ลั่วเซ่าเชินเห็นถังโจวโจวส่งสายตาอ้อนวอนมาบอกใบ้ว่า ‘อย่ารับปาก’ เดิมทีลั่วเซ่าเชินก็ไม่ได้อยากตอบรับ แต่เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวมีท่าทีกังวล ทันใดนั้นความชั่วร้ายก็ผุดขึ้นมาในสมอง เขาจึงรีบพูดอย่างรวดเร็วว่า “เอาเถอะ สามนาทีมันนานเกินไป จูบแค่นาทีเดียวก็แล้วกัน!”
เมื่อถังโจวโจวเห็นเขาตกปากรับคำแล้วจริงๆ เธอก็หมุนตัวเตรียมจะวิ่งลงจากเวที เธอไม่อยากจูบกับลั่วเซ่าเชินในที่สาธารณะแบบนี้ มันน่าอายจะตายไป!
น่าเสียดายที่ลั่วเซ่าเชินคว้าเธอไว้ได้ทัน คนที่อยู่ด้านล่างตะโกนอย่างไม่เกรงใจว่า “ท่านผอ. รีบจูบเร็วครับ! พวกเรารอกันอยู่!”
“คุณผู้หญิงไม่ต้องอายนะครับ แค่จูบเท่านั้นเอง”
“โจวโจว ดูเหมือนว่าวันนี้คงต้องเลยตามเลยแล้วล่ะ คงมีแค่คุณเท่านั้นที่จะเกลี้ยกล่อมพวกเขาได้ ผมเองก็ไม่ได้อยากทำแบบนี้หรอกนะ”
เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าเขาผลักภาระมาให้เธอ เธอก็ยิ่งโมโห “ใครบอกให้คุณตอบรับล่ะ คุณต้องแก้ปัญหานี้เองสิ!”
เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นถังโจวโจวยกปัญหานี้ให้เขา เขาก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา “โอเค ในเมื่อคุณพูดแบบนี้ ผมก็จะทำตามวิธีของผมแล้วกันนะ”
ถังโจวโจวยังคงสงสัยอยู่ว่าทำไมเขาถึงว่าง่ายขนาดนี้ และเมื่อเธอเงยหน้าขึ้น เธอก็เห็นว่าแสงไฟตรงหน้าเธอถูกบดบังไป และก่อนที่เธอจะตั้งสติได้ เธอก็รู้สึกถึงสัมผัสที่คุ้นเคยตรงริมฝีปากของเธอ
ลั่วเซ่าเชินโอบกอดถังโจวโจวและบดแทรกลิ้นเข้าไปในปาก กว่าถังโจวโจวจะรู้ตัว เธอก็ถูกลั่วเซ่าเชินจูบอย่างหนักหน่วงจนเธอเกือบจะหยุดหายใจ
คนที่อยู่ด้านล่างเงียบเสียงลงเพราะกลัวว่าจะทำลายฉากอันแสนสวยงามฉากนี้เข้า หลีเหวินมองดูคู่รักที่ยืนแลกจูบกันอยู่บนเวทีด้วยความอิจฉาตาร้อน ส่วนหวังหนิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็พูดออกมาจากใจว่า “ท่านผอ. กับภรรยารักกันดีจังเลยนะครับ”
หลีเหวินอยากจะตอกกลับไป พวกเขารักกันดีที่ไหนล่ะ นั่นมันก็แค่ภาพลวงตา เหมือนกับว่าถ้าหลีเหวินปลอบใจตัวเองแบบนี้ เธอก็จะมีความกล้าที่สามารถอดทนมองไปยังคนทั้งสองบนเวทีได้
ลั่วเซ่าเชินพูดจริงทำจริง เขาบอกว่าจะจูบเธอหนึ่งนาที เขาก็จูบแบบไม่ขาดไม่เกินเลยสักวินาที ไม่รู้ว่าเขาทำได้อย่างไร เมื่อลั่วเซ่าเชินถอนริมฝีปากออกจากเธอ ถังโจวโจวก็อ้าปากหอบแฮกๆ ก่อนจะจ้องเขาเขม็งด้วยความโกรธเคือง
น่าเสียดายที่ลั่วเซ่าเชินไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด ยิ่งเขาเห็นว่าถังโจวโจวโกรธ เขาก็ยิ่งหัวเราะอย่างมีความสุข ถังโจวโจวทำได้แค่เก็บคำบ่นไว้ในใจ เดี๋ยวค่อยกลับไปคิดบัญชีกับเขาทีหลัง
“เป็นอะไรไป อารมณ์เสียเหรอ” ลั่วเซ่าเชินกระซิบข้างหูถังโจวโจว
ถังโจวโจวเมินหน้าหนีไม่สนใจเขา พิธีกรที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดทำลายความเงียบขึ้นมาว่า “ท่านผอ. สุดยอดไปเลยครับ! ทำไมท่านถึงทำได้ครบกำหนดพอดี ไม่ขาดไม่เกินเลยสักวิ!” พิธีกรอดที่จะยกนิ้วให้กับลั่วเซ่าเชินไม่ได้
ลั่วเซ่าเชินเพียงแค่เอื้อมมือไปรับไมโครโฟนมา และแทนที่เขาจะตอบคำถามของพิธีกร เขากลับประกาศอะไรบางอย่าง
“วันนี้ผมขอประกาศไว้ตรงนี้เลยนะครับว่า ในปีต่อๆ ไปรางวัลที่สามจะถูกเปลี่ยนเป็นรางวัลอื่นแทน อย่างที่ทราบกันดีว่าผมแต่งงานแล้ว หากยังให้กอดของผมเป็นรางวัลอีก เดี๋ยวภรรยาของผมจะหึงเอาได้”
เสียงเอ็ดอึงดังขึ้นจากผู้คนที่อยู่ด้านล่างเวที บางคนก็พูดออกมาอย่างเสียดายว่า ทำไมตัวเองถึงไม่เจอผู้ชายที่เพียบพร้อมแบบนี้บ้าง หลังจากที่ลั่วเซ่าเชินประกาศการเปลี่ยนรางวัลที่ทำร้ายจิตใจผู้หญิงทุกคนแล้ว เขาก็ลงมาจากเวทีพร้อมกับถังโจวโจว เหลือเพียงพิธีกรคนเดียวที่ถูกทิ้งไว้ให้ปลอบใจพนักงานที่กำลังเจ็บปวดหัวใจ
เมื่อเธอและลั่วเซ่าเชินเดินมาถึงมุมห้อง ถังโจวโจวก็เอ่ยถามว่า “ทำไมจู่ๆ คุณถึงประกาศแบบนั้นคะ” ถังโจวโจวไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะพูดออกไปแบบนั้น เธอเคยพูดว่าเธอหึงตั้งแต่เมื่อไร?
ลั่วเซ่าเชินก้มหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะกระซิบตรงหน้าผากของถังโจวโจวว่า “ก็ผมกลัวว่าคุณจะหึง ผมไม่อยากนอนบนโซฟานะ”
“คุณพูดเกินจริงแล้ว!” เธอเคยให้เขานอนบนโซฟาเมื่อไรกัน นอกจากนี้ พื้นที่บ้านออกจะกว้างขวางใหญ่โต โซฟาก็ไม่ได้เล็กไปกว่าเตียงเลย หากเขาจะต้องไปนอนบนโซฟาบ้าง ก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่!
แล้วจู่ๆ ถังโจวโจวก็เข้าใจเรื่องทั้งหมด เขาไม่อยากกอดกับพนักงานของเขานี่เอง “ถ้าพนักงานของคุณรู้ว่าคุณไม่อยากกอดพวกเธอเพราะคุณหวงเนื้อหวงตัว ไม่รู้ว่าพวกเธอจะเสียใจมากแค่ไหนนะคะ”
เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าถังโจวโจวเดาทางของเขาออกแล้ว เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธ เขาคิดแบบนั้นจริงๆ นั่นแหละ ปีนี้เขาเลือกไว้แล้วว่าจะต้องเป็นถังโจวโจวเท่านั้น ต่อให้จับไม่ได้หมายเลขสามสิบห้า ลั่วเซ่าเชินก็จะคิดหาวิธีที่ทำให้ได้กอดหมายเลขสามสิบห้าให้ได้!
ทันใดนั้นถังโจวโจวก็นึกอะไรบางอย่างออก เธอถามด้วยความสงสัย “แล้วปีที่แล้วคุณทำยังไงคะ” ปีที่แล้วเขายังไม่มีเธอ แล้วลั่วเซ่าเชินจัดการเรื่องนี้อย่างไรล่ะ?
“ผมก็มีลูซี่ไง!” ถังโจวโจวปิดปากหัวเราะ ลั่วเซ่าเชินนี่ร้ายจริงๆ ให้ความหวังกับลูกน้องเองแท้ๆ แต่เขากลับวางแผนไว้หมดแล้ว แม้ว่าจะจับหมายเลขของลูซี่ไม่ได้ เธอก็มั่นใจว่าเขาจะต้องหาทางเอาตัวรอดได้แน่
หลีเหวินยืนอยู่หลังผ้าม่าน เมื่อเธอได้ยินบทสนทนานี้ เธอก็กำผ้าม่านในมือไว้แน่น ริมฝีปากของเธอถูกกัดจนซีดขาว เมื่อปีก่อนเธอนึกว่าลูซี่โชคดี แต่ที่ไหนได้มันเป็นแผนของลั่วเซ่าเชิน นี่เขาปล่อยให้เธอมีความหวังอย่างนี้ได้อย่างไร ทุกอย่างมันถูกเตรียมไว้หมดแล้ว เธอนี่โง่จริงๆ!
หลังจากช่วงเวลาจับฉลากที่น่าจับตามองได้ผ่านพ้นไปแล้ว ลำดับต่อไปก็จะเป็นการประกาศรายชื่อพนักงานดีเด่นของลั่วกรุ๊ป พวกเขาจะได้รับมอบรางวัลในนามของบริษัท และท้ายที่สุดงานเลี้ยงประจำปีก็จบลงไปอย่างสมบูรณ์แบบ
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ถังโจวโจวก็โถมตัวลงบนโซฟา “เหนื่อยจังเลย เท้าฉันปวดไปหมดแล้วเนี่ย” ถังโจวโจวรีบถอดรองเท้าออก เธอรู้สึกเจ็บที่ส้นเท้าเล็กน้อย
ลั่วเซ่าเชินประคองเท้าของเธอขึ้นมาพลิกดู “ไม่เป็นไรหรอก มันแค่แดงนิดหน่อยเอง ไม่มีแผลด้วย แต่ช่วงสองสามวันนี้ คุณอย่าเพิ่งใส่ส้นสูงก็แล้วกัน”
ลั่วเซ่าเชินรวบรองเท้าไว้ด้านข้างก่อนจะไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลออกมา เขาทายาให้ถังโจวโจว เมื่อถังโจวโจวมองเห็นท่าทางที่เอาใจใส่ของเขา ความคิดที่จะคิดบัญชีกับเขาก่อนหน้านี้ก็หายวับไปในทันที ต้องยอมรับเลยว่าในเวลาลั่วเซ่าเชินไม่ได้ยั่วโมโหเธอ เธอสามารถมองเขาได้อย่างสบายตา
น่าเสียดายที่เขาใช้เวลาทะเลาะกับเธอไปแล้วครึ่งหนึ่ง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่น่ารำคาญที่สุด เขาไม่รู้จักถอยให้เธอเลยสักนิด “นี่ ฉันขอถามคุณหน่อยสิ ใครเป็นคนเสนอให้กอดของคุณเป็นรางวัลที่สามเหรอ แล้วทำไมคุณถึงยอมล่ะคะ”
ในเมื่อลั่วเซ่าเชินไม่เห็นด้วย แล้วทำไมถึงมีรางวัลแบบนี้ได้ล่ะ นี่กำลังเล่นสนุกอะไรกันอยู่? ถังโจวโจวคิดว่าเรื่องนี้มันแปลกเกินกว่าจะเข้าใจ
ลั่วเซ่าเชินก้มหน้าและทายาให้ถังโจวโจวต่อไป “ตอนแรกรางวัลที่สามมันไม่ใช่แบบนี้ แต่ต่อมาก็มีคนเสนอความคิดว่าควรให้ผมกอดพวกเธอเป็นรางวัล แค่ผมกอดพวกเธอ พวกเธอก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว จากนั้นทุกคนก็ลงคะแนนด้วยการยกมือ ที่สุดแล้วผมก็ปฏิเสธไม่ได้”
ลั่วเซ่าเชินหวนนึกถึงตอนที่รู้ว่าตัวเองต้องไปเป็นรางวัลจับฉลากนี้ ตอนนั้นเขารู้สึกเหนื่อยใจอย่างมาก! แต่ตอนนี้เมื่อคิดว่าในอนาคตเขาจะไม่ต้องเหนื่อยใจอีกต่อไปแล้ว ลั่วเซ่าเชินก็จูบลงบนแก้มของถังโจวโจว “โจวโจว คุณคือดาวนำโชคของผม ผมไม่ต้องกังวลใจเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว”
เมื่อถังโจวโจวเห็นเขามีความสุขมากขนาดนี้ เธอก็เชื่อแล้วว่าก่อนหน้านี้เขาคงพยายามรักษาหน้าอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ตอนนั้นถ้าเขาบอกไม่เห็นด้วยหรือไม่ยอม ก็ไม่น่าจะมีใครบังคับเขาได้นี่ แต่เมื่อถังโจวโจวจินตนาการถึงตอนที่ลั่วเซ่าเชินขมวดคิ้วมุ่นเพราะมติเอกฉันท์ว่าเลือกรางวัลนี้ เธอก็รู้สึกว่ามันน่าขำอยู่ไม่น้อย
น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้เห็นภาพเหล่านั้นแล้ว เฮ้อ! น่าเสียดายจัง น่าเสียดาย!
ตอนอยู่ในงานเลี้ยงถังโจวโจวไม่ได้กินอะไรมาก และเมื่อเธอกลับมาถึงบ้าน เธอก็ไม่อยากรบกวนป้าหลิวให้ลุกขึ้นมาทำอะไรให้กิน ดังนั้นเธอจึงเดินกระโดดขาเดียว โดยตั้งใจจะไปที่ห้องครัว เพื่อต้มบะหมี่ให้กับตัวเธอเองและลั่วเซ่าเชิน
เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นเธอเดินกึ่งกระโดดด้วยขาข้างเดียว เขาก็รู้สึกเหนื่อยใจและอยากจะบ่นเธอสักหน่อย ทำไมเธอถึงไม่เอ่ยปากขอให้เขาอุ้มไปล่ะ ทีเรื่องจำเป็นน่ะไม่รู้จักขอหรอก!
ท้ายที่สุด ลั่วเซ่าเชินก็ทนดูต่อไปไม่ไหว เขาตรงเข้าไปคว้าตัวเธอไว้ จากนั้นถังโจวโจวก็รู้สึกว่าตัวเธอลอยอยู่ในอากาศ เธอรีบโอบไปรอบลำคอของลั่วเซ่าเชินตามสัญชาตญาณ “คุณจะทำอะไรคะ!”
“ดูไม่ออกเหรอ ก็จะอุ้มคุณไปที่ครัวไง” ลั่วเซ่าเชินก้าวไปข้างหน้า เพียงครู่เดียวเขาก็ถึงที่หมาย เมื่อเทียบกับการกระโดดของถังโจวโจวแล้ว แบบนี้มันเร็วกว่ากันเยอะ
เขาปล่อยถังโจวโจวลงเมื่อถึงห้องครัว เมื่อถังโจวโจวเห็นเขายังยืนอยู่ข้างๆ เธอก็ไม่ปล่อยให้เขาว่างงาน ตอนนี้เธอขยับตัวได้ลำบาก เธอจึงได้แต่ชี้นิ้วสั่งให้ลั่วเซ่าเชินทำงานให้
“หยิบเส้นมาค่ะ”
“หยิบไข่ออกมาจากตู้เย็นสองฟองค่ะ ดูด้วยนะคะว่ามีมะเขือเทศไหม ถ้ามีก็หยิบมาด้วยค่ะ”
“คุณช่วยฉันตั้งน้ำทีค่ะ”
…
ลั่วเซ่าเชินไม่ได้บ่นอะไร และของที่ถังโจวโจวต้องการก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอทีละอย่าง ถังโจวโจวอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก เธอสามารถลงมีดได้อย่างเบามือและรวดเร็ว เธอใส่เส้นลงไปในหม้อ จากนั้นก็ใช้หม้ออีกใบหนึ่งทำน้ำซุป แล้วเธอก็หยิบชามออกมาสองใบ
เพียงไม่นาน บะหมี่มะเขือเทศใส่ไข่หอมกรุ่นสองชามก็เสร็จเรียบร้อย เดิมทีถังโจวโจวอยากจะใส่ผักลงไปด้วย แต่น่าเสียดายที่ในตู้เย็นไม่มี แต่แค่นี้ก็ดีมากแล้ว
ลั่วเซ่าเชินมีหน้าที่ยกบะหมี่ออกมา ในขณะที่ถังโจวโจวก็กระโดดขาเดียวพลางเกาะกำแพงออกมาถึงโต๊ะอาหารด้วยความยากลำบาก
ลั่วเซ่าเชินส่งตะเกียบให้เธอ ในตอนแรกถังโจวโจวก็ไม่ได้รู้สึกหิวอะไรมาก แต่เมื่อบะหมี่ร้อนๆ กลิ่นหอมกรุ่นเตะจมูกอย่างนี้ก็ทำให้ถังโจวโจวรู้สึกหิวขึ้นมาทันที และเมื่อในโพรงจมูกของเธอเต็มไปด้วยกลิ่นบะหมี่ ท้องของเธอก็ร้องขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
แม้ว่าลั่วเซ่าเชินจะไม่ได้เอ่ยอะไร แต่ถังโจวโจวก็ดูออกว่าเขาหิว ท่าทางของเขายังคงสง่างามและน่ามองเช่นเคย แต่จังหวะการเคลื่อนไหวของเขากลับยิ่งเร็วมากขึ้น
หลังจากกินบะหมี่จนหมด ถังโจวโจวก็อยากจะล้างจาน แต่ลั่วเซ่าเชินไม่ยอม เขาอุ้มเธอขึ้นไปชั้นบน “ทิ้งชามไว้ให้ป้าหลิวล้างพรุ่งนี้ก็ได้ ผมจะอุ้มคุณขึ้นไปอาบน้ำก่อน”
ลั่วเซ่าเชินอุ้มถังโจวโจวเข้ามาในห้องน้ำเลย “เสื้อผ้าฉันล่ะคะ” เขาจะอุ้มเธอเข้ามาในห้องน้ำทำไม เดี๋ยวเธอก็ต้องออกไปหยิบเสื้อผ้าอยู่ดี จะทำให้ยุ่งยากทำไมนี่?
“เดี๋ยวผมไปหยิบมาให้ คุณจะใส่ตัวไหน”
ถังโจวโจวเบิกตามองลั่วเซ่าเชิน “ไม่…ไม่ต้องก็ได้มั้งคะ เดี๋ยวฉันไปหยิบเอง”
นี่มันน่ากลัวจริงๆ คุณชายลั่วเซ่าเชินที่คอยชี้นิ้วสั่งเธอมาตลอด ทำไมวันนี้เขาถึงสลับตำแหน่งกับเธอเสียได้ล่ะ? ถึงขั้นบอกว่าจะช่วยหยิบเสื้อผ้าให้เธออีก ถังโจวโจวขนลุกขนพองไปหมด
“ทำไม? มันแปลกมากเหรอที่ผมจะช่วยคุณหยิบเสื้อผ้า” ลั่วเซ่าเชินเลิกคิ้วและเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ ดูสิว่าถังโจวโจวจะอ้างเหตุผลอะไรได้อีก
แน่นอนว่าถังโจวโจวอยากจะตอบกลับว่า ‘ทำไมมันจะไม่แปลกล่ะ’ แต่น่าเสียดายที่ถังโจวโจวไม่กล้าพูดคำเหล่านั้นออกมา เพราะกลัวความเจ้าเล่ห์ของลั่วเซ่าเชิน “ไม่แปลกค่ะ แต่ฉันว่าฉันหยิบเองดีกว่า” ฉันไม่กล้าใช้คุณหรอกค่ะ! ถังโจวโจวแขวะในใจ
“ถ้าคุณไม่บอก ผมก็จะหยิบสุ่มมาแล้วกันนะ” ลั่วเซ่าเชินเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าและเปิดมันออก เขาสำรวจดูเสื้อผ้าของถังโจวโจว เสื้อผ้าถูกจัดวางไว้อย่างเรียบร้อย และเมื่อเขาเปิดดูชุดนอนของเธอ ลั่วเซ่าเชินก็พบว่าชุดนอนที่ถังโจวโจวใส่ล้วนมีแต่แบบที่มิดชิด
เมื่อหยิบชุดออกมาได้ชุดหนึ่ง ลั่วเซ่าเชินก็เดินกลับเข้าไปในห้องน้ำ แล้วเขาก็พบว่าถังโจวโจวยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น ลั่วเซ่าเชินก้มตัวลงไปเปิดน้ำให้เธอ “โอเค ผมปรับน้ำแล้ว คุณอาบได้เลย”