “อาหยวน หลินเหยา ปกติไม่ค่อยเห็นพวกนายตัวติดกันขนาดนี้เลยนี่?”
ฟังหยวนรับคำในทันที “อาเชิน ก็ฉันเห็นว่าเหยาเหยาถูกรังแกน่ะสิ ฉันก็เลยต้องทำให้ทุกคนได้รู้ว่าเหยาเหยาเธอมีเจ้าของแล้ว นายว่าอย่างนั้นไหม!”
“ใช่ ต้องทำให้ทุกคนได้รู้ว่าเธอมีเจ้าของ” ในขณะที่เขาพูดประโยคนี้ ลั่วเซ่าเชินกลับสบตามองถังโจวโจวอย่างลึกซึ้ง เขามองเสียจนถังโจวโจวใจเต้นตึกตัก
เมื่อหลิวเหยียนเห็นลั่วเซ่าเชินในระหว่างที่กำลังเดินเข้ามาร่วมวง เขาก็ยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะเขาอยากจะสร้างความสนิทสนมกับลั่วเซ่าเชิน แต่เขานึกไม่ถึงเลยว่าลั่วเซ่าเชินกับพวกหลินเหยาจะรู้จักกันด้วย เขาจึงยิ้มไม่ออกอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถามด้วยความตกตะลึง “ผอ. ลั่ว พวกคุณรู้จักกันหรือครับ โจวโจวคือภรรยาของคุณ?”
เมื่อหลิวเหยียนเห็นถังโจวโจวยืนอยู่ข้างลั่วเซ่าเชิน เขาก็ไม่อยากจะเชื่อ นี่ถังโจวโจวได้แต่งงานกับคนรวยขนาดนี้เลยอย่างนั้นหรือ นี่มันเข้าข่ายคนจริงไม่ต้องพูดเยอะชัดๆ!
ลั่วเซ่าเชินหันกลับไปมองหลิวเหยียน หัวคิ้วของเขาขมวดมุ่น “คุณคือ?”
หลิวเหยียนรีบเอ่ยแนะนำตัวในทันที “สวัสดีครับ ท่านผอ. ลั่ว ผมคือหลิวเหยียนจากตระกูลสวี เมื่อไม่นานมานี้บริษัทของเราได้เจรจาธุรกิจร่วมกับบริษัทของท่าน อ้อ! นี่คู่หมั้นของผมครับ บุตรสาวของตระกูลสวี…สวีเฉินซี”
ในขณะที่หลิวเหยียนแนะนำตัวอยู่นั้น เขาก็หยิบนามบัตรออกมาจากกระเป๋าและยื่นส่งให้กับลั่วเซ่าเชิน แต่ลั่วเซ่าเชินไม่ได้คิดจะรับ เมื่อหลิวเหยียนเห็นว่าลั่วเซ่าเชินไม่สนใจ เขาก็ยิ้มแห้ง ก่อนจะชักมือเก็บนามบัตรกลับไปช้าๆ
สวีเฉินซียื่นมือออกมาข้างหนึ่ง เมื่อได้ยินหลิวเหยียนกล่าวแนะนำเธอ “สวัสดีค่ะ ท่านผอ. หวังว่าตระกูลของเราจะเริ่มต้นกันได้ด้วยดีนะคะ”
ลั่วเซ่าเชินยื่นมือออกไปจับมือของสวีเฉินซีเบาๆ ด้วยมารยาทที่มีต่อสุภาพสตรี แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาฟังความหมายของสวีเฉินซีไม่ออก “ตอนนี้เป็นเวลาส่วนตัวครับ คุณสวี เราไม่จำเป็นต้องคุยเรื่องงานกันที่นี่หรอกนะครับ
แล้วอีกอย่าง เรื่องภายในบริษัทย่อมต้องมีคนรับผิดชอบอยู่แล้ว ผมแน่ใจว่าคุณสวีก็มีความมั่นใจในทีมงานดี ผมเองก็หวังว่าเราคงจะได้ร่วมงานกันนะครับ” คำพูดเรียบเรื่อยของลั่วเซ่าเชินทำให้สวีเฉินซีไม่อาจฝืนยิ้มต่อไปได้
หลิวเหยียนรู้สึกโกรธเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าลั่วเซ่าเชินโต้ตอบพวกเขากลับมาอย่างไร้เยื่อใย แต่เขาก็ไม่กล้าแสดงความรู้สึกออกมา “ผอ. ลั่วครับ ผมกับคู่หมั้นยังมีธุระอื่นต่ออีก พวกผมไม่รบกวนพวกคุณแล้ว ขอตัวก่อนนะครับ”
สวีเฉินซีฉีกยิ้มให้ลั่วเซ่าเชินอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะเดินตามหลิวเหยียนออกไป ถังโจวโจวนับถือหัวใจของผู้หญิงคนนี้จริงๆ เซ่าเชินเมินพวกเขาซะขนาดนั้น พวกเขาก็ยังจะยิ้มได้อยู่อีก
เมื่อหลินเหยาเห็นว่าพวกเขาจากไปแล้ว เธอก็รีบกระโดดออกมาจากอ้อมแขนของฟังหยวน เธอเห็นฟังหยวนทำท่ากุมหน้าอกอย่างเจ็บปวด “เหยาเหยา คุณคงจะไม่ปั้นปึ่งใส่ผมหรอกใช่ไหม นี่พอผมหมดประโยชน์แล้ว คุณก็ทิ้งขวางผมแบบนี้เลยหรือ”
หลินเหยาหน้าแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าเธอไม่สามารถรับมือกับลูกเล่นของฟังหยวนได้ทันท่วงที “ฟังหยวน คุณพูดอะไรน่ะ” คนที่ดูจริงจังเมื่อครู่นี้ จู่ๆ ก็เหมือนถูกปิดสวิตช์ สีหน้าเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มในทันที
ถังโจวโจวยิ้มอย่างดีอกดีใจ “เหยาเหยา เป็นยังไงล่ะ แล้วเมื่อกี้นี้ฟังหยวนช่วยเธอได้ดีมากเลยใช่ไหม”
“ยังมีหน้ามาพูดอยู่อีก ถ้าไม่ใช่เพราะจู่ๆ เธอทำอย่างนั้น ฉันจะเป็นแบบนี้ไหม”
เมื่อเธอเห็นว่าหลินเหยาตั้งท่าจะพุ่งเข้ามาจักจี้เธอ ถังโจวโจวก็รีบไปหลบอยู่ด้านหลังของลั่วเซ่าเชิน “เหยาเหยา เธอจะลืมบุญคุณฉันเร็วแบบนี้ไม่ได้นะ!”
หลินเหยาเห็นว่าถังโจวโจวหัวเราะเสียงดังจนคนรอบข้างหันมามอง “โจวโจว เบาเสียงลงหน่อย เธออยากให้หลิวเหยียนวกกลับมาอีกรอบหรือไง”