เขารีบยืนขึ้นและพูดกับหันฮุ่ยซินว่า “ฮุ่ยซิน ในเมื่อคุณไม่เป็นอะไรแล้ว ผมก็ขอตัวกลับก่อนล่ะ”
ลั่วเซ่าเชินพูดพลางหยิบเสื้อโค้ทของเขาที่พาดอยู่บนเก้าอี้ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูและเดินออกไป หันฮุ่ยซินได้แต่นั่งมองตามแผ่นหลังของเขาจนลับตาไปอยู่กับที่ เดิมทีเธออยากจะบอกลั่วเซ่าเชินเหลือเกินว่าเมื่อคืนเธอวิตกกังวลมากแค่ไหน แต่ลั่วเซ่าเชินกลับไม่ให้โอกาสเธอเลยสักนิด
ลั่วเซ่าเชินขับรถกลับมาถึงบ้าน และเมื่อเขาก้าวขาเข้าไปในบ้าน เขาก็เห็นถังโจวโจวกับลั่วอิงกำลังนั่งกินข้าวเช้ากันอยู่ที่โต๊ะอาหาร เมื่อถังโจวโจวเห็นลั่วเซ่าเชินเดินเข้ามา เธอก็ปรายตามองเขาเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปให้ความสนใจกับขนมปังปิ้งในมือ แล้วเธอก็กัดมันอย่างแรง
ลั่วเซ่าเชินคิดว่าตัวเองตาฝาดไป เหมือนเขาจะเห็นความโหดเ**้ยมในสายตาของถังโจวโจว เขารู้สึกว่าถังโจวโจวคิดว่าขนมปังแผ่นนั้นเป็นเขาไปชั่วขณะ นี่เธออยากจะกัดเขามากใช่ไหม
“โจวโจว ผมกลับมาแล้ว” ลั่วเซ่าเชินรู้สึกผิดเล็กน้อย เมื่อคืนเขารับปากว่าจะกลับมาหากไม่มีปัญหาอะไร แต่เขาผิดสัญญา เขาไม่รู้ว่าเมื่อคืนถังโจวโจวรอเขาอยู่นานแค่ไหน
“อ้อ คุณน่าจะกินข้าวมาแล้วใช่ไหมคะ!”
ลั่วอิงมองถังโจวโจวแวบหนึ่ง จากนั้นก็มองไปที่ลั่วเซ่าเชิน “คุณพ่อขา ทำไมคุณพ่อถึงเดินเข้ามาจากด้านนอกล่ะคะ เมื่อเช้าคุณพ่อออกไปข้างนอกแต่เช้าเลยเหรอ”
ลั่วเซ่าเชินพูดอะไรไม่ออก ถังโจวโจวเองก็ไม่ได้สนใจเขา “หนูรีบกินข้าวก่อนค่ะ ลืมไปแล้วหรือว่าหนูต้องไปโรงเรียนนะ”
ลั่วอิงได้แต่เพิ่มความเร็วบนมือของเธอ เธอตั้งหน้าตั้งตายัดของกินเข้าปาก จนถังโจวโจวกลัวว่าเธอจะสำลัก
“ค่อยๆ กินค่ะ… ดื่มนมหน่อยเร็ว” เธอเลื่อนแก้วไปตรงหน้าลั่วอิง เพื่อให้ลั่วอิงจิบ จากนั้นถังโจวโจวก็จัดการอาหารเช้าของเธอต่อ
เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเขาถูกเมิน เขาก็ได้แต่ยืนลูบจมูกอย่างจนใจและยิ้มออกมาอย่างเก้อเขิน ป้าหลิวที่กำลังยกไข่ดาวออกมา เห็นว่าลั่วเซ่าเชินกลับมาแล้ว เธอก็รีบพูดอย่างดีใจว่า “กลับมาแล้วหรือคะคุณชาย? คุณชายทานข้าวมาหรือยังคะ เดี๋ยวฉันไปยกออกมาให้”
“รบกวนหน่อยนะครับ ป้าหลิว” ในที่สุดลั่วเซ่าเชินก็ได้ทางลงจากป้าหลิว ถังโจวโจวย่นจมูกเล็กน้อยอย่างเย้ยหยันและไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ลั่วเซ่าเชินจึงทำได้แค่เพียงนั่งลงบนเก้าอี้ และมองดูป้าหลิวยกอาหารเช้าของเขาออกมา
แล้วเขาก็พบว่าอาหารเช้าของเขานั้นแตกต่างจากถังโจวโจวและลั่วอิงโดยสิ้นเชิง พวกเธอได้กินขนมปังปิ้ง ในขณะที่ตรงหน้าของเขามีแค่โจ๊กชามเดียว แต่ลั่วเซ่าเชินก็ฉลาดที่ไม่พูดอะไร เกิดมีประโยคไหนที่ไประคายหูของถังโจวโจวเข้า คงจะได้ไม่คุ้มเสีย
“คุณพ่อขา แม่โจวโจวขา หนูทานเสร็จแล้ว” ลั่วอิงดื่มนมหมดในอึกเดียว
ถังโจวโจวหยิบทิชชู่ขึ้นมาเช็ดมุมปากให้เธอ “ลั่วอิงเก่งที่สุดเลยค่ะ อีกเดี๋ยวคุณลุงหวังหวาจะไปส่งหนูที่โรงเรียนนะคะ หนูต้องเป็นเด็กดีนะลูก”
“ค่ะ แม่โจวโจว! คุณพ่อขา หนูไปโรงเรียนก่อนนะคะ”
“ครับผม เชื่อฟังคุณครูนะครับลูก เดี๋ยวพ่อจะไปรับหลังเลิกเรียน”
ถังโจวโจวพาลั่วอิงไปส่งที่รถของหวังหวา จากนั้นเธอก็เดินกลับเข้ามาในบ้าน แล้วเธอก็พบว่าลั่วเซ่าเชินกินโจ๊กหมดแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะรีบกินเอามากๆ ป้าหลิวเติมให้เขาอีกชามหนึ่ง ส่วนถังโจวโจวก็กลับไปนั่งที่เดิมเงียบๆ และกินขนมปังปิ้งในจานต่อไป
“โจวโจว เมื่อคืนคุณรอผมนานไหม” ลั่วเซ่าเชินลองถามหยั่งเชิง
ถังโจวโจวก็รีบตอบกลับไปทันทีว่า “พอคุณออกไปได้ไม่นาน ฉันก็เข้านอนแล้วค่ะ ฉันนอนหลับยาวจนถึงเช้าเลย จะไปรอคุณได้ยังไง!”
ลั่วเซ่าเชินได้ยินถังโจวโจวพูดแบบนั้นก็ไม่อยากจะเชื่อ และเมื่อเขามองดูปากที่ดื้อรั้นของเธอ ก็ทำให้เขารู้ว่าเมื่อคืนนี้ที่เขาไม่ได้กลับบ้าน ทำให้เธอโกรธมาก และตอนนี้เธอก็กำลังโกรธเขาอยู่ เขาจึงไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับเธออีก “โจวโจว คุณไม่ได้รอผมก็ดีแล้ว คุณคงจะหลับสบายดี”
“แน่นอนค่ะ!” ถังโจวโจวก้มหน้าต่ำ ก่อนจะนึกถึงช่วงครึ่งคืนแรกที่เธอไม่ได้นอนเลย แล้วพอตื่นเช้ามาก็ยังได้รอยคล้ำใต้ตาแถมมาอีก จนเช้าวันนี้เธอต้องหาทางปกปิดมันด้วยแป้ง
ลั่วเซ่าเชินเองก็สังเกตเห็น แต่ไม่ได้พูดออกมา หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จแล้ว ลั่วเซ่าเชินก็รีบกลับไปอาบน้ำที่ห้อง ถังโจวโจวเดินตามเขามาทีหลัง เธอเห็นเสื้อโค้ทที่ลั่วเซ่าเชินโยนทิ้งไว้บนเก้าอี้ เธอหยิบมันขึ้นมาดูและสำรวจ แล้วจู่ๆ เธอก็ได้กลิ่นหอมอะไรบางอย่าง
ถังโจวโจวคุ้นๆ ว่าเคยได้กลิ่นนี้บนตัวของหันฮุ่ยซิน มันเป็นน้ำหอมที่หันฮุ่ยซินใช้มาโดยตลอด กลิ่นหอมของดอกมะลิแบบนี้ติดอยู่บนเสื้อโค้ทของลั่วเซ่าเชิน ถังโจวโจวยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง เธอจึงโยนเสื้อโค้ทตัวนั้นลงบนพื้นและเดินออกไปจากห้องนอน
เมื่อลั่วเซ่าเชินเดินสวมชุดคลุมอาบน้ำออกมา เขาก็เห็นว่าเสื้อโค้ทของเขาหล่นอยู่บนพื้น แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ก่อนจะโยนมันลงไปในตะกร้าเสื้อผ้าที่ใช้แล้ว เขาเช็ดเส้นผมที่เปียกชื้นและเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบเสื้อผ้ามาสวม
หลังจากเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จและลงมาชั้นล่าง เขาก็ไม่พบถังโจวโจวแล้ว เขาจึงเรียกป้าหลิวมาถาม “คุณผู้หญิงไปไหนแล้ว”
“คุณผู้หญิงเธอออกไปทำงานแล้วค่ะ คุณชายไม่รู้หรือคะ”
“อ้อ รู้สิครับ ผมได้ยินมันรางๆ ตอนอาบน้ำ แต่ผมไม่ค่อยแน่ใจ ผมก็เลยมาถามป้าอีกที” ลั่วเซ่าเชินอธิบายให้ป้าหลิวเข้าใจ และเมื่อคิดว่าบางทีถังโจวโจวอาจจะโกรธเขาเพราะเรื่องเมื่อคืนที่ผ่านมา เขาก็รู้สึกหนักใจ
ถังโจวโจวเรียกรถไปทำงานเพียงลำพัง และหลังจากทักทายเพื่อนร่วมงานแล้ว เธอก็ตรงเข้าไปนั่งที่โต๊ะทำงานของเธอ มันยังคงเป็นวันที่วุ่นวายเหมือนเดิม เมื่อถึงเวลาห้าโมงเย็น ถังโจวโจวก็เก็บข้าวเก็บของและเดินออกไปด้านหน้าบริษัทพร้อมกับจวิ้นเจี่ย
เมื่อเดินมาถึงหน้าบริษัท สายตาอันแหลมคมของจวิ้นเจี่ยก็เห็นรถคันโปรดของลั่วเซ่าเชิน เธอจึงโบกมือลาถังโจวโจว “โจวโจว สามีเธอมารับแล้ว ฉันไปก่อนนะ”
ถังโจวโจวเห็นลั่วเซ่าเชินยืนพิงรถอย่างอารมณ์ดี เธอเกลียดที่เขาทำตัวเหมือนนกยูงรำแพนหาง จนได้รับความสนใจจากคนรอบข้างไปซะหมด ซึ่งนั่นทำให้ถังโจวโจวหงุดหงิดมาก เธอจึงเปิดประตูและขึ้นรถไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อลั่วเซ่าเชินขึ้นมานั่งบนรถแล้ว ถังโจวโจวก็เอ่ยเร่งเขา “รีบออกรถสิคะ!”
ลั่วเซ่าเชินขับรถออกมาจากหน้าบริษัทของถังโจวโจวอย่างไม่รีบร้อน และเมื่อเขาเห็นว่าถังโจวโจวยังคงมองไปรอบๆ เขาก็หัวเราะออกมา “คุณมองอะไรน่ะ มีคนตามเรามาเหรอ”
ถังโจวโจวตวัดสายตามองเขา “ถ้าครั้งหน้าคุณยังทำอะไรประเจิดประเจ้อแบบนี้อีก คุณก็ไม่ต้องมารับฉันแล้วล่ะค่ะ”
สีหน้าของลั่วเซ่าเชินเจื่อนลงเล็กน้อย “ถ้าเป็นคนอื่นคงดีใจตายไปแล้ว มีแต่คุณนี่แหละที่เอาแต่มองว่าเรื่องนี้มันเป็นปัญหา เราเป็นสามีภรรยากันโดยชอบธรรมนะ ทำไมเราถึงแสดงให้คนอื่นเห็นไม่ได้ว่าเรารักกันมากแค่ไหน”
“มันมีอะไรให้คนอื่นมองหรือคะ แค่อยากให้เขาอิจฉาเท่านั้นเหรอ” ถังโจวโจวรู้สึกว่าลั่วเซ่าเชินคิดอะไรเป็นเด็กๆ ไปได้ อะไรที่เรียกว่า ‘เป็นสามีภรรยากันโดยชอบธรรม’ แล้วถ้าไม่ได้เป็นโดยชอบธรรมล่ะ จะเป็นอย่างไร?
เนื่องจากพวกเขาถกเถียงกัน บรรยากาศจึงค่อนข้างตึงเครียด ถังโจวโจวหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ในขณะที่ลั่วเซ่าเชินก็ขับรถเงียบๆ
เหวินมั่นมั่นเพิ่งจะลงมาจากชั้นบน พอดีกับที่วันนี้เธอไม่มีเรียน เธอจึงนัดเจียงรุ่ยเฉินออกไปเดินเล่น แล้วเมื่อเธอลงมาชั้นล่างหลังจากแต่งตัวเสร็จ เธอก็เห็นเหวินซือหว่านนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น สีหน้าดูมีความสุขเป็นอย่างมาก
เหวินมั่นมั่นรู้สึกประหลาดใจ “โอ้โฮ วันนี้ลมอะไรหอบพี่มาคะเนี่ย ทำไมฉันถึงเจอพี่ในเวลานี้ได้”
เหวินมั่นมั่นหันไปมองดูนาฬิกาบนฝาผนัง ตอนนี้เป็นเวลาสิบโมงแล้ว เหวินซือหว่านควรจะอยู่ที่บริษัทแล้วมิใช่หรือ แล้วปกติเธอก็งานยุ่งมาก กว่าจะได้เจอเธอแต่ละทีไม่ใช่เรื่องง่าย
เหวินซือหว่านรู้ดีว่าเหวินมั่นมั่นไม่ได้ทักทายเธออย่างจริงใจ แต่เธอก็ไม่อยากทะเลาะกับเหวินมั่นมั่น
“มั่นมั่น นี่เธอกำลังจะออกไปหาเจียงรุ่ยเฉินเหรอ” เหวินซือหว่านถามด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ
เหวินมั่นมั่นก็ไม่ได้ปิดบัง “ใช่ค่ะ ทำไมเหรอ หรือพี่อยากไปด้วย?” ประโยคหลังของเหวินมั่นมั่นค่อนข้างกระโชกโฮกฮาก ราวกับว่าถ้าเหวินซือหว่านบอกว่าจะตามเธอไปด้วย เหวินมั่นมั่นก็จะโกรธ
“มั่นมั่น เธอเข้าใจผิดแล้ว ฉันไม่ได้สนใจเจียงรุ่ยเฉินเลย แต่ฉันแค่อยากเตือนเธอไว้สักหน่อย แม้ฉันจะไม่ได้สนใจเขา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงคนอื่นจะไม่สนใจ” หลังจากที่เหวินซือหว่านรู้ว่าเหวินมั่นมั่นมีคนที่ชอบ เธอก็คอยเอาใจช่วยอยู่
เพียงแต่ตอนนี้เหวินมั่นมั่นยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเจียงรุ่ยเฉินมากพอ เธออาจยังไม่เคยเจอและได้เรียนรู้ว่าผู้หญิงคนอื่นๆ หน้าด้านไร้ยางอายมากแค่ไหน แค่เห็นว่าผู้ชายมีฐานะหน้าตาดีเข้าหน่อย พวกเธอก็จับไม่ปล่อยแล้ว เหวินซือหว่านจึงต้องเตือนเธอด้วยความหวังดี เพราะถึงอย่างไรพวกเธอทั้งสองคนก็ยังเป็นพี่น้องกัน
“พี่หมายความว่ายังไงคะ ผู้หญิงคนไหนหมายตารุ่ยเฉินไว้เหรอ” เหวินมั่นมั่นแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าเธอคิดอย่างไรกับเจียงรุ่ยเฉิน แม้กระทั่งการเรียกชื่อก็เปลี่ยนไปในทันที
เหวินซือหว่านยิ้มออกมาแค่มุมปาก “มั่นมั่น ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้เจอกับเขามาพักหนึ่งแล้วใช่ไหม ครั้งก่อนฉันเห็นเขาเดินอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง พอฉันรู้ว่าเธอยังไม่รู้ ฉันก็เลยช่วยสืบเรื่องของผู้หญิงคนนั้นให้ เป็นผู้หญิงที่ดูดีอยู่เหมือนกันนะ!”
เหวินซือหว่านโยนซองเอกสารซองหนึ่งลงตรงหน้าเหวินมั่นมั่น “มั่นมั่น ถือซะว่านี่เป็นของขวัญจากฉันก็แล้วกัน” เมื่อพูดจบแล้ว เหวินซือหว่านก็เดินตรงขึ้นชั้นบนไป โดยไม่สนว่าเหวินมั่นมั่นจะรู้สึกอย่างไรอยู่
เหวินมั่นมั่นตะโกนถามไล่หลังไป “แล้ววันนี้พี่ไม่ไปทำงานเหรอ” ปกติเห็นเป็นคนบ้างานนี่? ทำไมวันนี้ถึงยอมให้ตัวเองพักผ่อนได้?
“วันนี้พัก!” เหวินซือหว่านตอบโดยไม่หันหน้ามาและโบกมือให้เหวินมั่นมั่น ก่อนที่แผ่นหลังของเธอจะหายขึ้นไปชั้นบนจนลับสายตา
เหวินมั่นมั่นนั่งลงบนโซฟาและเปิดซองเอกสารที่เหวินซือหว่านส่งให้เธอ หลังจากอ่านจบ สีหน้าของเธอดูนิ่งขรึมลงไปมาก จากนั้นเธอก็โยนซองเอกสารทิ้งและรีบเดินออกจากบ้านไป มุมปากของเธอคว่ำลง และใบหน้าก็แสดงอาการโกรธถึงขีดสุด
เหวินมั่นมั่นขับรถไปที่สตูดิโอสอนเต้นของหันฮุ่ยซิน หันฮุ่ยซินกำลังนั่งอยู่ในห้องทำงาน แล้วจู่ๆ เธอก็ได้ยินผู้ช่วยของเธอบอกว่ามีคนมาหาเธอ เธอสงสัยว่าเป็นใคร เธอก็เลยขอให้ผู้ช่วยของเธอพาคนคนนั้นเข้ามา แล้วเธอก็พบว่าเธอไม่เคยรู้จักคนตรงหน้ามาก่อน
“ขอโทษนะคะ คุณคือ?” หันฮุ่ยซินขมวดคิ้วมองคนที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางดุดัน เธอไม่เห็นจำได้ว่าเธอรู้จักกับคนๆ นี้ด้วย ผู้หญิงคนนี้มาผิดที่หรือเปล่า?
“เธอคือหันฮุ่ยซิน?”
เหวินมั่นมั่นระงับความโกรธของเธอเอาไว้ชั่วคราว และปรับสีหน้าให้ดูไม่หยิ่งยโสมากนัก เธออยากจะฟังจากปากของหันฮุ่ยซินว่าได้รู้จักกับเจียงรุ่ยเฉินหรือเปล่า แม้ว่าข้อมูลของเหวินซือหว่านจะบอกไว้ชัดเจนแล้ว แต่เหวินมั่นมั่นก็ยังอยากจะได้ยินกับหูตัวเอง
“ค่ะ ฉันเอง คุณคือใครคะ มีธุระอะไรกับฉันหรือเปล่า” หันฮุ่ยซินนั่งอยู่บนเก้าอี้ ส่วนเหวินมั่นมั่นก็ยืนอยู่ตรงข้ามเธอ หันฮุ่ยซินเงยหน้ามองอีกฝ่ายจนปวดคอ เธอจึงเชิญให้เหวินมั่นมั่นนั่งลงตรงข้ามเธอ จากนั้นก็สั่งให้ผู้ช่วยนำชามาเสิร์ฟ
“ฉันชื่อเหวินมั่นมั่น เธอไม่รู้จักฉันก็ไม่เป็นไร ฉันรู้จักเธอก็พอ” คำพูดของเหวินมั่นมั่นไม่ค่อยสมเหตุสมผลสักเท่าไร แต่หันฮุ่ยซินก็ยังคงข่มอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ ไม่ต่อปากต่อคำกับเธอ
“ขอโทษนะคะคุณเหวิน คุณมาหาฉันถึงที่นี่ มีเรื่องอะไรหรือคะ” หลังจากอ้อมค้อมมาพักใหญ่ หันฮุ่ยซินก็ยังไม่รู้เลยว่าเหวินมั่นมั่นต้องการอะไร แต่ดูจากท่าทางของเธอแล้ว เหมือนจะไม่ค่อยเป็นมิตรสักเท่าไร หันฮุ่ยซินเดาว่าคงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก