เมิ่งชิงซีร้อนรนใจขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเหวินมั่นมั่นไม่ยอมลงมือทำอะไรสักอย่าง ช่างเป็นผู้หญิงที่โง่จริงๆ โอกาสดีๆ แบบนี้กลับปล่อยให้หลุดลอยไปได้ แต่ถึงแม้ว่าเมิ่งชิงซีจะมีอีกกี่แผน เหวินมั่นมั่นก็จะไม่ยอมทำตามแผนที่เธอวางเอาไว้
ตั้งแต่ที่เหวินมั่นมั่นได้พบกับเจียงรุ่ยเฉิน เธอก็ค่อยๆ เลิกคิดถึงเรื่องของลั่วเซ่าเชินไป และเริ่มให้ความสนใจกับเจียงรุ่ยเฉินแทน เมื่อเจียงรุ่ยเฉินมาที่เหวินกรุ๊ป เขาก็มีโอกาสได้พบกับเหวินมั่นมั่น ได้เจอกันอยู่หลายครั้ง เจียงรุ่ยเฉินเองก็เริ่มพอจะเข้าใจความรู้สึกของเหวินมั่นมั่นอยู่เหมือนกัน
แต่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีที่ชัดเจนกับเธอ เหวินมั่นมั่นจึงต้องสงบเสงี่ยมไว้ เธอก็แค่ต้องสร้างโอกาส และแกล้งทำเป็นว่าบังเอิญมาเจอกัน ถ้าเจียงรุ่ยเฉินพูดกับเธอ เธอก็จะมีความสุขไปทั้งวัน และแน่นอนว่ามันไม่ได้ราบรื่นทุกครั้งไป
บางครั้งที่เจียงรุ่ยเฉินมาคุยกับเหวินฉี่สยงเรื่องโปรเจกต์ที่ทำร่วมกัน เหวินมั่นมั่นก็จะตามไปที่ห้องประชุมที่เจียงรุ่ยเฉินอยู่ด้วย แต่เหวินมั่นมั่นจะเข้าไปเจอเขาเลยไม่ได้ และหากเธอรออยู่ข้างนอก มันก็จะผิดสังเกตมากเกินไป เหวินมั่นมั่นกลัวว่าพี่สาวอย่างเหวินซือหว่านจะหัวเราะเยาะเอา ดังนั้นเธอจึงต้องถอยกลับไปที่เดิม
แต่เมื่อเหวินฉี่สยงรู้ว่าลูกสาวคนนี้รู้สึกอย่างไร เขาจึงมักจะชวนเจียงรุ่ยเฉินกลับมากินข้าวที่บ้าน หรือไม่ก็ขอให้เหวินมั่นมั่นช่วยเอาของมาส่งให้เขาที่บริษัท และทันทีที่เหวินมั่นมั่นมาถึง เธอก็พบว่าเจียงรุ่ยเฉินอยู่ในห้องทำงานของเหวินฉี่สยง เธอก็เข้าใจความตั้งใจของคุณพ่อทันที
อย่างไรก็ตาม เจียงรุ่ยเฉินยังคงอ่อนโยนต่อเธอราวกับสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิเช่นเดิม แต่เหวินมั่นมั่นรู้สึกว่าเขามีท่าทีห่างเหินไป เหวินมั่นมั่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว แต่เธอก็จะไม่ยอมแพ้ เธอจะยืนหยัดต่อไป
วันนี้ถังโจวโจวต้องออกไปตรวจครรภ์ เธอจึงขอลาหยุดกับบริษัท ลั่วเซ่าเชินมีธุระเร่งด่วนต้องทำ ไม่มีเวลาไปด้วยกันกับเธอ ลั่วเซ่าเชินเสียใจมาก เดิมทีเขาอยากจะให้ถังโจวโจวรอเขาก่อน เมื่อเขาเสร็จธุระแล้ว เขาจะรีบไปรับเธอทันที
แต่ถังโจวโจวปฏิเสธ เธอบอกเขาว่าเธอไปคนเดียวได้ ลั่วเซ่าเชินก็ไม่ได้ขัดใจ เมื่อถังโจวโจวแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เธอก็ไปที่โรงพยาบาล คุณหมอบอกว่าเด็กในท้องของเธอสุขภาพแข็งแรงดี แต่เขาบอกให้เธอรักษาอุณหภูมิในร่างกายไว้ เนื่องจากว่าช่วงนี้อากาศค่อนข้างหนาว ต้องระมัดระวังจะเป็นไข้หวัดเอาไว้
ถ้าเธอเป็นหวัดขึ้นมา เธอก็ไม่สามารถกินยาแบบสุ่มสี่สุ่มห้าได้ จากนั้นเธอก็รู้สึกไม่สบายใจ เธอจดและจำคำแนะนำของคุณหมอไว้ หลังจากบอกลาคุณหมอแล้ว ถังโจวโจวก็รู้สึกว่าเธอไม่ได้ออกมาชอปปิงนานแล้ว เธอจึงโทรหาหลินเหยา
“เหยาเหยา เธอทำอะไรอยู่”
“ทำงานอยู่น่ะสิ ทำไมเหรอ” หลินเหยานวดขมับตัวเอง เธอรู้สึกประหลาดใจมากที่ถังโจวโจวโทรมาหาเธอในเวลานี้
“ตอนนี้ฉันอยู่ข้างนอก เพิ่งตรวจครรภ์เสร็จ เธอพอจะออกมาได้ไหม ไปเดินชอปปิงกัน” ถังโจวโจวนั่งอยู่บนรถแล้ว เธอกำลังจะเดินทางไปที่ห้างสรรพสินค้า
หลินเหยารู้สึกปวดหัวมาก เมื่อกวาดตามองกองงานที่อยู่ตรงหน้า เธอก็เอ่ยขอโทษว่า “โจวโจว ฉันยังทำงานไม่เสร็จเลย เอาแบบนี้ดีไหม เธอหาที่นั่งรอฉันก่อน เดี๋ยวตอนบ่ายฉันออกไปหา โอเคไหม”
ถังโจวโจวมองดูเวลา แล้วเธอก็พบว่าตอนนี้เพิ่งจะสิบโมง เธอปลอบใจหลินเหยา “ไม่เป็นไร เหยาเหยา ครั้งหน้าเราค่อยนัดกันใหม่ก็ได้ ฉันขอไปดูของก่อน”
“โอเค เดี๋ยวถ้าฉันทำเสร็จงานแล้วฉันจะโทรหานะ ถ้าเธอยังอยู่ฉันจะรีบออกไป” หลังจากหลินเหยาวางสาย เธอก็ไม่สบายใจที่ถังโจวโจวอยู่คนเดียว แต่จะให้จู่ๆ เธอทิ้งงานออกไปเลยก็ไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงได้แต่เร่งความเร็วในการทำงาน
ลั่วเซ่าเชินมาที่สตูดิโอสอนเต้นของหันฮุ่ยซิน สตูดิโอของเธอเปิดทำการในวันนี้ เนื่องจากลั่วเซ่าเชินได้รับปากกับเธอไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นวันนี้เขาจึงต้องยกเลิกนัดของถังโจวโจวไป
ด้วยเหตุนี้ ลั่วเซ่าเชินจึงไม่สบายใจ เขาเจียดเวลาออกมาโทรหาถังโจวโจว “โจวโจว เป็นยังไงบ้าง ตรวจเสร็จหรือยัง คุณหมอว่ายังไงบ้าง” ลั่วเซ่าเชินเลือกหาที่เงียบๆ โทรหาถังโจวโจว
ถังโจวโจวเองก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจ เดิมทีงานของลั่วเซ่าเชินก็ยุ่งมากอยู่แล้ว มันไม่ง่ายเลยที่เขาจะเจียดเวลาออกมา ไม่มาก็ไม่เป็นไร ถังโจวโจวถ่ายทอดคำพูดของคุณหมอให้ลั่วเซ่าเชินฟังอีกหนึ่งรอบ
ในที่สุดลั่วเซ่าเชินก็เบาใจลง ความรู้สึกละอายที่อยู่ในใจก็ลดลงเล็กน้อย “แล้วตอนนี้คุณถึงบ้านหรือยัง” เขารู้ว่าวันนี้ถังโจวโจวลางาน เมื่อเธอตรวจครรภ์เสร็จ เธอก็น่าจะตรงกลับบ้านเลย ถ้าเป็นไปได้ เขาจะกลับไปกินข้าวกลางวันกับเธอที่บ้าน
“ยังค่ะ ฉันอยากเดินชอปปิงก่อน อีกเดี๋ยวค่อยกลับค่ะ” ถังโจวโจวมีความสุขมากที่ได้เดินชอปปิงตามลำพัง เมื่อเธอมองดูผู้คนที่เดินกันอย่างขวักไขว่ ถังโจวโจวก็รู้สึกตื่นเต้น ราวกับว่าเธอถูกขังมานาน เธอรู้สึกว่าโลกภายนอกนั้นเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ความจริงแล้วก็ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่ได้ออกมาชอปปิ้งเลย
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ระวังตัวด้วย เดี๋ยวผมเสร็จธุระแล้วผมจะไปรับ” ดูเหมือนว่าจะมีคนเรียกลั่วเซ่าเชิน เขารีบพูดให้จบประโยคและวางสายไป ถังโจวโจวแค่อยากจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ปลายสายก็เงียบไปแล้ว
เธอบ่นพึมพำว่า “ทำไมจะวางสายแล้วไม่บอกกันสักคำ ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่นะเนี่ย” แต่ถังโจวโจวไม่ได้สนใจมาก เธอลงจากรถและเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้า
ถังโจวโจวเดินไปทางซ้ายที ไปทางขวาที แล้วเธอก็พบกับร้านขายของสำหรับเด็กอ่อน เธอรู้สึกสนใจในทันที เมื่อเธอเดินเข้าไป เธอก็พบว่าเสื้อผ้าเด็กในร้านนั้นน่ารักมาก ถังโจวโจวมองอย่างหลงใหล จนเธอไม่อยากออกมาจากตรงนั้นเลย
พนักงานขายเห็นว่าถังโจวโจวมาคนเดียว เธอจึงไม่ได้ต้อนรับอะไรเป็นพิเศษ สินค้าในร้านที่พวกเธอขายล้วนแต่เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งแน่นอนว่าราคาของมันไม่ใช่ที่คนธรรรมดาจะซื้อได้ง่ายๆ
และในมุมมองของพนักงาน ถังโจวโจวก็จัดว่าอยู่ในหมวดที่ไม่สามารถซื้อได้ ดังนั้น เมื่อเห็นถังโจวโจวเลือกอยู่นาน เธอก็ทำเป็นไม่เห็น พอดีกันกับที่ถังโจวโจวแค่เข้ามาชม ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อ ลูกในท้องยังเด็กเกินไป ถ้าซื้อไปตอนนี้ ต้องใช้เวลาอีกตั้งหลายเดือน กว่าลูกเธอจะใส่ได้
เมื่อพนักงานเห็นว่ามีแขกเข้ามาในร้านอีกคน เธอก็ต้อนรับอย่างกระตือรือร้น “สวัสดีค่ะ คุณผู้หญิง ไม่ทราบว่าคุณผู้หญิงต้องการอะไรคะ ช่วงนี้ทางร้านมีสินค้าเด็กรุ่นใหม่เข้ามาเยอะแยะเลย คุณผู้หญิงสนใจไหมคะ”
เมิ่งชิงซีเห็นถังโจวโจวมาที่นี่ เธอจึงเดินตามเข้ามา เมื่อถังโจวโจวมองดูเสื้อผ้าเด็กพวกนี้ เธอก็รู้สึกขวางหูขวางตา มันน่ารักตรงไหนกัน เธอตอบอย่างเย็นชา “ไม่ค่ะ” ความกระตือรือร้นในการต้อนรับของพนักงานลดลงไปอย่างมากเพราะความเฉยเมยของเมิ่งชิงซี
เธอไม่กล้าแสดงความไม่พอใจ เสื้อผ้าที่เมิ่งชิงซีสวมตั้งแต่หัวจรดเท้า มีมูลค่ามากกว่าเงินเดือนของเธอตั้งหลายเดือน เธอไม่กล้าทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจหรอก หากเธอไม่ระวัง เธออาจจะโดนเจ้านายไล่ออกโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้
ที่พนักงานกลัวกันแบบนี้ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เมื่อก่อนเธอรู้จักพนักงานคนหนึ่งที่ชื่อเสี่ยววัง เธอดันไปดูถูกลูกค้าเข้า ลูกค้าไม่พอใจเป็นอย่างมากและขอให้ผู้จัดการไล่เธอออก ประจวบเหมาะกับที่ผู้จัดการก็ไม่กล้าล่วงเกินลูกค้าคนนั้น ดังนั้นเสี่ยววังจึงต้องออกจากงานไปอย่างเงียบๆ
ถังโจวโจวรู้สึกคุ้นหูกับเสียงของคนที่อยู่ด้านหลัง เมื่อเธอหันหน้ากลับไปมอง เธอก็พบว่าเธอเดาไม่ผิด เป็นเมิ่งชิงซีจริงๆ “โจวโจว เธอก็มาที่นี่เหมือนกันเหรอ บังเอิญจัง!” ท่าทางของเมิ่งชิงซีดูกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก กระตือรือร้นเสียจนถังโจวโจวหวาดผวาและชักมือกลับเมื่อเมิ่งชิงซีเดินเข้ามาจับมือ
พนักงานขายมองดูลูกค้าทั้งสองคน ดูเหมือนว่าจะรู้จักกันดีด้วย เธอจึงค่อนข้างกังวลใจ เธอไม่น่าตาถั่วมองคนผิดไปเลย คุณผู้หญิงท่านนี้คงไม่ตำหนิเธอหรอกนะ? พนักงานขายแอบลอบมองถังโจวโจวอีกครั้ง เธอดูแล้วก็คิดว่าถังโจวโจวน่าจะเป็นคนที่อ่อนโยนมาก ดังนั้นเธอจึงเบาใจขึ้น
ถังโจวโจวไม่รู้ว่าเมิ่งชิงซีคิดจะทำอะไร หลังจากที่เธอดึงมือตัวเองออกจากมือของเมิ่งชิงซีมาได้ เธอก็รู้สึกโล่งใจ รู้สึกปลอดภัยกว่ามก
“คุณเมิ่งคะ ฉันว่าเราไม่ได้สนิทกันมากขนาดนั้น คุณมีอะไรจะคุยกับฉันหรือเปล่าคะ” ถังโจวโจวไม่รู้จริงๆ ว่าเมิ่งชิงซีกำลังคิดจะทำอะไร แต่เธอรู้สึกว่าการที่เมิ่งชิงซีปฏิบัติกับเธอแบบนี้ มันต้องไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอน
เมิ่งชิงซีไม่สนใจหรอกว่าถังโจวโจวจะรังเกียจเธอมากแค่ไหน เธอคว้าจับมือของถังโจวโจวอีกครั้งแล้วพูดว่า “ทำไมถึงพูดอย่างนั้นล่ะ โจวโจว ไปจ้ะ เราไปหาอะไรดื่มกันดีกว่า” เมิ่งชิงซีลากเธอออกไปจากร้าน
พนักงานขายมองดูอยู่ครู่หนึ่ง เธอพบว่าความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้าสองคนนั้นแปลกมาก ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเป็นมิตรกัน แต่ถังโจวโวก็ไม่ได้ต่อต้าน พนักงานขายเองก็ไม่อยากแส่ไปมากกว่านี้แล้ว
ถังโจวโจวสลัดมือของเมิ่งชิงซีไม่หลุด และเธอก็กลัวว่าเด็กในท้องจะได้รับอันตราย เธอจึงทำได้แค่ปล่อยให้เมิ่งชิงซีลากเธอไป กระทั่งพวกเธอมาถึงร้านกาแฟแห่งหนึ่ง
เมิ่งชิงซีพูดกับพนักงานเสิร์ฟ “มอคค่าสองแก้ว อ้อ ลืมไป โจวโจวกำลังท้องอยู่นี่นา ดื่มกาแฟไม่ได้ เอาเป็นนมดีไหม”
ถังโจวโจวไม่อยากดื่มอะไรทั้งสิ้น แต่เมื่อเห็นเมิ่งชิงซีคะยั้นคะยออยู่แบบนี้ เธอก็พยักหน้า เมิ่งชิงซีจึงหันไปพูดกับพนักงานเสิร์ฟอีกครั้งว่า “ตามนี้”
“โอเคค่ะ คุณผู้หญิง รับเป็นกาแฟหนึ่ง นมสดหนึ่งนะคะ กรุณารอสักครู่ค่ะ” เมื่อพนักงานเสิร์ฟจากไป ถังโจวโจวจึงถามขึ้นมาว่า “คุณเมิ่งคะ เรามีเรื่องอะไรให้คุยกันด้วยหรือคะ”
ถังโจวโจวรู้อยู่ตลอดว่าเมิ่งชิงซีต้องการจะครองคู่กับลั่วเซ่าเชินให้ได้ หรืออาจจะพูดได้ว่าเมิ่งชิงซีพยายามแหย่ขาเข้ามาแทรกกลางระหว่างเธอและลั่วเซ่าเชินอยู่เสมอ เธอจึงไม่รู้สึกว่ายังจะมีเรื่องอะไรที่เธอสามารถคุยกับเมิ่งชิงซีได้
เมิ่งชิงซีนั่งเล่นนิ้วมือของตัวเอง น้ำยาทาเล็บสีแดงสดนั้นสวยสะดุดตามาก ถังโจวโจวมองไปที่เล็บเรียวยาวของเธอ นึกกังวลไปว่าถ้าเธอฝากรอยยาวๆ นั้นลงบนใบหน้าของตัวเอง เห็นทีคงจะทำให้เสียโฉมได้เลย
ดูเหมือนว่าถังโจวโจวจะขยับตัวหนีโดยไม่ได้ตั้งใจ ความจริงแล้วเธออยากจะอยู่ให้ห่างไกลจากเมิ่งชิงซีให้มากที่สุด แล้วในที่สุดเมิ่งชิงซีก็เปิดปากพูด “โจวโจว เราไม่จำเป็นต้องเรียกกันห่างเหินแบบนี้นี่ เจอกันมาตั้งหลายครั้งแล้ว เรียกฉันว่าชิงซีก็พอ”
แววตาของเมิ่งชิงซีบ่งบอกว่า ‘ฉันให้ความสำคัญกับเธอมาก’ ได้ยินอย่างนั้นถังโจวโจวก็อยากจะหัวเราะให้ลั่น พวกเธอเคยเจอกันที่ไหนเล่า ถ้าไม่ใช่เพราะลั่วเซ่าเชิน พวกเธอสองคนก็คงจะไม่เจอกันเลย ยิ่งไปกว่านั้น มีครั้งไหนบ้างที่เมิ่งชิงซีไม่อยากจะไล่เธอให้ออกไปพ้นทาง ถ้าจะบอกว่าคุ้นเคยกันจริงๆ ต้องบอกว่าคุ้นเคยกับการที่เมิ่งชิงซีพยายามจะกำจัดเธอมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ถังโจวโจวก็จะไม่พูดมันออกมา เธอยังต้องรักษาท่าทีเอาไว้เพื่อประเมินสถานการณ์ แต่เธอก็ไม่อยากให้เมิ่งชิงซีรู้ว่าเธอกลัวอยู่ไม่น้อย แม้ว่าถังโจวโจวจะทำทียอมอ่อนข้อให้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเธอโง่จนไม่รู้เท่าทันหรอกนะ
“คุณเมิ่งคะ ในเมื่อเราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว คุณก็ไม่ต้องเกริ่นอะไรแบบนี้หรอกค่ะ บอกฉันมาตามตรงเถอะว่าคุณมีธุระอะไรกับฉัน ถ้าไม่มีธุระอะไร ฉันก็จะขอตัวกลับก่อน เพราะเมื่อครู่นี้ลั่วเซ่าเชินเพิ่งบอกฉันว่าเขากำลังรอให้ฉันกลับไปทานข้าวกลางวันด้วย”
เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวยกเอาลั่วเซ่าเชินขึ้นมาพูด เมิ่งชิงซีก็ยิ่งเกลียดเธอ ผู้หญิงคนนี้มีอะไรดีนักหนา ถ้าไม่ใช่เพราะลั่วเซ่าเชินถูกชะตาเธอ ตอนนี้เธอก็คงจะไม่มีสิทธิ์มานั่งลอยหน้าลอยตาอยู่ตรงหน้าแบบนี้หรอก แต่ถึงเมิ่งชิงซีจะไม่พอใจ ก็ยังคิดว่านี่เป็นความผิดส่วนหนึ่งของลั่วเซ่าเชินด้วย เธอจะโทษถังโจวโจวคนเดียวก็ไม่ถูก
อย่างน้อยตอนนี้เธอก็ไม่สามารถแสดงอาการโกรธออกมาต่อหน้าถังโจวโจวได้ เมิ่งชิงซีเก็บไฟโกรธเอาไว้ในใจและยิ้มให้ถังโจวโจว “โจวโจว ความจริงแล้วฉันก็ไม่ได้มีธุระอะไรกับเธอหรอก ฉันแค่อยากมาแสดงความยินดีกับเธอ ถ้าเด็กคนนี้คลอดแล้วอายุครบหนึ่งเดือนเมื่อไร ฉันจะมาร่วมงานอย่างแน่นอน”