บทที่ 64 เด็กสาวข้างบ้านที่โตเต็มวัย
“ปีนี้มันต่างออกไป รางวัลของทัวร์นาเม้นท์ในครั้งนี้สูงที่สุดเท่าที่เคยจัดมา ถ้านายสามารถเอาชนะการแข่งได้ นายจะได้รับเงินรางวัล 5 ล้านหยวนพร้อมกับฉายาราชา ยิ่งกว่านั้น เป้าหมายหลักของเราคือการโฆษณาซึ่งจะได้รับการสนับสนุนอย่างดี พวกเขาจะเชิญดาราที่มีชื่อเสียงมาเป็นโฆษก พวกสื่อทั้งหลายต่างก็จับจ้องมาตรงนั้นกันหมด” หยานจิ้งส่งนิตยสารเล่มเล็กๆให้ซูเถา
ซูเถาเปิดอ่านนิตยสารเล่มนั้นก่อนจะอุทานออกมา “น่าตกใจจริงๆ”
หยานจิ้งตอบกลับ “เมื่อก่อน ทัวร์นาเม้นท์แพทย์แผนจีนเป็นรายการแข่งขันที่จัดขึ้นเฉพาะภายในเท่านั้น ประชาชนส่วนใหญ่เลยไม่รู้จัก แต่ปีนี้มันต่างออกไป รัฐบาลของมนฑลหัวเป่ยได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการแข่งขันนี้ จึงได้อัดฉีดเงินจำนวนมหาศาลเข้ามาเพื่อทำการโฆษณาจังหวัดของพวกเขา”
ซูเทาส่ายหัว “ยิ่งการแข่งขันเปิดกว้างเท่าไหร่ มันยากจะที่จะเอาชนะได้น่ะ”
หยานจิ้งรู้สึกว่าซูเถานั้นเป็นคนที่ค่อนข้างฉลาดเพราะเขาสามารถมองทะลุความคิดของเธอได้ “ตามที่ชั้นรู้ การแข่งขันนี่จะแข่งแบบใช้ความสามารถทั้งหมด อาจจะมีม้ามืดโผล่มาก็ได้”
ซูเถาจ้องไปยังหยานจิ้งเป็นเวลานานก่อนจะพูดขึ้น “เธอคงไม่คิดจะขายชั้นใช่มั้ย ?”
เธอยักไหล่ก่อนจะทำปากชี้ไปทางเวร่า “มีคนอื่นทำไปแล้วล่ะ”
เวร่านั่งตรงข้ามซูเถา เธอเปลี่ยนท่านั่งก่อนจะยิ้ม “บริษัทรับพนันยูโทเปียดูเหมือนจะสนใจเรื่องนี้ ชั้นเลยแนะนำนายไปน่ะ”
ซูเถารู้เบื้องหลังของเรื่องนี้ บริษัทอย่างยูโทเปียมีเส้นสายที่แข็งแกร่ง ไม่เพียงแต่พวกเขาจะคอยควบคุมการแข่งขันรอบโลกเท่านั้น พวกเขายังมีทรัพยากรในมือจำนวนมากอีกด้วย ดังนั้น พวกเขาจึงแทบจะไม่เสียอะไรเลยในการบรรลุแต่ละเป้าหมาย
ซูเถาถอนหายใจก่อนจะยิ้ม “ชั้นไม่อยากได้ตำแหน่งราชาจากการใช้เส้นสายหรอก”
เวร่าอธิบาย “พวกเราทุกคนต่างก็เชื่อในฝีมือนาย เหตุผลที่ชั้นติดต่อพวกเขาก็เพื่อเป็นหลักประกันว่านายจะได้รับความยุติธรรมในการแข่งขันเท่านั้น”
ซูเถาเข้าใจความรู้สึกของทั้งสอง พวกเธอต้องการจะบอกว่าเขาสามารถลงแข่งขันได้อย่างไร้กังวล
มันจะเป็นประโยชน์สำหรับเขามากหากเขาสามารถเอาชนะการแข่งขันนี้ได้ อย่างแรก มันจะะเป็นการตอบแทนคึวามไว้ใจของตี้ชีหยวน ไม่ว่าตี้ชีหยวนจะทำตามที่พูดเอาไว้หรือไม่ก็ตาม อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ละทิ้งความเชื่อใจของตี้ชีหยวนที่มีต่อเขา อย่างที่สอง มันจะเป็นการยกระดับตำหนักของเขาเพื่อที่จะสามารถขายสินค้าได้มากขึ้นในอนาคต และอย่างสุดท้าย เขาจะประหยัดค่าโฆษณาผลิตภัณฑ์ได้มากทีเดียว
ในขณะที่พวกเขากำลังนั่งกินอาหารที่แคนทีนของบริษัท เขานั่งร่วมโต๊ะกับผู้หญิงสามคน ซึ่งมันทำให้เขาเพลิดเพลินมากที่ได้มองเหล่าสาวงามทั้งสามพลางกินข้าวไปด้วย
“น้ำลายหกหมดแล้ว” ไคหยานจ้องไปยังซูเถา
ซูเถาไม่ได้มองจนเพลินไปซะทีเดียว เขายิ้มตอบ “พวกเธอกำลังเข้าใจชั้นผิดนะ ชั้นแค่คิดถึงปัญหาเท่านั้นเอง”
หยานจิ้งรูว่าซูเถากำลังคิดอะไรอยู่ เธอยิ้ม “หืม ? ปัญหาอะไรงั้นเหรอ ?”
ซูเถาตอบกลับ “บริษัทผลิตภัณฑ์อย่างพวกเราเนี่ย ไม่ควรจะจำกัดการแต่งตัวของพนักงานนะ ถึงแม้ว่าชุดยูนิฟอร์มของเราจะดูดีทันสมัยก็ตามแต่มันก็ไม่ได้เหมาะกับพนักงานทุกคน ชั้นเลยมีข้อเสนอว่าให้เปลี่ยนกฎตรงนี้หน่อย เราไม่จำเป็นต้องจำกัดการแต่งตัวของพนักงานมากนัก เพียงแค่พวกเขาแต่งตัวเรียบร้อยและดูดีก็พอแล้ว”
หยานจิ้งอึ้ง “วิธีคิดแบบนั้นมันล้าหลังไปหน่อยนะ สิ่งสำคัญในต้องนี้คือภาพลักษณ์ที่เป็นหนึ่งเดียวกัน รวมทั้งเครื่องแบบด้วย ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เหล่าพนักงานดูเป็นหนึ่งเดียวกับวัฒนธรรมบริษัทมากขึ้น”
ซูเถาหยิบหมูเปรี้ยวหวานเข้าปากก่อนจะปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม “ไอเดียที่ดีที่สุดในการรักษาความเป็นหนึ่งเดียวกันไม่ใช่การให้พวกเขาใส่เครื่องแบบคล้ายๆกันหรอกนะ พนักงานของเราต่างก็สวยหล่อกันอยู่แล้ว เราสามารถเพิ่มภาพลักษณ์ของเราได้หากเรายังคงความสวยงามที่สามารถถปรับตัวได้”
เวร่าพยักหน้า “ชั้นเห็นด้วยกับความคิดของซูเถา มันจะดูเหมาะกับเรามากกว่าหากทำอย่างที่เขาว่า จากความรู้และประสบการณ์ของชั้น พวกพนักงานไม่ค่อยจะมีความสุขนักกับเครื่องแบบ พวกเขาไม่ชอบวิธีการจัดการแบบนี้ซึ่งมันทำให้พวกเขาไม่สามารถแสดงความงามของตนออกมาได้เต็มที่หากยังอยู่ภายใต้เครื่องแบบ อย่างไรก็ตาม จุดประสงค์หลักของสินค้าเราคือการที่ทำให้พวกเขานั้นสวยหล่อยิ่งขึ้นไปอีก”
หยานจิ้งถอนหายใจ “ก็ได้ ในเมื่อกรรมการทั้งสองมีมติเห็นด้วย ชั้นจะเปลี่ยนกฎภายหลังก็แล้วกัน”
ซูเถารู้สึกพึงพอใจ ถึงแม้ว่าเขาจะมีตำแหน่งเป็นประธานกิตติมศักดิ์ แต่บางครั้งคำพูดของเขาก็ยังคงมีประโยชน์
หลังจากที่พวกเขากินอาหารเสร็จแล้วก็ได้กลับไปยังสำนักงานของแต่ละคน ซูเถาลงไปนอนเอนบนโซฟา ทันใดนั้นมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่ไคหยานจะเปิดเข้ามา ซูเถารู้ว่าเธอมาทำไม เขาจึงไปชงชา “นั่งก่อนสิ”
“นายรู้เหรอว่าทำไมชั้นถึงมาที่นี่ ?” ไคหยานถามขึ้น
“เอาเยอะหรือเอาน้อย” ซูเถาส่งถ้วยชาให้ไคหยาน
เธอดูเศร้าเล็กน้อยก่อนจะเริ่มพูด “ชั้นรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยจำเป็นสำหรับบริษัทนี่ หยานจิ้งทั้งฉลาดและมีความสามาร แถมการจัดการของเธอทั้งหมดนั้นละเอียดมาก เวร่าไม่ค่อยจะเคลื่อนไหวมากนัก แต่หากเธอเริ่มเคลื่อนไหวเมื่อไหร่ รับประกันได้เลยว่าเธอสามารถแก้ปัญหาได้แทบจะทุกอย่าง ตัดกลับมาที่ชั้นซึ่งยังคงเป็นแค่มือใหม่และได้แต่ดูพวกเขาเท่านั้น ในตอนที่พวกนายปรึกษาปัญหาของบริษัทกันก่อนหน้านี้ ชั้นไม่เข้าใจอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว”
ซูเถารอจนกระทั่งไคหยานพูดจบก่อนจะส่ายหน้า “อย่างแรก อย่าได้ประเมินตัวเองต่ำเกินไป เพราะว่าชั้นเข้าใจในตัวเธอ และเธอก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าทั้งสองคนที่เหลือเลย ตรงกันข้าม เธอฉลาดกว่าด้วยซ้ำ”
“อย่างที่สอง บริษัทเพิ่งจะก่อตั้งขึ้นมาเอง ยังมีอะไรอีกหลายอย่าง
ที่เรายังไม่คุ้นเคยกับมัน ในตอนนี้ ทั้งหยานจิ้งและเวร่าต่างก็ยังไม่เชื่อในตัวเธอมากนัก พวกเธอเลยยังไม่ได้ให้งานเธอ อย่างไรก็ตาม พวกเธอก็ยังมีงานของตัวเองที่ต้องทำ สิ่งที่พวกเธอให้ความสนใจในตอนนี้ก็คือการพาบริษัทไปในทิศทางที่ถูกต้อง”
“อย่างสุดท้าย ความกระตือรือร้นของชั้นไม่ได้อยู่ที่นี่ ซักวันนึงเธอจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด เธอต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน และคอยพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ออย่าได้เอาแต่โทษตัวเองเลย”
ไคหยานรู้ว่าความตั้งใจของซูเถานั้นอยู่ที่ตำหนักของเขา และบริษัทนี่ก็เหมือนกับงานรายได้เสริมของเขาเท่านั้น “ชั้นว่าการแข่งขันราชาแห่งแพทย์นี่ดูจะอันตรายนะ พวกตระกูลเนี่ยเป็นคนจัดการแข่งขันครั้งนี้ …”
ซูเถาพยักหน้า “จะได้ลูกเสือยังไงล่ะถ้าไม่เข้าถ้ำเสือ ? เธออยากจะช่วยลุงไคไม่ใช่เหรอ ? นี่อาจจะเป็นโอกาสดีก็ได้นะ”
ดวงตาของไคหยานดูสว่างไสวขึ้นมาทันทีแต่ในใจก็รู้สึกสับสนเช่นกัน เธอไม่คิดมาก่อนเลยว่าซูเถาจะลงแข่งครั้งนี้เพื่อที่จะช่วยไคซงพูด้วย
เธอพยายามห้ามใจตัวเอง ถึงแม้ว่าอยากจะช่วยเหลือพ่อ แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้มาก แต่ในตอนนี้เธอรู้แล้วว่าตัวเองนั้นไม่ได้อยู่เพียงลำพัง เธอมีซูเถาคอยอยู่ข้างๆ
“นายไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้ก็ได้ ทำแบบนี้รังแต่จะทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายเปล่าๆ”
ซูเถายักไหล่ “ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะชะตาฟ้าลิขิตทั้งนั้นแหละ ไม่งั้นชั้นจะได้มารู้จักกับเธอได้ไง ? วางใจเถอะ ชั้นวางแผนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ใครจะรู้ บางทีชั้นอาจจะช่วยลุงไคได้หลังจากจบการแข่งขันไปแล้วก็ได้ ?”
“ถ้าเขาไม่กลับมา ชั้นจะตามหานายเพื่อให้นายรักษาคำพูดที่ให้ไว้ด้วยล่ะ” ไคหยานเงยหน้าขึ้น มีน้ำตาปริ่มๆอยู่บริเวณหางตาของเธอ
ซูเถาไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบกลับ “ถ้าเขากลับมา เธอต้องมาเป็นข้ารับใช้และคอยปรนนิบัตชั้น ตกลงมั้ย ?”
ไคหยานยิ้ม “ตามนั้น !”
เมื่อเห็นว่าไคหยานเริ่มมีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้นแล้ว ซูเถาก็รู้สึกโล่งใจ ช่วงนี้ในตอนที่ไคหยานอยู่ที่ตำหนัก เธอมักจะแสดงความสามารถในการจัดการตำหนักให้เขาเห็น ถึงจะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ก็มีความสมบูรณ์ในทุกรายละเอียด ตั้งแต่การเก็บยาเข้าที่ไปจนถึงจัดการเรื่องอาหารการกินของลูกศิษย์ทั้งสามของเขา
ไคหยานจบการศึกษามาจากมหาลัยสาขาธุรกิจการจัดการ เธอเลยไม่ค่อยคุ้นเคยกับการจัดการเรื่องอื่นๆซักเท่าไหร่ เธอขาดแค่ประสบการณ์เท่านั้น ซึ่งเจตนาของซูเถาที่ได้จับเธอไปทำงานกับหยานจิ้งและเวร่าก็เพื่อให้เธอได้เรียนรู้สิ่งต่างๆจากพวกเขา ถึงแม้ว่าไคหยานจะยังอ่อนเมื่อเทียบกับทั้งสอง แต่เธอจะสามารถพัฒนาได้อย่างมีนัยยะสำคัญในอนาคต
เธอยังเป็นชิ้นส่วนสำคัญในการขยายตัวของตำหนักอีกด้วย
เมื่อเปรียบเทียบกับเวร่าและหยานจิ้ง ไคหยานก็ไม่ได้เป็นที่สะดุดตามากนัก แต่เขาสังเกตเห็นได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวเธอภายในหลายเดือนที่ผ่านมาเนื่องจากเสน่ห์ของเธอนั้นค่อยๆสุกงอมขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
หยานจิ้งกำลังถือถ้วยน้ำชาพร้อมกับใบชาสีเหลืออำพันที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วสำนักงานก่อนจะถอนหายใจและมองไปยังเวร่า “วันนี้เธอดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเลย ให้ชั้นเดา คงเป็นเพราะไคหยานงั้นสินะ ?”
เวร่ามองไปยังหยานจิ้งก่อนจะยิ้ม “ก็นะ คงไม่มีผู้หญิงที่ไหนจะมีความสุขเมื่อเห็นผู้ชายที่เธอชอบไปสนิทกับหญิงคนอื่นหรอก แต่นั่นก็นับว่าเป็นโชคดที่ชายคนที่ชั้นเล็งไว้เป็นคนที่ยอดเยี่ยม เขาจะมีผู้หญิงอยู่ข้างกายเขาแค่คนเดียวได้ยังไง ?”
หยานจิ้งตอบกลับ “ใจกว้างจังนะ ถ้าชั้นเป็นเธอคงทำใจลำบากน่าดู”
“อย่าเข้าใจชั้นผิด ถ้าชั้นเผลอไปทำอะไรไคหยานเข้าแล้วซูเถาเกิดรู้ขึ้นมา เขาจะยิ่งเว้นระยะห่างจากชั้นเข้าไปอีก” เวร่าส่ายหัว
หยานจิ้งยักไหล่ ถึงแม้ว่าเวร่านั้นจะสวยราวกับนางฟ้าก็ตาม แต่ก็อย่าได้ตัดสินคนจากภายนอก เธอไม่ใช่คนที่จะหลอกได้ง่ายๆ
หยานจิ้งยิ้มก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย “เมื่อไหร่เงินทุนสำหรับโครงการการท่องเที่ยวจะมาที่ย่านถนนเก่าล่ะ ?”
“ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ก็น่าาจะภายในอาทิตย์นี้แหละ” เวร่าตอบกลับ
“เมื่อเงินทุนเข้ามาถึง เราจะเริ่มโครงการกันทันที” หยานจิ้งกล่าว
“ชั้นเชื่อว่าการร่วมมือกันของเรามันจะต้องไปได้สวยแน่นอน” เวร่ายิ้มตอบ