ตอนที่ 21: เริ่มการฝึกสภาพจิตใจได้!
“ชัยชนะ! พวกเราชนะ!”
“เย้!!”
ทหารลาพิวต้าที่อยู่บนกำแพงปราสาทส่งเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจเมื่อเห็นคิมูระถูกจับตัวได้ในที่สุด
ศึกครั้งนี้พวกเขาได้รับชัยชนะ
อีกทั้งยังเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ในสถานการณ์ที่พวกเขามีความเสียเปรียบด้านจำนวนดังนั้นมันจึงถือเป็นชัยชนะที่สมบูรณ์แบบ
มันคือผลสัมฤทธิ์จากแรงบัลดาลใจที่ได้รับการกระตุ้น
“มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตหรือไม่? แต่ละหน่วยจงรายงาน!”
ผู้บัญชาการเจมส์พยายามตรวจสอบสถานะของทหารทันทีที่สงครามสิ้นสุด
“หน่วยหนึ่ง ไม่มีขอรับ!”
“หน่วยสอง บาดเจ็บสองคนขอรับ!”
“หน่วยสาม ไม่มีขอรับ!”
มันน่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งที่แม้จะเป็นสงครามระหว่างดินแดนแต่กลับไม่มีทหารคนใดต้องถึงแก่ความตาย
ความสูญเสียทั้งหมดที่ลาพิวต้าได้รับจากการต่อสู้ในครั้งนี้คือทหารที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเพียงสองนายเท่านั้น
‘องค์ราชันย์ ท่านได้ทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้นเช่นนี้ไว้แล้วหรือไม่ขอรับ?’
เจมส์เงยหน้าขึ้นมองหอสังเกตการณ์ที่ ๆ คังชอลอินกำลังยืนอยู่โดยไม่สามารถหลบซ่อนความเกรงขามที่ลุกลามอยู่ในใจเขาได้
“ด้วยองค์ประกอบของกองทหารที่ศัตรูมี พวกนั้นจะไม่มีทางเอาชนะเราได้ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรก็ตาม”
คังชอลอินที่ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกองทหารของเบอร์โรลได้มอบความมั่นใจให้กับกำลังทางทหารของตัวเองก่อนการสู้รบจะเกิดขึ้น มันเป็นความมั่นใจที่ไม่ว่าอย่างไรศัตรูก็จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และลาพิวต้าจะต้องเป็นฝ่ายที่ได้รับชัยชนะมาอย่างท่วมท้น
และสิ่งนั้นก็ได้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาของเขาจริง ๆ
“รีบเดินเร็วเข้า!”
ในขณะเดียวกัน โพดอลส์กี้และทหารม้าคนอื่น ๆ ก็ได้ผูกมัดร่างคิมูระไว้อย่างแน่นหนาด้วยเชือกเพื่อพากลับมายังปราสาทลาพิวต้า
“อึ่ก…!”
คิมูระถูกลากไปพร้อมกับทหารที่ชื่อโพดอลส์กี้
แต่เขาดูแปลกและแตกต่างไปจากสิ่งที่เคยเจอ…
‘นั่น… นั่นมันวิธีการอะไรกัน?’
‘ช่างน่ากลัวนัก…’
‘การผูกมัดแบบนั้นสามารถทำได้อย่างไรกัน?’
ในความคิดของผู้ที่เฝ้ามองต่างมีคำถามมากมายเกิดขึ้นในใจ
คิมูระถูกมัดไว้อย่างแน่นหนาด้วยเชือกที่มีการผูกไว้อย่างซับซ้อนและแปลกประหลาด มันถูกผูกมัดไว้เป็นอย่างดีเพื่อไม่ให้คิมูระมีการเคลื่อนไหวได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า มันแปลกประหลาดมากพอที่จะทำให้ผู้พบเห็นต้องตกใจ
คังชอลอินเองก็ตกตะลึงไม่ต่างกัน
‘ห๊า… นี่มันชวนให้ประสาทเสียซะจริง ๆ’
คังชอลอินหลบซ่อนใบหน้าของตัวเองลงฝ่ามืออีกครั้งราวกับว่าเขาเหนื่อยและอ่อนเพลียเต็มทน
เขาไม่รู้ว่าโพดอลส์กี้ไปเรียนรู้วิธีมัดเชือกแบบนี้มาจากที่ไหนแต่วิธีการที่ใช้มัดตัวคิมูระนั้นคือเทคนิคที่คล้ายกับการมัดเชือกแบบกระดองเต่าที่สามารถพบได้ทั่วไปตามหนัง AV ของญี่ปุ่น
ราชันย์ที่เดินทางมาจากญี่ปุ่นกำลังถูกมัดเชือกไว้ด้วยวิธีการตามสื่อลามกแบบของญี่ปุ่น … มันช่างสอดคล้องกันได้อย่างน่าประหลาด
“นายท่าน มันคือชัยชนะที่สมบูรณ์แบบแต่เหตุใดนายท่านถึงดู…”
“ไม่มีอะไร”
คัวชอลอินโบกมือให้กับคำถามของลูเซีย
“เมื่อคืนข้านอนมาไม่พอจึงทำให้เหนื่อยล้าไปหน่อย”
คังชอลอินที่ไม่สามารถพูดได้ว่าวิธีการมัดนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลามกเขาจึงหลีกเลี่ยงคำถามของนางโดยบอกว่าเขาเหนื่อยล้าจากการนอนไม่พอไปแทน จากนั้นเขาก็หันไปมองที่ทิโมธี
“ทิโมธี”
“ขอรับ … องค์ราชันย์”
การแสดงออกของทิโมธีได้บ่งบอกหมดทุกสิ่ง มันเป็นใบหน้าของคนที่ได้สูญเสียดินแดนจนหมดสิ้นและนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเบอร์โรลจะต้องตกอยู่ภายใต้การนำของคังชอลอิน
“ราชันย์เจ้าทั้งโง่เขลาและไร้ความสามารถ”
ทิโมธีไม่อาจตอบกลับออกไปได้
แม้คิมูระจะไร้ความสามารถและโง่เขลาแต่เขาก็ยังเป็นราชันย์ที่ทิโมธีได้ให้คำมั่นไว้ว่าจะจงรักภักดีจนกว่าตัวเขาจะดับสลาย แต่ในตอนนี้เขาไม่สามารถหันหลังกลับไปหาคิมูระได้อีกต่อไป
“และเขายังละทิ้งการมีอยู่ของเจ้าอย่างไร้เยื่อใย หากเจ้ายังภักดีต่อผู้นำเช่นนั้นอยู่อีก … ก็จงมอบความภักดีนั่นมาให้ข้าซะ”
ทิโมธีเบิกตากว้าง
“เช่นนั้น … องค์ราชันย์…?!”
“ข้าไม่อาจรู้ได้ว่าจากมุมมองของเจ้าจะคิดเห็นเป็นเช่นไร แต่ข้าเห็นคุณค่าของคนที่มีพรสวรรค์ในตัวอยู่เสมอ ในตอนนี้ข้ายังไม่รู้ถึงความสามารถของเจ้าแต่ข้าชอบในความภักดีที่เจ้ามี เจ้าจะว่าอย่างไร? จะอยู่เคียงข้างข้าเพื่อช่วยข้าขยายอาณาเขตดินแดนนี้ให้ยิ่งใหญ่หรือไม่?”
มันเป็นข้อเสนอที่ไม่คาดคิดแต่ถึงอย่างไรมันก็ยังน่าสนใจ
‘หืม…ตัวข้า องค์ราชันย์ต้องการตัวข้าทิโมธีผู้นี้จริง ๆ น่ะหรือ?’
ทิโมธีพูดไม่ออกกับข้อเสนอที่ได้รับ เขากำลังสับสนและความรู้สึกที่หลากหลายก็เกิดขึ้นในใจอย่างฉับพลัน
“ข้าให้เวลาเจ้าได้คิดคำนึงจนถึงขณะที่ตะวันจะลับขอบฟ้า”
คังชอลอินชี้ไปที่ภูเขา
“จงตัดสินใจให้ได้ก่อนที่ความมืดจะมาเยือน ข้าไม่ใช่คนว่างที่จะได้มีเวลามากมายมานั่งรอคำตอบจากเจ้า ตอนนี้ข้าจะลงไปหาเจ้าลิงที่แสนโอหังนั่นก่อน เจ้าจงใช้เวลาที่ข้าให้คิดทบทวนอย่างละเอียดถี่ถ้วนดูซะ”
คังชอลอินมอบเวลาที่น้อยกว่าหนึ่งชั่วโมงเพื่อให้ทิโมธีได้ตัดสินใจก่อนจะจากไป
“ทิโมธี”
ลูเซียเรียกทิโมธีผู้ซึ่งกำลังจ้องมองอย่างว่างเปล่ากลับมา
“เจ้ากำลังใคร่ครวญอะไรอยู่?”
“เจ้าหมายถึง…”
“เจ้าเพิ่งได้รับรางวัลใหญ่มาไม่ใช่รึ?! โอกาสที่จะได้มีชีวิตต่อมาอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว แล้วเจ้าจะยังคิดมากไปเพื่ออะไรอีกกัน?”
ลูเซียพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง มันไม่ใช่น้ำเสียงของคนที่กำลังทับถมผู้พ่ายแพ้หากแต่เป็นน้ำเสียงแบบที่ผู้ช่วยคนหนึ่งจะพูดกับผู้ช่วยอีกคน
“พวกเราคือผู้ช่วยส่วนตัวของราชันย์ ประชาชนทุกคนในดินแดนต่างเฝ้ารอเวลามานับไม่ถ้วนเพื่อให้การมาถึงของราชันย์ได้เกิดขึ้นและเพื่อที่ท่านจะได้นำพาพวกเราสู่ความยิ่งใหญ่! แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็ไม่สามารถเลือกราชันย์ที่จะรับใช้ได้ มีเพียงราชันย์เท่านั้นที่จะได้เป็นผู้เลือก ข้าพูดถูกหรือไม่?”
“ช ใช่ เจ้าพูดถูก”
“แต่เจ้ากำลังได้รับโอกาสในการเลือกรับใช้ราชันย์! เจ้ายังคิดที่จะรับใช้ราชันย์ไร้ความสามารถเช่นนั้นอยู่อีกหรือ?”
ลูเซียยกนิ้วชี้ไปที่ประตูของลาพิวต้า ณ ที่นั่น คิมูระกำลังถูกลากตัวไปมาอย่างน่าอดสูโดยโพดอลส์กี้ที่เป็นคนมัดเชือกเขาเอาไว้
“หรือเจ้าจะเลือกรับใช้ราชันย์ที่มีความสามารถไม่เหมือนใครเช่นราชันย์ของข้า เวลานี้ทางเลือกได้เป็นของเจ้าอย่างแท้จริงแล้ว อย่างไรก็ตามตำแหน่งมือขวาขององค์ราชันย์จะต้องเป็นของข้า! ของข้าแต่เพียงผู้เดียวดังนั้นอย่าได้หวังถึงมันเป็นอันขาด!”
ลูเซียจ้องมองราวกับมีดวงไฟแผดเผาอยู่ที่นัยน์ตาของนาง
“องค์ราชันย์ได้มอบเวลาให้กับเจ้าแล้ว จงใช้มันคิดอย่างชาญฉลาด นอกจากนี้… เจ้าก็คงรู้ดีว่าองค์ราชันย์ให้อภัยเจ้าได้แค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น”
เขารู้ถึงข้อนั้นดี
หากเป็นราชันย์คนอื่นเขาอาจถูกประหารหัวไปตั้งแต่ตอนที่ราชันย์คิมูระยกทัพมายังที่นี้เมื่อช่วงบ่ายแล้วก็เป็นได้
“อย่าทำให้องค์ราชันย์ต้องผิดหวัง แม้ท่านจะมีเมตตาแต่เนื้อแท้ท่านก็คือหนึ่งในราชันย์แห่งการนองเลือด นี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่เจ้าจะได้รับ”
ความหมายโดยนัยของลูเซียที่บอกว่าจะไม่มีโอกาสเป็นครั้งที่สองนั้นทำให้ทางเลือกของทิโมธีมีแค่เพียงเลือกรับใช้คังชอลอินหรือเลือกยอมรับความตาย
“เช่นนั้นข้าก็หวังว่าเจ้าจะสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด”
เมื่อพูดจบ ลูเซียก็เดินออกจากหอสังเหตุการณ์ไปอย่างรวดเร็ว
“อา…พระเจ้าขอรับ…ทิโมธีผู้นี้ควรเลือกสิ่งใดกัน…?”
ทิโมธีถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพังกับความคิดที่สับสน เขาได้แต่คิดในใจซ้ำไปซ้ำมาและไม่อาจหาคำตอบได้
เขาควรภักดีในฐานะผู้ช่วยส่วนตัวของราชันย์แห่งเบอร์โรลจนถึงที่สุดหรือควรเข้ารับตำแหน่งหน้าที่กับราชันย์คนใหม่? มันยากที่จะตัดสินใจได้ภายในเวลาอันสั้น มันเป็นตัวเลือกที่ยากเกินกว่าจะทำได้ก่อนพระอาทิตย์ตก
ขณะที่ทุกคนกำลังเฉลิมฉลองไปกับชัยชนะที่ได้รับ กลับมีเพียงคน ๆ หนึ่งที่ไม่ได้ร่วมดีใจไปกับชัยชนะในครั้งนี้
คังชอลอินไม่ได้ไม่มีความสุข แต่เหตุผลความสุขของเขาแตกต่างไปจากคนอื่น
คนอื่นต่างพากันฉลองที่สามารถเอาชนะมาได้อย่างสมบูรณ์แบบในขณะที่คังชอลอินกำลังฉลองให้กับความย่อยยับที่ได้ริบมา เขาชนะในการต่อสู้และเขาสามารถจับตัวผู้นำของศัตรูคิมูระมาได้ ดังนั้นนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปทองคำและกองทหารที่รอดชีวิตของเบอร์โรลจะตกเป็นของคังชอลอินและ…
‘ทิโมธี เจ้าจะได้พิสูจน์ตัวเองว่ามีประโยชน์เพียงใด…’
ก็อบลินชราวัยคือการเก็บเกี่ยวได้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
คังชอลอินต้องการความภักดีของทิโมธี ทิโมธีเองก็เป็นหนึ่งในผู้ช่วยส่วนตัวของราชันย์ เมื่อมีราชันย์ 300 คนก็เท่ากับจะมีผู้ช่วยส่วนตัว 300 คนด้วยเช่นกัน ดังนั้นผู้ช่วยส่วนตัวของแต่ละคนจะมี [ความสามารถพิเศษ] ซึ่งเป็นความสามารถที่มุ่งเน้นไปที่เรื่องกิจการภายในแตกต่างกันออกไป บางทีนางอาจเป็นกรณีพิเศษแต่ในตอนนี้เขายังไม่เห็นความสามารถพิเศษของลูเซียเลยว่าคือสิ่งใด
แต่สำหรับทิโมธีนั้นต่างออกไป
เท่าที่คังชอลอินสามารถมองเห็นได้ ทิโมธีมีทักษะ [บริหารจัดการ] โดยความสามารถของทักษะจะมีดังนี้:
[ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารจัดการ]
ระดับ: 1 (ระดับสูงสุด 5)
อิทธิพล: บริหารงานดำเนินการอย่างประสิทธิภาพ + 20%
อิทธิพล: ดำเนินกะกลางคืนได้มีประสิทธิภาพ + 70%
อิทธิพล: บริหารงานดำเนินการด้วยความความแข็งแกร่ง + 30%
มันเป็นทักษะที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่ต้องนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน คังชอลอินที่หัวหมุนทันทีเมื่อได้รู้ว่าทิโมธีมีความสามารถด้านการบริหารนั่นจึงทำให้ทิโมธีเป็นสินทรัพย์ที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเขา หากทิโมธียอมภักดีต่อคังชอลอินเขาจะได้ทำงานอยู่หลังโต๊ะและคอยจัดการเอกสารไปตลอดทั้งชีวิต คังชอลอินได้เดินเข้ามาภายในห้องโถงราชันย์ในขณะกำลังคิดถึงสิ่งนี้ ภายในห้องโถงคนที่รอเขาอยู่ก็คือผู้บัญชาการเจมส์ ทหารสิบนาย ทหารม้าโพดอลส์กี้และคิมูระ
“องค์ราชันย์ ขอแสดงความยินดีกับชัยชนะในครั้งนี้ด้วยขอรับ”
“ขอแสดงความยินดีด้วยขอรับ องค์ราชันย์!”
เหล่าทหารของเขาส่งเสียงเพื่อแสดงความยินดีพร้อมความปราบปลื้มจนสุดล้น แต่คังชอลอินไม่ได้พอใจกับชัยชนะที่น่าเบื่อนี้เท่าไหร่นักดังนั้นเขาจึงไม่ได้แสดงความยินดีร่วมใด ๆ
สำหรับเขามันเป็นชัยชนะที่ได้มาง่ายเกินไป
คิมูระเป็นคนที่โง่เกินกว่าจะถูกเรียกว่าราชันย์ เขาเป็นเพียงขยะที่ไม่คุ้มค่าให้ต่อกร คังชอลอินไม่ใช่คนที่จะพอใจกับชัยชนะเหนือผู้นำที่ไร้ความสามารถเช่นนี้
หากลองคิดอย่างง่าย ๆ
มีนักมวยมืออาชีพคนไหนที่จะมีความสุขกับการเอาชนะเด็กประถมหรือไม่? ชายที่แข็งแรงและแข็งแกร่งจะฉลองชัยชนะให้กับตัวเองหลังจากบิดคอไก่ได้สำเร็จหรือเปล่า?
หากมีคนเช่นนั้นอยู่จริง คน ๆ นั้นก็เป็นขยะที่แท้จริงไม่ต่างกันถึงหัวเราะหลังจากได้เหยียบย่ำคนอ่อนแอ มันไม่ได้เป็นการกล่าวที่เกินจริงเลยถ้าหากจะมีใครกล่าวว่าบุคคลที่ชื่นชอบในการสังหารหมู่ของผู้บริสุทธิ์นั้นคือคนบ้าเสียสติ
“ยินดีเท่านี้ก็พอ ต่อจากนี้ไปข้าจะสั่งสอนเจ้านั่นเอง หากใครมีไม้กระบองที่เหมาะสมก็จงนำมันมาให้กับข้าซะ”
“ขอรับ!”
ตามคำสั่งของคังชอลอิน ทหารนายหนึ่งรีบวิ่งไปหากระบองมาในทันใด
“เจ้าคือโพดอลส์กี้ใช่หรือไม่?”
“ขอรับ ข้ามีนามว่าโพดอลส์กี้ขอรับ!”
“เป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้า…จะชอบกุญแจมือด้วย?”
“ห๊ะ? … เอ่อ กุญแจมือเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ยอดเยี่ยมที่ทำให้การร่วมรักที่น่าเบื่อน่าสนใจยิ่งขึ้น… ”
แม้จะมีความลำบากใจแต่โพดอลส์กี้ก็เลือกที่จะอธิบายถึงคำถามนั้นจนคังชอลอินต้องโบกมือเพื่อให้เขาหยุดพูดต่อ
“พอแล้ว! ไม่ต้องพูดแล้ว!”
“ข ขอรับ แต่ราชันย์ ท่านรู้ได้อย่างไรหรือขอรับว่าข้าชอบกุญแจมือ?”
“…อย่ามาถามข้า”
คังชอลอินหันหลังแล้วเดินจากไป
เหตุผลที่คังชอลอินเอ่ยถามออกไปเช่นนั้นนั่นก็เพราะโพดอลส์กี้ดูเหมือนมาสคอทของกองกำลังตำรวจเกาหลีใต้ ดวงตากลม ทรงผมสั้น หน้าผากรูปตัว M เขาเป็นเหมือนลิงที่มีหูใบใหญ่และผมสีน้ำตาล หากเขาได้สวมชุดเครื่องแบบจะไม่มีใครปฏิเสธได้เลยว่าเขาไม่ใช่มาสคอทตัวนั้น คังชอลอินที่คิดถึงเรื่องนี้ไม่ได้จะหมายถึงในเรื่องอย่างว่าแต่อย่างใด
คังชอลอินกดศีรษะที่กำลังเกิดอาการปวดลงอย่างนุ่มนวลแล้วส่ายหัว
“อย่างไรก็ตามเจ้าสามารถจับตัวผู้นำของศัตรูมาได้ ด้วยความดีงามที่เจ้าได้กระทำข้าจะขอแต่งตั้งเจ้าให้เป็นเจ้ากรมแห่งลาพิวต้า”
“ขอขอบพระคุณในความกรุณาของท่านขอรับ องค์ราชันย์!”
โพดอลส์กี้คำนับคังชอลอินด้วยความซึ้งใจสำหรับการเลื่อนตำแหน่งที่ไม่คาดคิดครั้งนี้ของเขา
“ตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ ข้าฝันที่จะได้เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์มาโดยตลอด!”
“…ก็คงจะเป็นเช่นนั้น”
“รู้ได้อย่างไรหรือขอรับ?”
“อย่าได้ถามข้า…มิเช่นนั้นเจ้าจะเจ็บตัว”
“ขอรับ! องค์ราชันย์!”
อย่างไรก็ตาม สำหรับโพดอลส์กี้ที่กล่าวว่าเขาต้องการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์มานับตั้งแต่เขายังเป็นเด็กจนได้รับตำแหน่งรับผิดชอบด้านความปลอดภัยของลาพิวต้านั้น คังชอลอินมองดูโดยพินิจไปที่โพดอลส์กี้อีกครั้งและคิดว่านี่อาจเป็นโชคชะตาของเขาที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วก็เป็นได้
“เจมส์”
“ขอรับ”
“เจ้าเองก็ทำได้ดีเช่นกัน ข้าจะมอบทองให้เจ้า 5 แท่ง”
“โอ้ ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งขอรับองค์ราชันย์!”
ทอง 5 แท่งมีมูลค่าเท่ากับ 2.5 ล้านวอน นั่นทำให้เจมส์ฉีกรอยยิ้มกว้างจนเกือบยาวไปถึงใบหู
“ส่วนรางวัลอื่น ๆ ข้าจะประกาศต่อในภายหลัง”
เมื่อคังชอลอิลพูดจบเขาก็หันไปมองอย่างเหยียดหยามที่คูมิระ
“เอ่อ…อ้อ อื้ม!”
คิมูระที่กำลังถูกมัดด้วยเชือกจากโพดอลส์กี้และถูกปิดปากเอาไว้พยายามพูดอะไรบางอย่าง แม้ว่าคังชอลอินจะไม่ได้ยินคำพูดนั้นแต่เขาก็เข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าคิมูระกำลังขอร้องให้ไว้ชีวิตเขา
“เด็กหนุ่มเอ๋ย”
คังชอลอินทำหน้าบูดบึ้งหลังจากที่ได้เห็นใบหน้าของคิมูระที่เป็นเหมือนเด็กน้อยไร้ซึ่งพิษภัย
“ประมาณมัธยมปลาย? เอาล่ะ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่มีความตั้งใจที่จะทำให้มันง่ายไปตามอายุอยู่แล้ว”
หากเป็นเรื่องของสงคราม คังชอลอินไม่ใช่คนที่จะระงับอารมณ์ได้แม้ฝ่ายตรงข้ามจะยังเป็นเพียงแค่เด็ก
“อืมม! อืมม!! อืมมม!!!”
เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงอันตรายต่อชีวิตของตัวเองเมื่อจ้องมองเข้าไปในดวงตาของคังชอลอิน ขณะนั้นเอง ทหารที่วิ่งไปเอาเอากระบองก็กลับมาที่ห้องโถงราชันย์อีกครั้ง
“องค์ราชันย์ นี่ขอรับ”
มันมีรูปทรงคล้ายกับไม้เบสบอลที่จับได้ถนัดมือซึ่งทำมาจากเหล็กและเหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับไว้ใช้ตีคน ไม่มีการสั่งสอนใดที่จะดีไปกว่าการหวดตีให้หลาบจำ
“ลากตัวเจ้าโง่นี่ให้มันมานอนต่อหน้าข้าซะ”
คังชอลอินออกคำสั่ง
ถึงเวลาฝึกลิงให้ได้เรียนรู้แล้ว
.
.