บทที่ 147 การมาถึงของเหล่าผู้คนจากต่างแดน[รีไรท์]
ไม่ใช่เพียงแค่เสี่ยวเยว่เฟิงเท่านั้นที่สงสัย แม้แต่โม่หยูถังเองก็อยากรู้อยากเห็นมาก
สิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจก็คือทำไมเจดีย์เชื่อมเก้าสวรรค์ของมี่ตั้วตั้วถึงมีความสามารถแบบนี้ ในช่วงเวลาที่สร้างเจดีย์นี้ขึ้นมาพวกเขาเองต่างก็เฝ้าดูแทบจะทุกขั้นตอน แต่พวกเขาไม่เห็นว่าจะมีขั้นตอนไหนหรือมีวัสดุอะไรที่มันจะส่งผลให้เจดีย์นี้มีความสามารถเชื่อมโยงไปหาเผ่าอสูรทมิฬได้เลย
หลิงตู้ฉิงพูดขึ้นว่า “ถึงแม้จะดูเหมือนว่าข้าเป็นคนสร้างมันขึ้นมา แต่อันที่จริงข้าเป็นเพียงแค่ผู้ที่ขึ้นรูปให้กับสมบัติชิ้นนี้เท่านั้น ส่วนที่สำคัญที่สุดที่ทำให้มันมีความสามารถเช่นนี้นั้นมาจากเจตจำนงในการบ่มเพาะของมี่ตั้วตั้วและเหรียญทองของตระกูลมี่ที่ใช้ในการหลอมรวมเข้ากับมันมากกว่า”
“เหตุผลที่มี่ตั้วตั้วชอบทำการค้าหาเงินเข้าตระกูลนั่นก็เพราะเขาต้องการใช้เงินเหล่านั้นสร้างรากฐานความแข็งแกร่งและความปลอดภัยให้กับตระกูล และเมื่อเจตจำนงเช่นนี้มาหลอมรวมเข้ากับเหรียญทองนับร้อยล้านเหรียญที่ผ่านมือผู้คนหรือสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ มานับไม่ถ้วน ด้วยอาจจะเป็นความบังเอิญของโชคชะตาทำให้เขาได้ผูกพันธะสัญญากับเผ่าอสูรทมิฬโดยบังเอิญ”
“มันเป็นพันธะสัญญาที่ทั้งคู่ต่างได้ประโยชน์ในสิ่งที่ตัวเองต้องการที่สุดเหมือนกัน ฝั่งหนึ่งต้องการใช้เงินสร้างอำนาจให้ตนเอง ส่วนอีกฝั่งหนึ่งใช้อำนาจความแข็งแกร่งของตัวเองเพื่อสร้างเงินขึ้นมา”
โม่หยูถังและเสี่ยวเยว่เฟิงหลังจากฟังคำอธิบายของหลิงตู้ฉิงพวกเขาก็เข้าใจมากขึ้น
เสี่ยวเยว่เฟิงถามอย่างสงสัย “ถ้ามีคนลอกขั้นตอนของนายท่านในการสร้างเจดีย์เชื่อมเก้าสวรรค์ พวกเขาจะสามารถทำให้ความสามารถของมันคล้ายคลึงกับของมี่ตั้วตั้วได้หรือไม่?”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “ก็ไม่แน่ เอาล่ะ พวกเจ้าแยกย้ายกันไปก่อน ตอนนี้ข้าต้องการเวลาพักผ่อน”
โม่หยูถัง เสี่ยวเยว่เฟิงและมี่ไลพยักหน้า จากนั้นก็แยกย้ายกันไปยังห้องของตนเอง
ในวันรุ่งขึ้น เมื่อมี่ไลเห็นรายการวัตถุดิบยาวเหยียดมากมายและชื่อรายการส่วนใหญ่นั้นนางเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร นางก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ
“เอาไปให้พ่อของเจ้าดู และให้เขาติดต่อกับเผ่าอสูรทมิฬเพื่อให้พวกนั้นช่วยเขาหารายการวัตถุดิบตามที่ข้าเขียนไว้” หลิงตู้ฉิงพูดกับมี่ไล
มี่ไลพยักหน้า “ข้าจะรีบไปรายงานท่านพ่อข้าเดี๋ยวนี้!”
หลังจากที่มี่ไลจากไป หลิงตู้ฉิงก็เผยรอยยิ้มที่ดูมีความสุขมากออกมา
สำหรับในมุมมองของมี่ตั้วตั้ว ตอนนี้เจดีย์เชื่อมเก้าสวรรค์เป็นช่องทางที่ใช้ว่าจ้างตัวตนอันแข็งแกร่งมาปกป้องตระกูลตนเอง แต่สำหรับเขาแล้วมันเป็นช่องทางที่เขาจะได้รับวัสดุระดับสูงที่ไม่สามารถหาได้ในทวีปนี้
โลกนี้กว้างใหญ่มากและตอนนี้เขาสามารถใช้ประโยชน์จากเจดีย์เชื่อมเก้าสวรรค์ตามหาสิ่งที่เขาต้องการได้
หลิงตู้ฉิงพึมพำกับตัวเอง “ถ้าไม่ใช่เพราะตาแก่นั่นยังเคืองข้าอยู่ล่ะก็ ข้าคงสร้างเจดีย์เชื่อมเก้าสวรรค์ของตัวเองอีกสักอัน เพื่อออกไปหาวัตถุดิบเหล่านั้นด้วยตัวเองไปแล้ว ตอนนี้ดูเหมือนว่าข้าคงจะทำได้แค่รอให้ฟ่างหัวสามารถเปิดใช้งานพรสวรรค์ของตัวนางได้อย่างใจนึกเสียก่อน”
ในขณะที่บรรยากาศของศาลาศักดิ์สิทธิ์และคฤหาสน์สราญรมย์ยังคงเงียบสงบ
แต่ตอนนี้สถานการณ์ในเมืองหลวงเริ่มวุ่นวายขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
สืบเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อวานที่ผ่านมา ที่มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดารา 6 คนเสียชีวิตลงอย่างกะทันหันและด้วยการกำเนิดใหม่ของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราขึ้นอีกหลายคนจากโอสถกำเนิดรากฐาน บรรดาตระกูลขั้วอำนาจใหม่จึงต้องการกำจัดบรรดาขั้วอำนาจเก่าที่เริ่มอ่อนแอลงทิ้งทันที ผลก็คือความวุ่นวายและการนองเลือดของตระกูลต่าง ๆ ที่กำลังแก่งแย่งชิงอำนาจผลประโยชน์กันอย่างบ้าคลั่ง
ตอนนี้จึงสามารถพบเห็นการต่อสู้แทบจะทุกที่ในอาณาเขตเมืองหลวง
เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้คิ้วของเหลียงซานขมวดเข้าหากันจนแทบจะต่อกันได้
“พวกเจ้าเห็นมันชัดเจนแล้วใช่ไหมว่าไอ้ตัวที่มี่ตั้วตั้วเรียกออกมามันไม่ใช่คน แต่มันเป็นสัตว์ประหลาดมีเกล็ดสีดำและมันยังมีจะงอยปากที่เหมือนนก?” เหลียงซานถามผู้เชี่ยวชาญที่เขาได้ส่งไปสังเกตการณ์ที่คฤหาสน์ตระกูลมี่เมื่อวาน
เดิมทีเขาคิดว่าครั้งนี้จะต้องเป็นหลิงตู้ฉิงแน่นอนที่เข้ามาช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้กับตระกูลมี่ แต่เขาไม่เคยคิดว่าตระกูลมี่จะมีไม้เด็ดจัดการกับบรรดาผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดารามากมายได้ด้วยตัวคนเดียว
คนอื่น ๆ อาจไม่รู้ว่าสัตว์ประหลาดลักษณะนี้มันเป็นตัวอะไร แต่สำหรับเขาในฐานะที่เป็นคนจากสำนักยอดเขาหยกจักรพรรดิ เขารู้จักเผ่าอสูรทมิฬสงครามเป็นอย่างดี
มี่ตั้วตั้วได้รับเหรียญตราคำสั่งของเผ่าอสูรทมิฬสงครามมาจากไหน? เหลียงซานยังคงงงงวยหลังจากที่เขาคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังจากคิดสักพักเขาก็พักเรื่องของมี่ตั้วตั้วไว้ก่อน จากนั้นเขาจึงย้อนไปคิดเรื่องของตระกูลจ้าวและตระกูลหลิง รวมไปถึงหลิงตู้ฉิงที่กล้าปฏิเสธการจับคู่ของเขา
“หลิงตู้ฉิงคนนี้ถ้าไม่ใช่เพราะข้ายังไม่สามารถยืนยันตัวตนของเขาได้ ข้าคงฆ่าเขาไปนานแล้ว! ส่วนไอ้พวกตระกูลจ้าวและตระกูลหลิงตอนนี้พวกมันกล้าทำตัวปีกกล้าขาแข็งกับข้างั้นเหรอ? พวกมันทั้งสองตระกูลคิดว่าพวกมันมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะต่อสู้กับข้างั้นสินะ!” เหลียงซานพึมพำกับตัวเองด้วยอารมณ์หงุดหงิด
เมื่อครุ่นคิดอยู่สักพัก เหลียงซานจึงตัดสินใจเริ่มลงมือกับทั้งตระกูลจ้าวและตระกูลหลิงทันที
เริ่มจากตระกูลจ้าวเป็นอันดับแรก
เหลียงซานลงมือโดยการส่งคณะผู้ตรวจสอบไปยังสถาบันราชวงศ์ทันทีเพื่อกดดันการทำงานของจ้าวปาเทียนและลดทอนอำนาจของจ้าวปาเทียนในสถาบันลง หากต่อไปนี้จ้าวปาเทียนต้องการจะทำอะไรเขาต้องได้รับความเห็นชอบจากบรรดาคณะผู้ตรวจสอบที่จะต้องส่งเรื่องมายังเหลียงซานก่อนเท่านั้นจ้าวปาเทียนถึงจะสามารถทำอะไรได้
จ้าวปาเทียนเองเมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ เขาจึงอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก และยังรู้สึกโดนคุกคามเป็นอย่างมากจากหัวหน้าคณะผู้ตรวจสอบที่จ้าวปาเทียนไม่สามารถมองเห็นถึงระดับความแข็งแกร่งได้ว่าอยู่ในระดับที่เท่าไหร่ มีสิ่งเดียวที่จ้าวปาเทียนมั่นใจเกี่ยวกับหัวหน้าผู้ตรวจสอบชุดนี้ก็คือ เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้นำคณะคนนี้แน่นอน
นอกจากจ้าวปาเทียนที่โดนเล่นงานแล้ว จ้าวเทียนจุนซึ่งเป็นพ่อของจ้าวเหมิงลู่เองก็โดนเช่นกัน เขาถูกเหลียงซานเรียกให้ไปเข้าพบและถูกกล่าวหาโดยไม่มีมูลเหตุและที่มาที่ไปว่าบกพร่องต่อหน้าที่ เขาถูกเหลียงซานลงโทษโดยการหักเบี้ยเลี้ยงเป็นจำนวน 6 เดือนติดต่อกัน
ต่อมาคือตระกูลหลิง
ทางด้านหลิงเจิ้งสงเองนั้น เหลียงซานลงมือกับเขาโดยการย้ายแม่ทัพที่ปรึกษาคนสนิทออกไปให้เข้ามาช่วยราชการในวังแทน และจากนั้นเหลียงซานจึงส่งคนของตัวเองเข้าไปทำหน้าที่แทน
ส่วนหลิงเล่อชานเองนั้นก็ไม่รอดเช่นกัน เหลียงซานได้เรียกเขาเข้าไปกล่าวหาและออกบทลงโทษคล้ายกับจ้าวเทียนจุน แต่ในกรณีของหลิงเล่อชานนั้นหนักกว่าตรงที่บทลงโทษของเขานั้นถึงกระทั่งถูกปลดจากตำแหน่ง
เมื่อเผชิญกับบทลงโทษเช่นนี้หลิงเล่อชานรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก และยิ่งเมื่อเขารู้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้ต้นเหตุมันเกิดขึ้นมาจากหลิงตู้ฉิง
หลิงเล่อชานจึงเข้าไปพูดคุยกับหลิงเจิ้งสงและขอร้องให้พ่อของเขา บอกกับหลิงตู้ฉิงให้ยอมแต่งงานกับหลานสาวของจักรพรรดิ
แต่หลิงเจิ้งสงเองนั้นเมื่อหลิงเล่อชานขอเข้าพบและอ้อนวอนให้เขาโน้มน้าวหลิงตู้ฉิง หลิงเจิ้งสงก็เพียงทำตัวเอาหูทวนลมและไล่ให้หลิงเล่อชานออกไปจากห้องทำงานของเขา
เมื่อเผชิญหน้ากับการถูกกดดันต่าง ๆ หลิงเจิ้งสงจึงตอบโต้จักรพรรดิเหลียงซานโดยการไม่ทำหน้าที่ทางราชการอะไรเลยสักอย่าง ทุกวันเขาจะไปที่ศาลาศักดิ์สิทธิ์เพื่อเข้าฟังชั้นเรียนอยู่จนบ่าย จากนั้นเขาก็กลับมาที่คฤหาสน์ตนเองเพื่อนั่งจิบชา เลี้ยงนก ปลูกต้นไม้ ให้อาหารปลาในช่วงเวลาที่เหลือของวัน
ในสายตาของคนนอก การกระทำของหลิงเจิ้งสงนั้นดูเหมือนว่าเขาจะยอมรับบทลงโทษของจักรพรรดิแต่โดยดี
ส่วนหลิงเล่อชานนั้นยังคงรู้สึกโกรธและสลดใจเป็นอย่างมาก เขาไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นเขาที่โดนร่างแหกับการกระทำของหลิงตู้ฉิงไปด้วย
นอกเหนือจากการลงมือกับตระกูลจ้าวและตระกูลหลิงแล้ว เหลียงซานได้ประกาศกฎให้ทั่วทั้งบริเวณเมืองหลวงเป็นเขตห้ามการต่อสู้ทุกรูปแบบ เพื่อยับยั้งความวุ่นวายจากการต่อสู้ของบรรดาเหล่าตระกูลเก่าและใหม่ที่กำลังพยายามแก่งแย่งผลประโยชน์กันอยู่
หลังจากประกาศกฎออกมา เหลียงซานจึงส่งบรรดาผู้เชี่ยวชาญของเขาเองรวมถึงบรรดาราชองครักษ์ในวังเข้าปราบปรามพวกที่ไม่เชื่อฟังอย่างรุนแรง
ส่งผลให้ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราที่แข็งขืนถูกสังหารไปอีก 7 คน หลังจากนั้นสถานการณ์ภายในเมืองก็เข้าสู่สภาวะปกติ
จากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ผู้คนทั้งเมืองจึงเหมือนถูกย้ำเตือนว่าความแข็งแกร่งของราชวงศ์นั้นเป็นของจริง และคำประกาศของจักรพรรดิไม่ใช่สิ่งที่สามารถเอามาล้อเล่นไม่เชื่อฟังได้
เหตุการณ์ที่สงบลงเช่นนี้จึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เหลืออีกเพียง 10 วันจะถึงวันงานเปิดประมูลโอสถของตระกูลมี่
เช้าวันรุ่งขึ้นที่เงียบสงบของเมืองหลวง จู่ ๆ ความสงบนี้กลับถูกรบกวนโดนการปรากฎของวัตถุขนาดใหญ่ที่บินอยู่บนท้องฟ้าและกำลังเคลื่อนใกล้เข้าไปยังทิศทางที่พระราชวังของอาณาจักรจันทราตั้งอยู่
วัตถุขนาดใหญ่เท่ากับ 1 สนามฟุตบอลที่บินได้นี้มันคือ ‘เรือเหาะ’
เมื่อเรือเหาะลำนี้บินเข้ามาในบริเวณเมืองและมาถึงที่หน้าพระราชวัง ร่างเงาของคนกว่าโหลจึงได้กระโดดออกมาจากเรือเหาะที่ลอยอยู่ กลุ่มคนเหล่านั้นบินร่อนลงยังด้านหน้าของพระราชวังจันทรา
ชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มคนที่กระโดดลงมาจากเรือเหาะพูดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มก่อนขึ้นเป็นคนแรก “ข้า จิ๋วจียง องค์ชายรัชทายาทแห่งอาณาจักรเพลิงพิสุทธิ์ วันนี้ที่มาเยือนเพื่อขอเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิแห่งอาณาจักรจันทรา”
“ข้าองค์ชายรัชทายาทของจักรพรรดิแห่งอาณาจักรจันทรา เหลียงเย่ ขอต้อนรับการมาเยือนของท่านในนามของท่านพ่อข้า” เหลียงเย่ กล่าวทักทายตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เมื่อทั้งคู่แนะนำตัวกันเสร็จ พวกเขาทั้งคู่ต่างพากันเดินเข้าไปในพระราชวัง
ระหว่างที่เดินไปเหลียงเย่ได้กล่าวถามขึ้นว่า “รัชทายาทจิ๋ว ข้ามีความสงสัยว่าเหตุใดท่านถึงดั้นด้นมาที่นี่โดยไม่ส่งข่าวมาล่วงหน้าก่อน หากท่านส่งข่าวมาล่วงหน้าท่านพ่อของข้าคงจะจัดเตรียมขบวนรอรับการมาของท่านให้สมเกียรติกว่านี้”
จิ๋วจียงหัวเราะและพูดขึ้นว่า “ข้าไม่เชื่อหรอกว่ารัชทายาทเหลียงจะไม่รู้ถึงเหตุผลที่ข้ามาเยือนนั่นเพราะเหตุใด หลังจากที่ข้าได้ยินข่าวเรื่องของโอสถนั่นข้าก็รีบมาที่นี่ทันที ครั้งนี้ข้าคงต้องขอรบกวนให้ท่านช่วยให้ข้อมูลกับข้าเพิ่มสักหน่อยเกี่ยวกับโอสถนั่น”
“ได้แน่นอน ไม่มีปัญหา” เหลียงเย่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
องค์ชายทั้งสองยิ่งคุยก็ยิ่งสนิทสนมกัน เนื่องจากด้วยความสัมพันธ์ของระหว่างทั้งสองอาณาจักรที่อยู่ห่างกันมาก พวกเขาจึงไม่เคยมีความบาดหมางใด ๆ ต่อกันมาก่อน ฉะนั้นการผูกมิตรจึงดำเนินไปอย่างราบลื่น
หลังจากการมาเยือนของรัชทายาทแห่งอาณาจักรเพลิงพิสุทธิ์ ในทุก ๆ วันที่ผ่านไปหลังจากนั้นก็มีเรือเหาะแปลก ๆ มากมายเริ่มทยอยเดินทางมาที่เมืองหลวงแห่งอาณาจักรจันทราเป็นจำนวนมาก
เรือเหาะบางลำบ้างก็มุ่งตรงสู่พระราชวังโดยตรง บ้างก็ร่อนลงในบริเวณรอบนอกอาณาเขตของเมือง
เมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ บรรดาชาวเมืองจึงรู้สึกงุนงงเป็นอย่างมาก
“พวกเจ้ารู้กันรึเปล่า ตอนนี้สำนักตะวันลับได้ส่งคนของพวกเขามาที่เมืองหลวงของเราด้วยล่ะ!”
“ข้าเองก็เห็นคนของสำนักห้าขุนเขามาที่นี่เช่นกัน”
“สำนักพวกนี้ปกติแล้วกว่าจะโผล่หน้ามาทีก็เป็นสิบปี เพื่อจะมาหาคนเข้าไปเป็นลูกศิษย์เข้าสำนักสักครั้งหนึ่ง แล้วทำไมรอบนี้ จู่ ๆ พวกเขาทั้งหมดก็มาที่นี่กันพร้อม ๆ กันซะงั้นล่ะ?”
“ก็จะเรื่องอะไรซะอีกล่ะ หากไม่ใช่เรื่องโอสถนั่นของตระกูลมี่ที่กำลังจะจัดประมูลขึ้นเร็ว ๆ นี้ไง…”
ณ ภัตตาคารจอกทองคำ ที่เมืองหลวง
ในขณะที่นักศึกษาสองคนจากสถาบันราชวงศ์กำลังนั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่างชั้นสอง จู่ ๆ ชายสองคนที่พึ่งเดินขึ้นมาถึงมองไปยังโต๊ะที่พวกเขานั่งและเดินเข้ามาหาด้วยท่าทีหยิ่งผยอง
“ที่นั่งตรงนี้มุมดีข้าต้องการมัน พวกเจ้าจงลุกออกไปให้ไวถ้าไม่อยากเจ็บตัว!” หนึ่งในชายที่พึ่งเดินเข้ามาพูดขึ้น