บทที่ 29 แผนชั่วของตระกูลเนี่ย
ซูเถาได้เตรียมรูปแบบการฝังเข็มเอาไว้ 5 แบบ และเข็มชุดสำหรับฝึก 5 คนพร้อมด้วยกระดาษและคู่มือ “พวกเธอมีประสบการณ์ในการฝึกคลื่นพลังชีพจรแล้ว สามารถเรียนรู้การฝังเข็มได้ พวกนี้คือเทคนิคที่ชั้นใช้บ่อยซึ่งชั้นได้คัดมาให้พวกนายเพื่อใช้ในการโชว์ความสามารถในทัวร์นาเม้นท์ที่จะถึงนี้”
เติ้งหมิงขมวดคิ้ว ซึ่งเขาเห็นว่าเอกสารทั้งหมดที่ซูเถาเตรียมไว้เป็นภาพวาดทั้งหมด เขาจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย “หมอซู , ผมขอถามหน่อย เทคนิคฝังเข็มพวกนี้คุณเอามาจากไหนเหรอ ?”
ตี้หยวนก็ถามขึ้นด้วยความสงสัยเช่นกัน “คุณคงไม่ได้วาดภาพพวกนี้มาหลอกเราใช่มั้ย ?”
แม้แต่จ้าวเจี้ยนกับหวังเผิงซึ่งมีประสบการณ์ตรงมาแล้วกับเทคนิคการแพทย์ของซูเถาก็ยังอดสงสัยไม่ได้ หนังสือพวกนี้เสียหายอย่างหนัก พวกเขาไม่เคยเห็นหนังสือที่โทรมขนาดนี้มาก่ออน
เสี่ยวจิงจิงเปิดหนังสือไปหลายหน้าพลางพูดขึ้น “หนังสือนี่ครอบคลุมไปถึงอาการเจ็บป่วยทั่วไปในแพทย์แผนจีนทั้งหมด อาจารย์เขาหวังดีกับพวกเรานะ”
ซูเถายิ้ม “คนเป็นอาจารย์น่ะทำได้แค่ชี้แนวทางให้ได้เท่านั้นแหละ ส่วนจะฝึกหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับตัวพวกนายเอง !”
ทั้งเติ้งหมิงและตี้หยวนต่างก็มองหน้ากันและกันด้วยความผิดหวัง
ซูเถารู้ว่าทั้งสองคนนั่นมาที่ตำหนักเพื่อหวังจะขโมยวิชาของเขา ดังนั้น พวกเขาจึงรู้สึกไม่พอใจที่จะต้องมาฝึกเทคนิคคลื่นชีพจรแทนที่จะได้ฝึกวิชาแพทย์
ด้วยความสัตย์จริง ซูเถาปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมโดยไม่มีความลำเอียงไม่ว่าจะเป็นใคร
พลังคลื่นชีพจรนั้นเป็นพื้นฐานสำคัญในการฝังเข็ม หากไร้ซึ่งพลังคลื่นชีพจร พวกเขาก็ไม่สามารถใช้พลังฉีในการรักษาได้
ซูเถาได้อธิบายพื้นฐานของการฝังเข็มสั้นๆ ก่อนจะให้พวกเขาได้ทดลองฝังเข็มกันตลอดทั้งวัน นอกจากเสี่ยวจิงจิงแล้ว ทุกคนยังไม่มีอะไรคืบหน้าเลย
เมื่อใกล้ถึงเวลาอาหารกลางวัน เติ้งหมิงกับตี้หยวนได้ตามหาซูเถา ก่อนจะพูดกับเขาว่า “หมอซู , พวกเรามาที่นี่เพื่อเรียนทักษะการแพทย์ ไม่ได้มาทำงานจิปาฐะ ตั้งแต่พรุ่งนี้พวกเราจะไม่มาที่นี่อีกแล้ว”
ตี้หยวนกระซิบ “หมอซู , พวกเราต้องขอโทษจริงๆ อาจารย์ใหญ่ถงนั้นได้ตั้งความหวังกับเราไว้มาก ชั้นต้องกลับไปเรียนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันที่จะถึงนี้น่ะ”
ซูเถาหยักหน้าก่อนจะตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ตามสบายเลย โชคดีนะ”
เติ้งหมิงกับตี้หยวนเป็นลูกศิษย์ของถังหนานเชง และด้วยพื้นฐานของพวกเขาแล้ว ทักษะของพวกเขานั้นดีกว่าจ้าวเจี้ยนและหวังเผิง พวกเขายังคงเคารพถังหนานเชงเป็นอาจารย์อยู่ ดังนั้น พวกเขาจึงถือว่าซูเถานั้นเป็นแค่หมอซู ไม่ใช่อาจารย์ของพวกเขา
เติ้งหมิงวางพวกเอกสารต่างๆลงต่อหน้าซูเถาก่อนจะพูด “ชั้นออกจากตำหนักแล้ว ไอของพวกนี้ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป !”
ซูเถายิ้ม “พวกนายก็อยู่ที่นี่มาตั้งหลายสิบวันแล้ว จะเก็บของพวกนี้เอาไว้เป็นที่ระลึกก็ได้นะ”
เติ้งหมิงกล่าวลาเขาก่อนมองไปยังตี้หยวนและเดินอออกไป
พอเขากำลังจะเดินออกไป เติ้งหมิงได้ฉีกเอกสารพวกนั้นก่อนโยนทิ้งลงถังขยะ “แค่ของไร้สาระ !”
พอเห็นเติ้งหมิงทำกิริยาแบบนั้น ตี้หยวนถอนหายใจ “เติ้งหมิง นายทำเกินไปแล้วนะ , ศาสตราจารย์ถังต้องการให้เราได้เรียนรู้วิชาแพทย์จากซูเถา และถึงแม้ว่าเขาไม่อยากจะสอนเราก็ตาม นายก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้นี่ !”
เติ้งหมิงหัวเราะเยาะ “นี่เธอยังเข้าข้างมันอยู่อีกเหรอ ? ชั้นสงสัยว่าศาสตราจารย์ถังคงจะประเมินเขาผิดไปแล้วล่ะ !”
พอเห็นเติ้งหมิงเดินออกไปอย่างอารมณ์เสีย ตี้หยวนส่ายหัวก่อนมองไปยังป้ายของตำหนัก เธอยังคงลังเลอยู่ ถึงแม้ว่าซูเถาจะยังไม่ได้สอนวิชาการแพทย์ให้เธอ แต่ร่างกายของเธอก็ดูจะมีสภาพที่ดีขึ้นเพราะว่าได้เรียนเทคนิคคลื่นชีพจรจากเขา
เมื่อก่อน ตี้หยวนมักจะล้มป่วยทุกๆสองอาทิตย์ อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้ดูเหมือนจะไม่มีสัญญานของอาการป่วยเหล่านั้นเลย แขนขาของเธอนั้นรู้สึกเบาหวิวทุกครั้งเมื่อเธอตื่น เธอรู้ว่าเป็นเพราะการฝึกเทคนิคคลื่นชีพจร
อย่างไรก็ตาม ตี้หยวนไม่สามารถมาเสียเวลากับที่นี่ได้ ครอบครัวของเขานั้นเป็นครอบครัวแพทย์ที่มีชื่อเสียงและพ่อของเธอก็เป็นศัลยแพทย์ชื่อดัง ย้อนกลับไปเมื่อตี้หยวนได้ล้มเลิกการแพทย์ตะวันตกและเลือกแพทย์แผนจีน ซึ่งมันทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพ่อนั้นดูจะเย็นชากันมากขึ้น พ่ อของเธอได้ย้ายเธอให้มาเรียนที่วิทยาเขตหางโจวเพื่อให้เธอนั้นล้มเลิกความตั้งใจเกี่ยวกับแพทย์แผนจีน
นับว่าโชคยังดีที่เธอได้พบกับถังหนานเชงตอนที่เข้ามหาวิทยาลัยและได้กลายเป็นลูกศิษย์ของเขา ตี้หยวนเองก็รู้สึกโกรธเช่นกัน เนื่องจากเธอต้องการจะพิสูจน์ตัวเธอเองผ่านการแข่งขันครั้งนี้ซึ่งจัดโดยมหาลัยเจียงหัว
“คุณถัง , เติ้งหมิงกับตี้หยวนออกจากตำหนักแล้วนะ” ซูเถาโทรไปหาถังหนานเชง
ถังหนานเชงอึ้งก่อนจะถอนหายใจยาว “งั้นพวกเขาก็พลาดโอกาสดีไปแล้วล่ะ !”
ซูเถายิ้ม “จะว่าแบบนั้นก็ไม่เชิง , พวกเขามีทักษะและพื้นฐานที่ดีกว่าหวังเผิงและจ้าวเจี้ยน พวกเขาจะต้องทำผลงานได้ดีในการแข่งขันที่จะถึงแน่นอน”
พอเห็นว่าซูเถานั้นดูจะไม่ค่อยปลื้มเกี่ยวกับลูกศิษย์ทั้งสองของเขา ถังหนานเชงพูดต่อ “ก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้น”
ร้านขายของเก่ามรกต (ร้านของไคซงพู) ค่อยๆเริ่มปิดร้านในตอนเย็น ไคหยานชอบมายืนที่ประตูร้านและมองไปยังตำหนัก หลังจากที่ตำหนักได้รับการปรับปรุงขึ้นมาใหม่ ไคหยานก็ไม่ค่อยได้ไปที่ตำหนัก แต่ถึงอย่างนั้น ซูเถาก็ยังคงออกมาพูดคุยกับเธออยู่เสมอๆ
นี่คือชีวิตที่เรียบง่าย และเต็มไปด้วยความสุข
ทันใดนั้น ได้มีรถคาดิแล็คสีดำจอออดที่หน้าประตู และได้มีหญิงวัยกลางคนเดินออกมาพร้อมกับชายผอมคนนึงซึ่งยืนข้างๆกัน
มือซ้ายของผู้หญิงคนนั้นเต็มไปด้วยแหวนหลากหลายชนิด ด้วยความที่ไคหยานคุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้ เธอจึงประเมินไว้เลยว่ามือซ้ายของผู้หญิงคนนั้นคงมีค่าไม่ต่ำกว่า 10 ล้าน
ผู้หญิงคนนั้นมองมาที่ไคหยาน “พ่อของเธออยู่มั้ย ?”
ไคหยานทำหน้าสงสัยก่อนจะถามกลับ “คุณคือ…”
หญิงวัยกลางคนตอบกลับด้วยท่าทางนิ่งๆ “แค่เรียกเขาออกมาแล้วบอกว่าตระกูลเนี่ย มาหาก็พอ”
ไคหยานอึ้ง นี่เป็นครั้งแรกที่เจอได้เจอกับคนตระกูล Nei เธอจึงเดินเข้าบ้านไปบอกไคซงพูซึ่งกำลังเก็บของอยู่ที่ห้องเก็บของ เขาดูจะตกใจ ก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับรอยยิ้ม “มิสฉี ทำไมคุณไม่บอกล่วงหน้าล่ะถ้าจะมาหา ?”
เธอยิ้มก่อนละตอบกลับ “ชั้นกลัวว่านายจะหนีไปซะก่อนหน่ะสิ”
ไคซงพูยิ้มเจื่อนๆ “ร้านขายของเก่ามรกตอยู่ที่นี่ แล้วผมจะหนีไปไหนได้”
มิสฉีนั่งบนเก้าอี้ก่อนจะเอานิ้วแตะไปที่ไคหยาน พอเห็นดังนั้น ไคซงพูลุกลี้ลุกลนก่อนจะสั่งไคหยาน “ลูก , ไปชงชาให้แขกหน่อย เอาชาผูเอ่อร์ที่พ่อพึ่งซื้อมานะ”
พอไคหยานเห็นพ่อเธอในสภาพนี้ เธอถอนหายใจ เธอรู้อยู่แล้วว่าก่อนหน้านี้ พวกตระกูลเนี่ย ไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก อย่างไรก็ตาม เขาก็เป็นคนที่ไปเซ็นสัญญาที่ไม่ยุติธรรมอย่างการแต่งงานผีเอง
ไคหยานชงชาก่อนที่จะเอามาวางไว้ที่ข้างๆมิสฉี อย่างไรก็ตาม เธอก็ไม่ทันสังเกตว่ามิสฉีได้เอามือกวาดถ้วยชาลงพื้นซึ่งน้ำชากระเด็นมาทางไคหยาน ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ลวกเธอ แต่มันก็ทำให้เธอรู้สึกเจ็บได้
“ชั้นไม่ดื่มชาจากคนของครอบครัวนายหรอก !” เธอสบัดมือก่อนจะพูดต่อ “ตระกูล เนี่ย เป็นคนช่วยชีวิตนายเอาไว้ คุณไค , ตอนนี้คุณก็มีเงินแล้วนี่ คิดจะตัดหางปล่อยวัดพวกเรางั้นเหรอ ? การกระทำของนายมันเย็นชามากเลยนะ !”
เมื่อเธอเห็นลูกสาวของเธอถูกกลั่นแกล้งเช่นนี้ เขาก็ไม่คิดจะก้มหัวให้อีกต่อไป “คุณฉี นี่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้เลยงั้นเหรอ ?”
มิสฉีมองไปยังไคซงพูก่อนจะหัวเราะเยาะ “ไคหยานเป็นลูกสะใภ้ของชั้น แล้วชั้นจะสั่งสอนมันไม่ได้หรือยังไง ?”
ไคซงพูสวน “ผมได้พูดไปแล้วนะว่าพวกเราจะขอตัดขาดกับตระกูลเนี่ย พวกคุณจะเสนอข้อเสนออะไรมาแลกเปลี่ยนก็ได้”
มิสฉีตอบกลับ “ตั้งแต่สมัยโบราณ มีเพียงฝ่ายสามีเท่านั้นที่หย่ากับภรรยาได้ ถึงแม้ว่ากาาแต่งงานครั้งนี้จะถูกทำลาย มันก็เป็นการตัดสินใจของตระกูลเนี่ย ไม่ใช่ตระกูลไค !”
น้ำเสียงของไคซงพูฟังดูเคร่งขรึมมากขึ้น “มันจะมากไปแล้วนะ”
มิสฉีมองไปรอบๆก่อนจะถอนหายใจ “ดูเหมือนช่วงนี้ กิจการร้านขายของเก่ามรกตนี่จะไปได้สวยเลย ถึงแม้ว่านายจะร่ำรวยมากขึ้น แต่สำหรับตระกูลเนี่ย แล้ว มันง่ายมากเลยที่จะทำลายที่นี่ไม่ให้เหลือซากน่ะ”
“นี่คุณขู่ผมงั้นเหรอ ?” ไคซงพูลุกขึ้น
มิสฉีก็ยืนขึ้นเช่นกัน “ชั้นแค่เตือนนายเท่านั้นเอง ไม่รู้ว่าสินค้าที่นายได้มาจากอีกาเฒ่านั่นเป็นโชคดีหรือความหายนะกันแน่”
ไคซงพูหน้าถอดสี เธอรู้เรื่องที่เขาได้สินค้ามาจากอีกาเฒ่าได้ไง ? หรือบางทีมันอาจจะเป็นกับดัก ?
“อย่าคิดว่าจะหนีจากหนี้ที่ตัวเองก่อเอาไว้พ้นเชียว” มิสฉีมองไปยังไคหยานก่อนจะพูดต่อ “เธอเป็นของตระกูลเนี่ย และถึงแม้ว่าเธอจะตายไป เธอก็ยังเป็นของตระกูลเนี่ย !”
หลังจากส่งมิสฉีกลับออกไปแล้ว มือของไคซงพูก็สั่นด้วยความกลัว
ในตอนที่เธอกลับเข้าไปในรถ เธอหันไปหาเด็กข้างๆเธอ “สถานการณ์ของเขาเป็นยังไงบ้าง ?”
“พิษโทเมนที่อีกาเฒ่าวางไว้ดูเหมือนว่าจะถูกรักษาไปเรียบร้อยแล้ว แต่ผมได้ให้บางอย่างกับเขาไปที่มีฤทธิ์ร้ายกว่าเดิมแล้วล่ะ”
มิสฉีพยักหน้าก่อนจะพูดต่อ “เหตุผลที่ชั้นเคลื่อนไหวในครั้งนี้เพราะไคซงพูนั้นดูเหมือนจะมีท่าทีขัดขืนพวกเรามาหลายปีแล้ว เขาตั้งใจจะยกร้านขายของเก่ามรกตนี่ให้กับลูกสาวของเขา ซึ่งเราจะใช้โอกาสนั้นในการยืดร้านนั่นมาเป็นของเราโดยใช้ความสัมพันะของเธอกับตระกูล Nei นี่แหละ”
ไคซงพูมักจะหาสินค้าแปลกๆมาได้เสมอ ซึ่งหลายต่อหลายชิ้นนั้นมาจากตระกูลเนี่ย ทั้งสิ้น แต่พวกเขาไม่ต้องการให้เป็นที่สงสัย จึงได้ใช้ประโยชน์จากไคซงพู และตอนนี้ มันถึงเวลาที่พวกเขาจะเริ่มวางกับดักครั้งใหม่แล้ว
แม้ตอนนี้ ไคซงพูยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสินค้าที่เขาหามาได้นั้นมันเป็นหายนะ ไม่ใช่โชคลาภ
เด็กคนนั้นถอนหายใจ “ชั้นอิจฉาลูกพี่ลูกน้องของชั้นจัง ถึงแม้ว่าเขาจะตายไปแล้วก็ยังมีภรรยาที่น่าทะนุถนอมขนาดนี้”
หน้าของมิสฉีเปลี่ยนสีทันที ก่อนที่เธอจะพูดขึ้น “ทำไม นี่นายสนใจเธองั้นเหรอ เธอเป็นภรรยาของลูกพี่ลูกน้องของนาย อย่าพยายามสร้างปัญหาจะดีกว่า !”
อย่างไรก็ตาม เด็กคนนี้ก็ยังคงมีความคิดบางอย่างในใจ ลูกพี่ลูกน้องของเขาก็ตายมาหลายปีแล้ว และยิ่งความสัมพันธ์แบบนี้แหละ มันยิ่งทำให้เรานั้นรู้สึกเร้าใจ !
เขารู้ถึงแผนการของมิสฉี เธอพยายามจะฮุบสมบัติของตระกูลไคซึ่งสามารถใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ลูกสะใภ้ – แม่ผัวได้ และเมื่อเธอสามารถฮุบสมบัติทั้งหมดมาเป็นของตระกูลเนี่ย ได้ ไคหยานก็จะหมดประโยชน์ไปในทันที