ตอนที่ 20: เสร็จข้า เจ้าแมลงตัวจ้อย!
มดเป็นจ้าวแห่งสงครามการล้อมหรือหากพูดให้ชัดเจนยิ่งขึ้นมันคือจ้าวแห่งการปีนป่าย
แม้ว่ามดพวกนี้จะชอบเดินด้วยสองเท้าเหมือนอย่างมนุษย์แต่รากฐานของพวกมันก็คือการเป็นมด มันไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามใด ๆ เพื่อปีนขึ้นกำแพงดังนั้นเวลาแห่งการพยายามที่พวกมันจะใช้ปีนป่ายกำแพงเกือบจะเท่ากับเป็นศูนย์
‘หากมดพวกนี้ปีนกำแพงข้ามผ่านได้สำเร็จทุกอย่างก็จะจบสิ้น! ราชันย์ของข้าจะต้องเป็นฝ่ายชนะ!’
ทิโมธีมองดูสถานการณ์ด้านล่างพลางกำมือแน่น
สถานการณ์สงครามในตอนนี้คือมดจำนวน 300 ตัวที่เกือบจะเข้ายึดกำแพงปราสาทของลาพิวต้าได้สำเร็จ หากพวกมดปีนผ่านกำแพงปราสาทมาได้อย่างปลอดภัย ชัยชนะก็จะตกเป็นของคิมูระ แม้ทหารจะได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีเพียงใดก็ไม่มีทางที่ทหารเพียง 100 นายจะสามารถกำจัดมดทั้ง 300 ตัวไปได้ แม้พวกมดจะตัวเล็กกว่าแต่ก็แข็งแรงอย่างมาก มันสามารถรับน้ำหนักได้มากกว่าตัวเองถึง 20 เท่า
ทว่า… อีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้พวกมดที่ต้องการข้ามผ่านและทำลายปราสาทจะต้องได้รับกับความอัปยศอดสูที่พวกมันไม่เคยคาดคิดมาก่อน
“เตรียม!”
เจมส์ออกคำสั่ง จากนั้นทหารของลาพิวต้าก็เริ่มเคลื่อนไหวด้วยท่าทางที่น่าสงสัย
สิ่งที่ทหารถืออยู่ในมือไม่ใช่ดาบ หอก ธนูหรือปืนคาบศิลาแต่อย่างใด พวกเขากำลังแบกถังที่เต็มไปด้วยของเหลวบางอย่างแทน
ของเหลวในถังได้ปล่อยไอน้ำชื้นขึ้นอากาศราวกับว่ามันกำลังเริ่มเดือดได้ที่เมื่อไม่นานมานี้
“น้ำร้อนอย่างงั้นรึ? มดสามารถต่อกรกับน้ำร้อนได้…”
ทิโมธีเอียงศีรษะขณะพึมพำด้วยความสงสัย ลูเซียก้าวไปอยู่ข้าง ๆ แล้วส่ายหัว
“ไม่ใช่”
“งั้นรึ?”
“จริงอยู่ที่มันเป็นน้ำร้อนแต่ไม่มีทางที่เราจะเอาชนะมดได้ด้วยน้ำธรรมดา”
“ถ้าเช่นนั้น…มันคือสิ่งใด?”
“น้ำผสมมินท์”
ใบหน้าของทิโมธีแข็งทื่อ
“พวกมดไม่ชอบกลิ่นมินท์ มดพวกนี้เองก็เช่นกัน แน่นอนว่ามดพวกนี้อาจจะมีความอดทนที่มากกว่ามดทั่วไปแต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่สิ่งที่มดจะสามารถทนทานได้ พวกข้าได้ใส่ความเข้มข้นสูงเป็นพิเศษดังนั้นมันจะมีประสิทธิภาพอย่างมาก เจ้าจงรอดูเถิด”
ลูเซียชี้ไปที่กำแพงปราสาทที่เริ่มมีการต่อสู้เกิดขึ้น
“กินนี่ซะสิ!”
“ดื่มชามินท์ร้อน ๆ นี่ซะ!”
“กล้าคลานมายังดินแดนคนอื่นเช่นนี้ได้อย่างไร!”
ทหารของคังชอลอินตะโกนลั่นพร้อมเทน้ำผสมมินท์ไปยังมดที่กำลังปีนไต่กำแพง
เมื่อน้ำมินท์ประมาณหนึ่งร้อยถังถูกเทลงไปจนหมดสิ้น กลิ่นมินท์ที่รุนแรงก็กระจายตัวไปทั่วสนามรบ มันมีความเข้มข้นอย่างมากจนน่าปวดหัว แม้แต่ทิโมธีที่เฝ้าดูการต่อสู้จากหอสังเกตการณ์ด้านบนก็ยังรู้สึกได้ว่าจมูกของเขากำลังกลายเป็นอัมพาตช้า ๆ
ปฏิกิริยาตอบรับเกิดขึ้นในทันใด
กลุ่มมดที่กำลังไต่กำแพงขึ้นมาด้วยความเร็วที่เป็นอันตรายไม่สามารถใช้พลังของตัวเองได้และในที่สุดก็เริ่มร่วงหล่นจากกำแพงไปทีละตัว นอกจากนี้ยังมีบางตัวที่เกิดภาวะช็อคและชักกระตุกท่ามกลางหมู่มดที่ร่วงหล่น
“นี่มัน…เป็นไปได้อย่างไรกัน…!”
ทิโมธีพูดพึมพำและไม่อาจเชื่อในสายตาตัวเองได้
“นั่นเพราะ… การใช้กลยุทธ์ง่าย ๆ ยังไงล่ะ… มันเรียบง่ายมากจนเจ้าคาดไม่ถึงแต่ก็เป็นความคิดที่เฉลียวฉลาดอย่างมาก เราได้ใช้มินท์ทั้งหมดในคลังของเราแล้ว ดังนั้น …”
ลูเซียยิ้มแย้มด้วยความแจ่มใส
“ทิโมธี ก่อนหน้านี้เจ้าพูดว่าราชันย์ข้าจะไม่มีทางชนะในศึกครั้งนี้ใช่หรือไม่? ก่อนหน้านี้องค์ราชันย์ของเราได้จัดเตรียมกองทัพเพื่อหาทางแก้ปัญหาและพร้อมต่อกรกับทหารจากดินแดนเจ้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การต่อสู้ในครั้งนี้จะจบลงด้วยชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของลาพิวต้า”
“แต่…!”
“แน่นอนว่าน้ำที่ผสมกับมินท์เท่านี้คงยังไม่เพียงพอให้เราชนะได้ แต่ว่า!”
ทิโมธีที่เตรียมท่าจะประท้วงแต่ลูเซียก็ส่ายหน้าราวกับกำลังจะบอกเขาว่านั่นยังไม่ใช่จุดจบทั้งหมด
“เจ้าคิดว่าเราจะเตรียมการไว้แค่เท่านี้งั้นรึ? องค์ราชันย์ของข้ายิ่งใหญ่เกินกว่าที่เจ้าจะนึกเชื่อได้! จงสังเกตด้วยสายตาที่เบิกกว้างของเจ้าซะ จงมองดูความยิ่งใหญ่ขององค์ราชันย์ว่าท่านยอดเยี่ยมมากเพียงใด!”
ลูเซียพูดอย่างภาคภูมิใจทว่าคังชอลอินกลับเอามือปิดหน้าตัวเองด้วยความอับอาย
‘บ้าเอ้ย ทำไมนางถึงชอบทำอะไรให้กลายเป็นเรื่องยุ่งยากและยิ่งใหญ่ไปซะหมด จะต้องใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความอับอายอีกมากแบบนี้ต่อไปอย่างไรกัน?’
คังชอลอินคิดในใจด้วยความเบื่อหน่าย
มดเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังแต่ราชันย์ส่วนใหญ่จะรู้ดีว่าพวกเขามีจุดอ่อนที่ชัดเจนอย่างไร แน่นอนว่ายังมีอีกหลายคนที่สามารถคิดใช้วิธีนี้ได้เมื่อต้องตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน
และเมื่อสิ่งนี้ยังคงดำเนินต่อไป ทิศทางของสงครามก็เริ่มหันมาเข้าข้างลาพิวต้ามากยิ่งขึ้น
“เอ้า! เจ้าพวกมด! ลองปีนกลับขึ้นไปอีกสิ!”
“ชามินท์มีรสชาติอย่างไรบ้าง? ถูกใจพวกเจ้าหรือไม่?”
“มา! จงก้าวเข้ามาให้หมด! ข้าจะจัดการพวกเจ้าไม่ให้เหลือแม้แต่ตัวเดียว!”
เมื่อกองทัพมดเริ่มพังทลาย ทหารของลาพิวต้าที่อะดรีนาลีนกำลังพลุ่งล่านก็ได้แสดงให้เห็นถึงทักษะยอดเยี่ยมในการปกป้องปราสาท
ตู้ม! ตู้ม!
ทหารปืนคาบศิลาลั่นไก
วู้ช!
และทหารที่ใช้หอกยาวก็ขว้างอาวุธของตัวเองลงไปที่ด้านล่างของกำแพงปราสาท
“อ่า! อ่า!”
“แอ๊ะ!”
เหล่ามดพากันส่งเสียงร้องตะโกน
มดที่สูญเสียพลังงานจากกลิ่นมินท์ร่วงหล่นจากปราสาทเหมือนใบไม้แห้ง
“นี่… นี่มัน!”
คิมูระมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมบดฟันกรอด
“เห้ย! ไอ้พวกโง่! รีบปีนกำแพงขึ้นไปกันสิวะ! รีบ ๆ ไปจัดการมัน! ไม่ได้ยินที่ข้าสั่งหรืออย่างไร!”
คิมูระตะโกนจนสุดพลังปอด เขาต้องการให้กองทัพมดเคลื่อนไหวโดยไม่สนใจเลยว่าพวกมดจะตายหรือไม่
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่สามารถทำได้ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้
ไม่ว่าคิมูระจะตะโกน สบถและคำรามมากเพียงใด กำแพงปราสาทของลาพิวต้าก็ยังมั่นคง
และเมื่อเวลาผ่านไปก็มีแค่เพียงมดจำนวนมากเท่านั้นที่กำลังเฝ้ารอความตายอยู่ฝ่ายเดียว
“ออกไป! ออกไปจัดการฆ่าพวกมันให้หมด!”
ในที่สุดคิมูระก็ตัดสินใจใช้ตะขาบยักษ์ที่คิดว่ามันอาจช่วยเขาพลิกสถานการณ์นี้ได้
ชู่!
สี่ตะขาบยักษ์ที่ยืนอยู่ข้างกายพุ่งตัวไปที่กำแพงปราสาททันทีเมื่อได้รับคำสั่งจากคิมูระ
“มันมาแล้ว!”
“เข้ามาได้เลย! พวกตะขาบที่น่ารังเกียจ!”
“ฆ่าพวกมันให้หมด!”
ตะขาบยักษ์มีความยาวเกือบ 10 เมตรและมีพลังมากพอที่จะขบเคี้ยวออร์คได้ถึงสองตัว แต่ทหารของคังชอลอินกลับตะโกนโดยไร้ซึ่งความกลัวใด ๆ พวกเขายิงปืนเพื่อเริ่มต้นสัญญาณการปะทะครั้งใหม่
เป็นเพราะความมั่นใจในชัยชนะที่ได้ปกป้องพวกเขาออกจากความกลัว
และมันก็จะเป็นเช่นนั้น
ขณะที่ตะขาบยักษ์ทั้งสี่ตัวกำลังมุ่งหน้ามายังกำแพงของปราสาท คังชอลอินก็หยิบโทรโข่งขึ้นมาอีกครั้งแล้วพูดว่า
“นี่ เจ้าลิง”
หลังจากคำว่า “ยุ่น” คราวนี้เขาเลือกใช้ “ลิง” มาเรียกแทนคิมูระ
“นี่จะเป็นการเตือนครั้งสุดท้าย ยอมจำนนซะหากเจ้าไม่ต้องการได้รับบทเรียนอันโหดร้ายที่ต้องฝังใจเจ้าไปตลอดชีวิต”
มันคือการเตือนด้วยความเมตตาเป็นครั้งสุดท้าย แต่คิมูระก็เลือกที่จะปฏิเสธข้อเสนอของคังชอลอินด้วยความดื้อด้านและความทะนงตน
“จองหองนักไอ้แมลงโชซอน! เจ้าต่างหากที่ต้องยอมจำนน! จงพูดอะไรที่สมเหตุสมผลเสียบ้าง!”
คิมูระมาไกลเกินกว่าจะยอมแพ้และเตรียมที่จะส่งกองกำลังเข้าไปเพิ่มเติมโดยใช้ตะขาบยักษ์ที่มาเข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้ เขาไม่มีความตั้งใจที่จะยอมแพ้มาตั้งแต่ต้น แต่เขากลับไม่รู้ตัวเลยว่าในขณะนี้ไม่มีสิ่งใดที่เขาจะสามารถทำได้สำเร็จ
“พวกเจ้าจงออกไปร่วมสู้ซะ! ไปลากตัวไอ้สารเลวที่หยิ่งยโสนั่นมาให้ข้าให้ได้!”
ในที่สุดคิมูระก็ส่งกองทหารที่เหลืออีก 50 นายที่คอยปกป้องเขาออกไป มันแสดงให้เห็นว่าเขาตั้งใจที่จะจับตัวคังชอลอินมาสำเร็จโทษ
และการตัดสินใจนั้นได้ทำหน้าที่เป็นสัญญาณสำหรับการล่มสลายของคิมูระโดยที่เขาไม่รู้ตัว
คังชอลอินส่งเสียงเรียกเจมส์
“ขอรับ องค์ราชันย์!”
เจมส์ผู้ซึ่งเป็นคนนำทัพครั้งนี้ในฐานะผู้บัญชาการตอบรับคังชอลอินเสียงดังลั่น
“จงมอบบทเรียนให้กับเขาซะ”
“ขอรับ! ข้าจะแสดงสิ่งที่พวกเรามีให้พวกนั้นได้รับรู้! พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่หรือไม่! องค์ราชันย์ท่านสั่งให้เรามอบบทเรียนแก่เจ้าพวกนั้น!”
เมื่อเจมส์ทวนคำสั่งซ้ำจากคังชอลอินเสร็จ ทหารลาพิวต้าทุกนายก็หันมาจับอาวุธลับที่เตรียมไว้
“จงแสดงสิ่งที่พวกเรามีให้พวกนั้นได้รับรู้!”
“มาทำให้พวกนั้นต้องมอดไหม้มลายไปซะ!”
ในมือของทหารคือถังน้ำที่เต็มไปด้วยมินท์ผสมอยู่หากแต่มีบางอย่างที่แตกต่างไปจากครั้งก่อน
“โจมตีด้วยมินท์อีกครั้ง…!”
“ไม่ใช่”
ลูเซียแทรกขัดความคิดของทิโมธี
“ถ้าอย่างนั้น …”
“มันคือน้ำมัน ที่มีอัตราการเผาไหม้ที่สูงมาก”
ทิโมธีตระหนักถึงผลลัพธ์ของการต่อสู้ในครั้งนี้ได้แล้ว
การโจมตีด้วยไฟ
ไม่ว่าจะเป็นมดหรือตะขาบยักษ์แต่ทั้งสองต่างก็เป็นแมลง ใคร ๆ ก็รู้ว่าจุดอ่อนของแมลงก็คือไฟ พลังหลักของดินแดนเบอร์โรลจะอ่อนแอทันทีเมื่อโดนโจมตีด้วยไฟ และถ้าพวกเขากำลังไต่อยู่บนกำแพงปราสาทเหมือนดั่งในตอนนี้ … เห็นได้ชัดว่าไฟจะลุกลามได้อย่างรวดเร็วและประสิทธิผลของกำลังไฟก็จะเพิ่มมากยิ่งขึ้น
“ท่านโชกุน!”
ทิโมธีเรียกร้องหาราชันย์ของตัวเองด้วยความเศร้าโศกก่อนจะล้มพับลงไปอย่างหมดซึ่งหนทาง
ในขณะนั้น ทหารของลาพิวต้าก็กำลังยุ่งอยู่กับถังที่เต็มไปด้วยน้ำมัน
“จุดไฟได้!”
เจมส์ออกคำสั่ง ทหารทุกนายคว้าคบเพลิงที่แขวนอยู่บนกำแพงปราสาทแล้วโยนใส่ไปที่กองทัพของเบอร์โรล
วู้ช วู้ช
เปลวไฟลุกลามในทันใด
“อ่า!”
“ช่วย ช่วยด้วย!”
มดที่ถูกไฟลุกลามอย่างไม่คาดคิดเริ่มกรีดร้องขณะที่พวกมันถูกไฟเผาไหม้
กี๊ก!
แม้จะเป็นถึงตะขาบยักษ์ก็ไม่มีข้อยกเว้น ใครก็ตามที่ได้ดูดซับน้ำมันนี้ไปเป็นจำนวนมากล้วนแต่ถูกไฟลุกลามไปทั่วทั้งตัว
การต่อสู้ด้วยไฟเริ่มมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะพวกมันทั้งหมดรวมกันอยู่ใต้กำแพงปราสาทจึงทำให้กองไฟลุกลามได้อย่างรวดเร็ว และก่อนที่คิมูระจะสั่งให้กองกำลังของเขาล่าถอย กองไฟนี้ก็ได้เผาไหม้กองทัพของเขาไปมากกว่าครึ่งเสียแล้ว
คิมูระไม่สามารถซ่อนความหวาดกลัวที่เผยอยู่บนใบหน้าได้อีกต่อไปเมื่อเขาได้เห็นกองกำลังของตัวเองกำลังถูกเผาย่างสด เขามีความมั่นใจอย่างมาก…และผลลัพธ์ที่ได้รับกลับมาคือความพ่ายแพ้อย่างโหดเหี้ยมที่หมายถึงการทำลายล้างที่สมบูรณ์
‘ต้องรีบหนี!’
คิมูระที่ตระหนักได้ว่าเขากำลังสูญเสียในที่สุดก็ยอมรับความจริงและตัดสินใจหนีจากไปเพื่อช่วยชีวิตที่โง่เขลาของตัวเองให้ยังมีชีวิตรอด หากเขาถูกจับตัวได้เมื่อไหร่ ความสยองขวัญและสัมผัสที่น่ากลัวจะต้องเกิดขึ้นกับเขาอย่าไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
“ว วิ่งเร็ว! รีบพาข้าหนีไปซะ! รีบไปได้แล้ว!”
คิมูระส่งเสียงให้คางคกเปลวเพลิงเคลื่อนตัว
แต่คังชอลอินไม่ได้โง่พอที่จะยอมปล่อยให้คิมูระจากไปได้อย่างง่ายดายเช่นนั้น
กุ กรับ กุ กรับ กุ กรับ
ทหารม้าสิบนายปรากฏตัวจากที่ใดสักแห่งและมุ่งหน้าเพื่อประชิดตัวคิมูระ
“หยุด! เจ้าจะไปไหน?!”
“องค์ราชันย์ของข้ากำลังรอเจ้าอยู่ไม่รู้รึ?!”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ !”
“เจ้าจะวิ่งไปไหน! เมื่อไหร่ที่เจ้าถูกจับตัวได้เจ้าตายแน่!”
ทหารกลุ่มนี้ถูกสั่งการผ่านคังชอลอินไว้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าให้มาตามจับตัวคิมูระ พวกเขาเฝ้ารออย่างเงียบ ๆ เพื่อดูสถานการณ์แล้วจึงมาปรากฏตัวเมื่อพวกเขามองเห็นโอกาสที่จะจับตัวคิมูระได้
“จ โจมตี!”
คิมูระสั่งการคางคกเปลวเพลิง เพราะก่อนหน้านี้เขาได้เทกองกำลังทางทหารของเขาไปกับการต่อสู้จนหมดแล้วจึงทำให้ตอนนี้เขาเหลือแค่เพียงคางคกที่จะสามารถปกป้องเขาได้
คางคกอ้าปากแล้วปล่อยเปลวไฟอันใหญ่โต
“ไฟ!”
“กระจายตัว!”
ทหารม้าไม่ได้ยืนมองดูเพื่อรอความตายอยู่เฉย ๆ
“คางคกเปลวเพลิงมีพลังการยิงที่ค่อนข้างแรงหากแต่ระยะทางในการพ่นไฟนั้นแสนสั้นและยังมีการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างช้า เจ้าจะสามารถเอาชนะมันได้อย่างง่ายดายหากเจ้ากระจายตัวออกห่างจากกัน”
กองทหารม้าได้รับทราบถึงลักษณะของคางคกเปลวเพลิงจากคังชอลอินมาก่อน
กุ กรับ กุ กรับ กุ กรับ
ทหารม้าที่กระจายตัวออกตามคำสั่งสามารถหลีกเลี่ยงเปลวไฟของคางคกและซ่อนตัวตามจุดบอดจากการโจมตีของคิมูระได้สำเร็จ
ฮึ้บ!
ทหารม้าสองนายได้โยนบ่วงไปติดไว้ที่ตัวคางคก
“อ่า!”
บ่วงที่ทำให้คางคกเสียหลักทำให้คิมูระพลอยโดนแรงกระแทกตามจนต้องล้มลงไปกับพื้นด้วยความตะลึงงัน
“ไป ไปให้พ้น!”
คิมูระที่ตอนนี้ต้องอยู่เพียงลำพังกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวแต่ทหารของคังชอลอินไร้ซึ่งความเมตตาใด ๆ
“ปล่อย ปล่อยข้า! อ๊ากก!”
คิมูระกรีดร้อง คอของเขาติดอยู่ที่กับดักโดยทหารนายหนึ่งที่ชื่อโพดอลส์กี้ เขาจับคิมูระมาได้และกำลังหัวเราะคำรามด้วยความดีใจ
“เสร็จข้าล่ะ ไอ้แมลงตัวจ้อย!”
.
.