เมิ่งชิงซีสะกดกลั้นความตื่นเต้นในใจของเธอเอาไว้ ก่อนจะพูดกับคุณแม่ลั่วหลังจากที่เธอเงียบไปครู่หนึ่ง “คุณป้าคะ ที่หนูรีบมาในวันนี้ เพราะหนูมีเรื่องสำคัญจะมาบอกคุณป้าค่ะ แต่คุณป้าอย่าตกใจไปนะคะ” เมิ่งชิงซีเอ่ยเตือนคุณแม่ลั่วก่อน เพราะเธอมีลางสังหรณ์ว่าคุณแม่ลั่วจะต้องโกรธอย่างแน่นอน
เมื่อคุณแม่ลั่วเห็นเมิ่งชิงซีพูดอย่างจริงจัง เธอก็คิดว่ามันน่าจะไม่ใช่ข่าวดี และนั่นทำให้คุณแม่ลั่วเริ่มเอะใจว่าตกลงแล้วมันเกิดอะไรขึ้น เมิ่งชิงซีถึงได้ให้ความสนใจแบบนี้
“ชิงซี หนูนี่จริงๆ เลย ป้าผ่านร้อนผ่านหนาวมาหมดแล้ว หนูพูดมาเถอะจ้ะ ป้ากำลังรอฟังอยู่” คุณแม่ลั่วไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้าน เธออยู่มาครึ่งชีวิตแล้ว เจอะเจออะไรก็คงไม่เหมือนกับตอนที่เธอยังเป็นวัยรุ่นอยู่หรอก
“คุณป้าคะ ถังโจวโจวไม่ใช่ลูกของตระกูลถังค่ะ”
คุณแม่ลั่วนึกว่าตัวเองหูฝาดไป “ชิงซี หนูว่าอะไรนะ?!”
นี่เธอไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม แต่เมื่อคุณแม่ลั่วมองไปที่ริมฝีปากของเมิ่งชิงซีที่ขยับอีกสองสามครั้ง เมิ่งชิงซีก็ยังคงพูดประโยคเดิมที่เธอได้ยินเมื่อครู่ ถึงตอนนี้คุณแม่ลั่วแน่ใจแล้วว่าเธอไม่ได้ฟังผิดไป
“หนูบอกว่าถังโจวโจวไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของบ้านตระกูลถังค่ะ” เมิ่งชิงซีย้ำอีกรอบ หัวใจของเมิ่งชิงซีเต้นระรัว นี่เป็นวิธีที่ดีสุดที่จะกำจัดถังโจวโจวได้ ครั้งนี้เธอจะได้รับการสนับสนุนเต็มที่จากคุณแม่ลั่วอย่างแน่นอน
“ชิงซี หนูไปได้ข่าวนี้มาจากไหน นี่เรื่องจริงใช่ไหม” คุณแม่ลั่วเอ่ยถามเธอทันที หากข่าวนี้เป็นจริง ถ้าอย่างนั้นเธอก็มีเหตุผลที่จะไล่ถังโจวโจวออกไปจากตระกูลลั่วได้แล้วน่ะสิ
“คุณป้าคะ ข่าวนี้แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ ถังโจวโจวเป็นเด็กที่ตระกูลถังรับเลี้ยงมาจากสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าค่ะ” เมิ่งชิงซีดูภาคภูมิใจเป็นอย่างมากในขณะที่พูดประโยคนี้ เมื่อเทียบกับถังโจวโจวที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า เห็นได้ชัดว่าเธอเหนือกว่าเยอะ!
คุณแม่ลั่วเชื่อเธอหมดใจ พลางกุมมือของเมิ่งชิงซีแล้วพูดว่า “ชิงซี ป้าจะเรียกพวกเขามา แล้วหนูก็พูดกับพวกเขาแบบไม่ต้องอ้อมค้อมเลยนะ ป้าจะดูสิว่าอาเชินจะหาเหตุผลอะไรมาห้ามไม่ให้ป้าไล่ถังโจวโจวไปอีก”
ตั้งแต่ที่ถังโจวโจวเสียลูกไป คุณแม่ลั่วก็เฝ้าคิดมาโดยตลอดว่าเธอจะไล่ถังโจวโจวออกไปได้อย่างไร ก่อนหน้านี้ที่ถังโจวโจวหนีออกไปเอง เธอดีใจเป็นอย่างมาก แต่เธอนึกไม่ถึงเลยว่าถังโจวโจวจะกลับมารวดเร็วอย่างนี้ โดยเฉพาะท่าทางที่ไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวของเธอเมื่อครั้งที่แล้วนั้น ยิ่งทำให้คุณแม่ลั่วขุ่นเคืองใจ
“แบบนั้นจะดีหรือคะคุณป้า แล้วคุณป้าว่าเซ่าเชินจะเห็นด้วยไหมคะ” ใจจริงแล้วเมิ่งชิงซีอยากจะให้คุณแม่ลั่วเรียกพวกเขามาเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย แต่เธอก็กลัวคุณแม่ลั่วจะติว่าเธอดูรีบร้อนมากเกินไป ดังนั้นเธอจึงอดทนเอาไว้ก่อน
คุณแม่ลั่วเห็นเมิ่งชิงซีมีท่าทีลังเลใจอยู่เล็กน้อย เธอรู้ว่าปกติแล้วลั่วเซ่าเชินไม่ค่อยไว้หน้าเมิ่งชิงซีสักเท่าไรนัก เมิ่งชิงซีจึงดูกระอักกระอ่วนแบบนี้ เธอตบหลังมือของเมิ่งชิงซีเบาๆ “ชิงซี ไม่ต้องเป็นห่วง ป้าจะอยู่ด้วยกันกับหนู ถ้าอาเชินจะให้เธออยู่ในตระกูลลั่วต่อ ป้าก็จะไม่ยอมเหมือนกัน”
คราวนี้คุณแม่ลั่วตัดสินใจแล้ว เดิมทีเธอก็ยอมรับลูกสะใภ้อย่างถังโจวโจวไม่ได้ เพราะลูกสะใภ้ที่เธอต้องการคือเมิ่งชิงซีเท่านั้น เธอไม่เคยเปลี่ยนความคิดนี้เลยสักวัน เพียงแต่ที่ผ่านมาลั่วเซ่าเชินคอยปกป้องถังโจวโจวอยู่ตลอด ดังนั้นคุณแม่ลั่วจึงไม่อาจทำอะไรถังโจวโจวได้และได้แต่ปล่อยให้มันยืดเยื้อมาจนถึงตอนนี้
แต่ ณ ตอนนี้ไม่เหมือนกัน ถังโจวโจวเป็นแค่เด็กกำพร้า แม้แต่ครอบครัวปัจจุบันของเธอก็ไม่คู่ควรกับตระกูลลั่วแล้ว นี่ซ้ำร้ายยังเป็นแค่เด็กกำพร้าอีก ครั้งนี้คุณแม่ลั่วจะไม่ยอมอ่อนข้อให้เด็ดขาด เธอจะต้องทำให้ลั่วเซ่าเชินแต่งงานกับเมิ่งชิงซีที่ดีพร้อมให้ได้ แบบนี้ถึงจะเกื้อกูลตระกูลลั่วได้มากที่สุด
เมื่อคุณแม่ลั่วคิดว่าลั่วเซ่าเชินจะได้แต่งงานกับเมิ่งชิงซี ตระกูลลั่วก็จะมีแต่ได้กับได้ คิดแล้วเธอก็ไม่สามารถหุบยิ้มได้ชั่วขณะ และเมื่อเธอหันไปมองเมิ่งชิงซี เธอก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังก้มหน้าลงอย่างเหนียมอาย คุณแม่ลั่วมองไม่เห็นสีหน้าของเมิ่งชิงซี แต่เธอก็มั่นใจว่าเมิ่งชิงซีน่าจะกำลังเขินอยู่
เมิ่งชิงซีหลุบสายตาแห่งความภาคภูมิใจลง ในไม่ช้าเธอก็จะได้เห็นความตกต่ำขั้นสุดของถังโจวโจวแล้ว และเมื่อไรที่ถังโจวโจวตกต่ำจนไม่เหลือชิ้นดี เมื่อนั้นก็จะเป็นเวลาที่เมิ่งชิงซีมีความสุขมากที่สุด!
ตามที่คาดไว้ คุณแม่ลั่วพูดจริงทำจริง เธอยกหูโทรศัพท์ต่อสายถึงลั่วเซ่าเชินทันที เมิ่งชิงซีก็ไม่รู้เหมือนกันว่าลั่วเซ่าเชินจะว่าอย่างไร แต่รู้แค่ว่าคุณแม่ลั่วมีความสุขมากหลังจากที่เธอวางสายไป เมิ่งชิงซีเห็นอย่างนั้นก็คิดว่าอีกสักพักลั่วเซ่าเชินก็คงจะมาถึงที่นี่
เมิ่งชิงซีขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากับคุณแม่ลั่วที่ชั้นบน จากนั้นเมิ่งชิงซีก็ร่วมมื้อเช้ากับคุณแม่ลั่วตามคำเชิญ หลังจากนั้นไม่นาน พวกเธอก็ได้ยินเสียงรถจอดในเขตคฤหาสน์ ร่างกายของเมิ่งชิงซีไม่ได้ขยับ แต่ดวงตาของเธอกลับหมายจะมองทะลุบานประตูออกไปดูว่าใครมา
ในไม่ช้า เสียงฝีเท้าก็ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ แล้วร่างของลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจวก็ปรากฏขึ้นพร้อมกัน ลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจวรู้สึกประหลาดใจ เมื่อได้เห็นเมิ่งชิงซีที่นี่ คุณแม่ลั่วไม่ได้บอกพวกเขาว่าเมิ่งชิงซีอยู่ที่นี่ด้วย
“คุณแม่ คุณเมิ่ง”
“แม่ครับ แม่เรียกพวกเรามาทำไม” ลั่วเซ่าเชินพาถังโจวโจวไปนั่งที่โซฟาอีกตัวหนึ่ง แม่นมจ้าวยกน้ำชาและผลไม้ออกมาเสิร์ฟ และเมื่อเธอเห็นว่าบรรยากาศภายในห้องนั่งเล่นไม่ค่อยสู้ดีนัก เธอก็ปลีกตัวออกไปอย่างเงียบๆ
เมื่อเมิ่งชิงซีเห็นลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจวนั่งลงตรงข้ามเธอ เธอก็ยิ้มให้กับลั่วเซ่าเชิน “เซ่าเชินคะ ที่คุณป้าเรียกพวกคุณมาในวันนี้ เพราะท่านมีเรื่องจะบอกพวกคุณค่ะ” หลังจากนั้นเมิ่งชิงซีก็ปรายตามองไปที่ถังโจวโจว เธอมองเสียจนถังโจวโจวรู้สึกหวั่นใจ
“ผมพูดกับแม่ของผม คุณยุ่งอะไรด้วย” ลั่วเซ่าเชินขมวดคิ้วแน่นพลางมองไปที่เมิ่งชิงซี เมิ่งชิงซีชะงักงัน แล้วรอยยิ้มอันแสนภาคภูมิใจของเธอก็จางหายไปในบัดดล
เมื่อคุณแม่ลั่วเห็นลั่วเซ่าเชินพูดจาหักหาญกับเมิ่งชิงซีแบบนี้ เธอก็ดุเขาในทันที “อาเชิน ลูกพูดกับชิงซีแบบนี้ได้ยังไง ความเป็นสุภาพบุรุษของลูกหายไปไหนหมด”
ลั่วเซ่าเชินปิดปากเงียบ ถ้าเขาตอบโต้กลับไป รังแต่จะยิ่งต่อความยาวมากขึ้น ดังนั้น เขาเลือกที่จะไม่พูด จึงเป็นการกระทำที่ชาญฉลาดที่สุด และเมื่อคุณแม่ลั่วเห็นว่าลั่วเซ่าเชินไม่ตอบโต้ อีกทั้งสีหน้าของเขาก็ดูเรียบเฉย เธอก็รู้ว่าเขายังคงยืนกรานในความคิดของเขา
ตอนนี้คุณแม่ลั่วก็ไม่อาจหยั่งรู้ได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่เธอต้องจัดการเรื่องของถังโจวโจวให้เรียบร้อยก่อน เธอถึงจะวางใจ!
“อาเชิน แม่มีเรื่องสำคัญจะบอกลูก”
คุณแม่ลั่วกำลังจะเปิดประเด็นขึ้นมา แต่ลั่วเซ่าเชินกลับไม่ได้รู้สึกสนใจในเรื่องสำคัญที่คุณแม่ลั่วกำลังจะพูดเลย เพราะท้ายที่สุดเรื่องสำคัญของคุณแม่ลั่วมักจะเป็นเรื่องไม่ดีทั้งนั้น นี่เป็นประสบการณ์ที่ลั่วเซ่าเชินได้สัมผัสมาตลอดหลายปี
แต่เขาก็ยังเอ่ยถามด้วยความเคารพ “เรื่องอะไรหรือครับแม่ ที่สำคัญถึงขนาดว่าแม่ต้องเรียกพวกเรามาหากะทันหันแบบนี้” ถังโจวโจวเองก็อยากรู้เหมือนกัน ดูจากแววตาของเมิ่งชิงซีที่มองมาทำให้เธอเอะใจ ถังโจวโจวกล้าพนันได้เลยว่าเรื่องสำคัญเรื่องนั้นจะต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับเธออย่างแน่นอน
“ให้ชิงซีพูดเถอะ อาเชิน แม่เคยบอกลูกแล้ว ชิงซีน่ะเหมาะแก่การเป็นภรรยาของลูกมากที่สุด…”
“แม่อย่าพูดเรื่องนี้อีกเลยครับ คุณเมิ่ง อย่ามัวแต่อมพะนำอยู่เลย มีอะไรก็พูดออกมาเถอะ!” ลั่วเซ่าเชินเริ่มรำคาญใจ จากมุมมองของเขา คนอย่างเมิ่งชิงซีจะพูดเรื่องสำคัญอะไรได้ มีแค่คุณแม่ลั่วเท่านั้นแหละที่เอาแต่เชื่อเรื่องไร้สาระจากผู้หญิงคนนี้
คุณแม่ลั่วขยิบตาส่งสัญญาณให้เมิ่งชิงซี เมิ่งชิงซีกระแอมเบาๆ ก่อนจะมองไปที่ลั่วเซ่าเชิน น่าเสียดายที่ลั่วเซ่าเชินไม่ยอมสบตากับเธอ ดังนั้นเธอจึงทอดสายตาของเธอไปที่ถังโจวโจว “โจวโจว ฉันเองก็ได้รับข่าวนี้มาโดยบังเอิญ หวังว่าเธอจะไม่ตกใจหลังจากที่ฟังนะ”
เมิ่งชิงซีอยากจะเห็นถังโจวโจวตกใจจนอกแตกตาย แววตาของเธอนั้นบ่งบอกว่าเธอกำลังมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
ถังโจวโจวเห็นว่าเธอพูดมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่เข้าประเด็นสักที ลั่วเซ่าเชินที่อยู่ข้างๆ ก็ชักจะอารมณ์เสีย ถังโจวโจวจึงต้องออกปากเตือนเธอว่า “มีอะไรก็พูดมาเถอะค่ะ คุณเมิ่ง”
ที่ถังโจวโจวพูดออกมาย่อมหมายถึงว่าให้เมิ่งชิงซีหยุดพูดจายืดเยื้อได้แล้ว ทำแบบนี้มันเสียเวลาคนอื่นเขา ความหมายแฝงของถังโจวโจว เมิ่งชิงซีเข้าใจดี เธอได้แต่แอบกัดฟันอยู่เงียบๆ ดูสิว่าอีกเดี๋ยวหล่อนจะยังยิ้มออกอยู่อีกไหม!
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะพูดตรงๆ เลยแล้วกัน โจวโจว ฉันได้ข่าวมาว่า…เธอไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของตระกูลถัง ตระกูลถังรับเธอมาเลี้ยงจากสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า”
เมื่อเธอเห็นว่าในที่สุดสีหน้าของถังโจวโจวก็ไม่ได้นิ่งเรียบอีกต่อไป เมิ่งชิงซีก็แอบดีใจอยู่เงียบๆ แม้ว่าเธอจะทำเป็นเมินเฉย แต่เธอก็ยังเป็นคนมีปมด้อยอยู่ดี
หลังจากที่ถังโจวโจวได้ยินเมิ่งชิงซีพูดแบบนั้น เธอก็เงียบไปพักใหญ่ ส่วนลั่วเซ่าเชิน เมื่อเขาฟังจบ เขาก็รีบหันไปมองที่ถังโจวโจว “โจวโจว คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
ถังโจวโจวโบกมือน้อยๆ เธอกำลังสับสน แต่จากท่าทางของเมิ่งชิงซีที่ตั้งท่าจะหัวเราะเยาะเธออยู่ตลอดเวลาแล้ว ถังโจวโจวก็รู้สึกว่าเมื่อครู่นี้เธอไม่ได้หูฝาดไป เธอคิดแค่ว่าคุณพ่อคุณแม่ถังเลี้ยงดูเธอมาอย่างดีขนาดนี้ พวกท่านจะไม่ใช่พ่อแม่แท้ๆ ของเธอได้อย่างไร?
คุณแม่ลั่วรีบเติมเชื้อไฟเข้าไปอีก “อาเชิน แม่บอกตั้งแต่แรกแล้วว่า อย่าให้ถังโจวโจวเข้ามาอยู่ในตระกูลของเรา แล้วตอนนี้เป็นอย่างไร เธอก็เป็นแค่เด็กกำพร้า เธอไม่เหมาะที่จะเป็นสะใภ้ของเราแม้แต่น้อย พวกลูกไปหย่ากันซะ เพื่อเห็นแก่หน้าของทุกคน!”
“แม่ครับ แม่คิดว่ามันเหมาะสมเหรอ ที่มาพูดอะไรแบบนี้ในตอนนี้?!” ลั่วเซ่าเชินตะคอกใส่คุณแม่ลั่วอย่างอดทนไม่ไหวอีกต่อไป
คุณแม่ลั่วเห็นว่าลั่วเซ่าเชินถึงขั้นขึ้นเสียงใส่เธอ ก็รู้สึกเสียใจ “อาเชิน นี่แม่หวังดีกับลูกนะ ลูกพูดอะไรออกมา!”
คุณแม่ลั่วไม่ได้ตำหนิลั่วเซ่าเชิน เธอผลักความรับผิดชอบไปที่ถังโจวโจว ผู้หญิงคนนี้จะต้องพูดจาว่าร้ายเธอต่อหน้าอาเชินอย่างแน่นอน ทำให้ความสัมพันธ์ของเธอกับเขาสองแม่ลูกร้าวฉานเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้
เมิ่งชิงซีช่วยพูดเสริมอยู่ข้างๆ “เซ่าเชิน คุณตวาดใส่คุณป้าแบบนี้ได้ยังไงคะ คุณป้าหวังดีกับคุณนะ แต่คุณกลับเสียงดังใส่ท่านแบบนี้ ท่านเจ็บปวดมากนะคะ!” เมิ่งชิงซีมองไปที่ลั่วเซ่าเชินด้วยความโมโห นี่ถ้าไม่รู้จักคงคิดว่าคุณแม่ลั่วเป็นแม่แท้ๆ ของเธอเอง
“หุบปาก!” ลั่วเซ่าเชินไม่อยากจะยุ่งกับผู้หญิงที่ชื่อเมิ่งชิงซีอีกต่อไป ตอนนี้เขาเป็นห่วงความรู้สึกของถังโจวโจวมากกว่า เขากลัวว่าเธอจะเจ็บปวด จึงได้แต่ปลอบเธออยู่ข้างๆ “โจวโจว อย่าไปเชื่อเรื่องไร้สาระพวกนี้เลย มันจะเป็นจริงไปได้ยังไง”
ถังโจวโจวเงียบไม่ตอบอะไร ลั่วเซ่าเชินไม่รู้ว่าตอนนี้ถังโจวโจวกำลังคิดอะไรอยู่ ในขณะที่เมิ่งชิงซีนั้นกลัวว่าเรื่องจะไม่ใหญ่พอ เธอจึงเติมหัวเชื้อเข้าไปอีก
“มันเป็นเรื่องจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ค่ะ เซ่าเชิน ข้อมูลของถังโจวโจวตอนที่เธออยู่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าก็ยังอยู่ที่นั่น แค่คุณไปที่สถานสงเคราะห์ คุณก็จะได้รู้ความจริงทุกอย่าง”
“รู้ความจริงแล้วยังไง ถึงแม้ว่าโจวโจวจะไม่ใช่ลูกของตระกูลถังก็ไม่เป็นไรเลย เพราะมันไม่เกี่ยวกัน เธอยังคงเป็นภรรยาของผมเหมือนเดิม คุณอย่าได้คิดฝันกลางวันไปเลย ผมไม่มีวันแต่งงานกับคุณอยู่แล้ว!” นี่เป็นครั้งแรกที่ลั่วเซ่าเชินปฏิเสธเมิ่งชิงซีอย่างชัดเจน
ทันทีที่ได้ยินลั่วเซ่าเชินพูดแบบนั้น เมิ่งชิงซีก็น้ำตาร่วงเผาะ“เซ่าเชินคะ นี่ฉันหวังดีกับคุณนะคะ ทำไมคุณถึงพูดกับฉันแบบนี้”
เมิ่งชิงซีก้มศีรษะลง และเมื่อคุณแม่ลั่วเห็นว่าลั่วเซ่าเชินทำร้ายจิตใจเมิ่งชิงซี เธอรีบออกโรงปกป้องเมิ่งชิงซี “อาเชิน ชิงซีไม่ได้พูดอะไรผิดเลยนะ เธอหวังดีกับตระกูลของเรามาตลอด แล้วอย่างนี้ชิงซีจะไม่เหมาะที่จะเป็นภรรยาของลูกได้ยังไง เธอไม่เหมาะจะเป็นสะใภ้ของตระกูลลั่วตรงไหน”
คุณแม่ลั่วกุมมือของเมิ่งชิงซีเอาไว้ ราวกับว่าจะถ่ายทอดพลังให้เธอ เมิ่งชิงซีเองก็กระชับมือของคุณแม่ลั่วไว้แน่น