บทที่ 7 สถานีตำรวจอันน่าตกใจ
สถานีตำรวจนั้นอยู่ห่างออกไปราวๆห้าร้อยเมตรจากย่านถนนเก่า ซึ่งใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 3-5 นาที เมื่อสารวัตรเจาทราบเรื่อง เขาขมวดคิ้วและรู้ได้เลยว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะจัดการกับเรื่องนี้ เช่นเดียวกับการที่จะให้ใครซักคนเข้าห้องเพื่อสอบสวนซูเถา
สารวัตรเจาเป็นรองหัวหน้าของสถานีตำรวจแห่งนี้ เขารับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องการเมืองในเขตสถานีนี้ ดังนั้น เขารู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการรื้อถอนเชิงพาณิชย์ เป็นการไม่ดีแน่ที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้
สารวัตรเจาได้สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาแจ้งไปยังหงเชงกรุ๊ปให้จัดการเกี่ยวกับเรื่องนี้เอง และตัดสินว่านี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับข้อพิพาททางแพ่ง
หัวหน้าตำรวจที่ถูกส่งไปซึ่งกำลังเอามือกุมท้องอย่างเจ็บปวดนั้นหวาดกลัวซูเถา ผู้ซึ่งทำให้เขาชาด้วยเพียงการเอานิ้วจิ้มเบาๆเท่านั้น
สิบนาทีต่อมา มีชายคนนึงซึ่งแต่งตัวดูภูมิฐานเข้าไปในห้องสอบสวนและนั่งลงตรงข้ามซูเถา “ยินดีที่ได้พบ , ผมคือผู้ช่วยของประธานกลุ่มธุรกิจหงเชงกรุ๊ป , เสี่ยว อี้เฟิง”
ซูเถาชำเลืองมอง เขาตอบกลับ “อย่ามัวพูดไร้สาระ มีอะไรก็ว่ามา”
ปกติซูเถาจะดูสุภาพเรียบร้อย แต่บางครั้งเขาก้ดูหยาบคายด้วยคำพูดของเขา ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ได้ชอบที่ตัวเองเป็นพวกป่าเถื่อนเท่าไหร่ด้วย
เสี่ยวอี้เฟิงกระแอมออกมาด้วยความลำบากใจ เขารูดีว่าไม่ง่ายที่จะต่อรองอะไรกับซูเถา เขาดึงเอาเอกสารออกมาและวางมันไว้ต่อหน้าซูเถา “ผมอยากจะให้คุณดูสัญญาการรื้อถอนนี่ซักหน่อย”
ซูเถาแค่ชำเลืองมองก็รู้ว่ามันเกี่ยวกับอะไร หงเชงกรุ๊ปได้ยื่นข้อเสนอเป็นค่าตอบแทนราคา 70,000หยวนต่อทุกๆตารางเมตร ซึ่งมากกว่าราคาตลาดสิบเท่า
อี้เฟิงยิ้ม “คุณต้องเก็บข้อเสนอนี้เอาไว้เป็นความลับนะ ประธานเหน่ยได้ให้ข้อเสนอนี้กับคุณเนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหมอซู คนอื่นๆไม่ได้ข้อเสนอมากเท่านี้เลยนะ”
มันเป็นราคาที่สูงมาก สำหรับตำหนักยาเก่าๆที่ทรุดโทรม ด้วยเงินจำนวนขนาดนี้ เขาสามารถหาที่ใหม่ซึ่งเป็นย่านหรูพร้อมกับเงินทุนตั้งตัวได้เลย ในมุมมองของเสี่ยว อี้เฟิง ซูเถาไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธข้อเสนอราคางามเช่นนี้
แต่ทว่า ซูเถาทำหน้าขมวดคิ้วก่อนจะส่ายหัว “ขอปฏิเสธ !”
“อย่าโลภให้มากนัก นี่มันมากกว่าราคาตลาดซะอีกนะ !” อี้เฟิงขึ้นเสียง
อย่างไรก็ตาม ซูเถาได้ตอบกลับไปแบบกวนๆ “ถ้างั้น ชั้นเอาเงินนี้ให้นายแล้วนายจะขายเมียของนายให้ชั้นมั้ยล่ะ ?”
เงินนั้นเป็นสิ่งสำคัญก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ทุกอย่าง
“นี่แก !” อี้เฟิงสีหน้าดูเดือดดาล “แกน่าจะรู้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับแก ไม้ซีกน่ะงัดไม้ซุงไม่ได้หรอก ถ้าแกปฏิเสธ ก็อย่าหวังเลยว่าจะได้ออกไปจากที่นี่เลย”
ซูเถถาผายมือ “งั้นชั้นก็จะอยู่ที่นี่แหละ”
เสี่ยว อี้เฟิงทุบโต๊ะด้วยความโมโหก่อนที่เขาจะออกจากห้องไป สารวัตรเจาซึ่งมองอยู่ถาม “เป็นไง จบเรื่องแล้วเหรอ ?”
เสี่ยว อี้เฟิงส่ายหัวด้วยความโมโห “หมอนี่มันไม่ยอม , คงต้องให้มันอยู่ที่นี่ซักพัก”
อย่างไรก็ตาม สารวัตรเจาดูเหมือนจะไม่ค่อยแฮปปี้เท่าไหร่ “ผู้ช่วยเสี่ยว ผมช่วยคุณได้นะ แต่อย่าคาดหวังล่ะว่าผมจะไม่ทำพลาดน่ะ”
อี้เฟิงตบไหล่เขา จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างทุ้ม “คุณจะได้รับค่าตอบแทนสำหรับเรื่องนี้แน่นอน”
สารวัตรเจาเลียปาก เขาทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้เลย หงเชงกรุ๊ปนั้นยิ่งใหญ่และมีอิทธิพลมาก พวกเขาได้คุยกับหัวหน้าสถานีเฉงแล้ว เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยซูเถาเอาไว้ในห้องสอบสวน
หลังจากที่เสี่ยว อี้เฟิงไปได้ไม่นาน ได้เกิดความวุ่นวายขึ้นข้างนอก สารวัตรจางจึงไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
ได้มีกลุ่มคนซึ่งนำโดยผู้อาวุโสสู มาที่สถานี ผู้อาวุโสสูได้เข้ามาใกล้กับสารวัตรเจาแล้วบอกว่า “เสี่ยว เจา ปล่อยซูเถาเดี๋ยวนี้นะ , เขาไม่ได้ทำอะไรผิด แค่ป้องกันตัวเท่านั้น”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสสู สารวัตรเจาจึงได้แต่ยิ้ม “ผู้อาวุโสสู , เราจำเป็นต้องทำตามกระบวนการ ซูเถาเป็นผู้ต้องสงสัยในการก่อการทะเลาะวิวาท และการไกล่เกลี่ยระหว่างเขากับหงเชงกรุ๊ปนั้นได้ถูกปัดตกลงไป เขาจำเป็นที่จะต้องอยู่ที่นี่ซักระยะ”
ไคหยานชี้นิ้วไปยังผสารวัตรแล้วตะโกน “นี่พวกนายสมรู้ร่วมคิดกันกับพวกหงเชงกรุ๊ปสินะ ? จับกุมซูเถาโดยที่ปล่อยคนก่อเรื่องไป การกระทำของพวกนายนี่มันรวมหัวกันชัดๆ !”
“เหตุผลที่เราจับซูเถามาเพราะว่าเขาได้ทำร้ายเจ้าหน้าที่ ได้โปรดเข้าใจด้วย พวกเราทำอะไรเป็นขั้นเป็นตอน ถ้าการสอบสวนเสร็จสิ้นโดยไม่เกิดปัญหาอะไร เราจะปล่อยตัวเขาเอง” สารวัตรเจาอธิบาย
เขาเก่งเรื่องการเมือง ดังนั้นการเจรจาต่อรองวกับคนอื่นจึงเป็นเรื่องง่ายขอเพียงแค่เขาระวังการใช้คำพูดเท่านั้น
สารวัตรเจาเดินกลับเข้าไปในสถานีด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง หงเชงกรุ๊ปได้สร้างปัญหาให้กับเขา เขาไม่สามารถปล่อยซูเถาไปหรือแม้แต่ให้อยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ ตอนนี้เขาอยู่ในสถานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
พวกคนจากย่านถนนเก่ายืนรออยู่ด้านนอกสถานี ปฏิเสธที่จะกลับไป ผสารวัตรเจาได้โทรหาเสี่ยวอี้เฟิง แต่เสี่ยวอี้เฟิงได้สั่งให้เขาขังซูเถาเอาไว้ที่สถานีเพื่อให้ซูเถาได้ทบทวนข้อเสนอนั่นอีกครั้ง
สารวัตรเจาชำเลืองมองไปยังซูเถา ซึ่งซูเถานั้นอยู่ในลักษณะสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ดูไม่ทุกข์ร้อนอะไร ซึ่งมันทำให้เขาอารมณ์เดือดดาลมากขึ้นไปอีก
เวร่ากลับเข้าไปนั่งในรถบูอิค เธอได้ไหว้วานเลขาฯหลี่ “โทรไปหาเลขาเทศบาลเมืองจางผิงที”
เลขาฯลีครุ่นคิด เขารู้ว่าเวาร่ากำลังโกรธ เขารีบต่อสายโทรศัพท์ไปยังจางผิง จากนั้นจึงยื่นโทรศัพท์ให้เวร่า
“เลขาฯจาง นี่เวร่า ก่อนหน้านี้ ชั้นได้เห็นเรื่องการถูกบังคับให้รื้อถอน สภาพการลงทุนที่หางโจวมันแย่มาก ชั้นคิดว่าจะขอยกเลิกสัญญาแล้วยกเลิกการลงทุนซะ” เวร่ากลับไปสวมมาดนักธุรกิจหญิงพลางพูดอย่างช้าๆ
“เกิดอะไรขึ้น ?” จางผิงขมวดคิ้ว พวกเขาเพิ่งจะตกลงเซ้ฯสัญญา แล้วตอนนี้จะเปลี่ยนใจเนี่ยนะ
เวร่าตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “โปรดส่งคนมาสอบสวนเรื่องเกี่ยวกับย่านถนนเก่าด้วย ก่อนหน้านี้ เพื่อนของชั้น หมอซูซึ่งรักษาอาการป่วยให้ชั้นโดนตำรวจจับ”
พอได้ยินดังนั้น จางผิงก็ทุบโต๊ะด้วยความโกรธ ผู้ช่วยของเขาเดินเข้ามาทันที เป็นเรื่องยากที่จะเห็นจางผิงโมโหขนาดนี้
“ไร้สาระสิ้นดี ! ที่นี่ยังเป็นสังคมที่ชอบด้วยกฎหมายอยู่หรือเปล่าวะเนี่ย ? เจ้าหน้าที่กับนักธุรกิจรวมหัวกันกดขี่ประชาชน เร็วเข้า แจ้งหัวหน้าสถานีตำรวจให้ปล่อยตัวซูเถาเดี๋ยวนี้ การที่เหตุการณ์น่ารังเกียจเช่นนี้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตานักลงทุนต่างชาติ แล้วแบบนี้จะมีนักลงทุนคนไหนกล้าเข้ามาลงทุนอีก นี่มันเลวร้ายมาก คุณต้องจัดการเรื่องนี้” จางผิงโวยวาย
การที่เขาให้ผู้ช่วยจัดการเรื่องนี้เป็นการแสดงความจริงใจของตัวเขาเอง
พอผู้ช่วยของเขาได้ยินว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขารีบกลับไปนั่งที่ของเขาก่อนที่จะโทรหาเหยา หลิน หัวหน้าสถานีตำรวจ “มีเรื่องด่วยที่ผมต้องการให้คุณจัดการ”
เลขาฯผู้ช่วยกรรมการเทศบาลไม่ได้มีอำนาจมากนัก แต่คำพูดของเขานั้นเปรียบดั่งตัวแทนของเทศบาล เหลาหลินตอบกลับมาแทบจะทันที
“นี่มันเรื่องอะไร ? อะไรทำให้ผู้ช่วยตู๋ดูจริงจังขนาดนี้”
ตู๋ผินตอบ “สถานีตำรวจท้องถิ่นได้รวมหัวกับพวกนักธุรกิจเพื่อบังคับให้รื้อถอนและทำการจับกุมเพื่อนของนักลงทุนต่างชาติน่ะสิ”
เหยาหลินคิดอย่างรวดเร็วก่อนที่จะอธิบายกลับไป “ไม่เห็นแปลก สถานีท้องถิ่นจะจัดการเรื่องนี้เอง”
ตู๋ผินถอนหายใจ “ปัญหาก็คือ นักลงทุนต่างชาติคนนี้สำคัญมากและเราเพิ่งจะได้เซ็นต์สัญญาลงทุนที่มีมูลค่ากว่าห้าร้อยล้านหยวน ถ้าเหตุการณ์นี้ทำให้เธอรู้สึกแย่ โครงการนี่จะไม่หายไปเลยหรือไง ? เลขาฯจางเดือดมาก คุณต้องจัดการเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด”
อันที่จริง คำพูดส่วนที่เหลือของเขาไม่ได้หมายความถึงอะไรอื่นเลย นอกจากเรื่องที่เลขาฯจางกำลังเดือดมาก !
ตู๋ผิงมาถึงที่สถานี เหยาหลินรอเขามาได้ซักพักแล้ว พวกคนจากย่านถนนเก่ายังคงรวมตัวกันที่นี่ ซึ่งทำให้สีหน้าของเหยาหลินดูแย่ลงเล็กน้อย
ตู๋ผินเดินตามหลังเหยาหลิเข้าไปข้างใน ก่อนที่พวกเขาจะพูดกับหนึ่งในการ์ดที่เฝ้าอยู่ “เรียกหัวหน้าสถานีออกมาเดี๋ยวนี้ คนของสำนักงานเมืองอยู่ที่นี่แล้ว”
“พวกนายเป็นใคร? , หัวหน้าสถานีตอนนี้เขาไม่อยู่ เขาออกไปทำธุระ” การ์ดคนนั้นรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเหยาหลินยังไงชอบกล ดังนั้น เขาถึงสอบถามว่าอีกฝ่ายเป็นใครอย่างระมัดระวัง
“ชั้นคือเหยาหลิน นี่บัตรประจำตัวชั้น เห็นชัดมั้ย ?” เหยาหลินตอบด้วยท่าทางเคร่งขรึม
การ์ดคนนั้นตกใจมาก เริ่มมีเหงือเย็นๆไหลออกมาที่คอของเขา พลางคิดในใจ ‘นี่มันหัวหน้าสำนักงานตำรวจนี่หว่า ?’ “หัวหน้าสถานีตอนนี้ไม่อยู่ แต่สารวัตรเจาอยู่ ผมจะไปแจ้งเขา เชิญทางนี้”
พอสารวัตรจาได้ยินว่าเหยาหลินมาที่นี่ เขารู้ในทันทีว่าเรื่องนี้เกินกว่าที่เขาจะรับมือได้แล้ว เขาเป็นแค่รองหัวหน้าสถานีเท่านั้น โดยปกติเขาจะแค่ได้ยินเรื่องเหยาหลินเท่านั้น แต่วันนี้เขากลับมาหาถึงที่
เมื่อเหยาหลินเห็นสารวัตรเจา เขาตีหน้าเคร่งขรึม “คนนี้คือผู้ช่วยของเลขาฯเทศบาลเมือง ตู๋ผิน”
เรื่อองนี้ยิ่งทำให้สารวัตรเจาอึดอัดยิ่งขึ้นไปอีก แม้แต่ทางเทศบาลเมืองก็ยังเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ ซูเถามันเป็นใครกันแน่ ?
สารวัตรเจาได้พาตู๋ผินกับเหยาหลินมาที่ห้องสอบสวน แต่เมื่อพวกเขาก้าวเข้ามาที่ห้องก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าซูเถากำลังจับชีพจรตำรวจนายนึงอยู่
“นายได้ประสบอุบัติเหตุเกี่ยวกับรถเมื่อสองปีก่อน ซึ่งมันทำให้นายมีอาการบาจเจ็บอยย่างรุนแรงบริเวณศรีษะ ยังมีเลือดอุดตันอยู่ในสมองของนายอยู่เลย ดังนั้น นายจึงรู้สึกปวดหัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ฝนตก ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร ไม่ต้องไปฟังพวกหมอคนอื่น ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดศัลยกรรม มันมีความเสี่ยงมากเกินไป การฝังเข็มและการให้ยาสองชนิดจะช่วยรักษานายเอง มาที่ตำหนักสิถ้านายมีโอกาส”
ซูเถาเบื่อมาก เขาจึงได้ชวนตำรวจที่จับเขาคุยด้วย ช่วยเขาแก้ปัญหาอาการป่วยเล็กๆน้อยๆ เมื่อเจ้าหน้าที่คนอื่นๆได้ยินเรื่องนี้ ก็พากันมายังห้องสอบสวน
ตู๋ผินเห็นเหตุการณ์นี้หลังจากเขาชำเลืองมองไปยังเหยาหลิน จากนั้นจึงอธิบายทันที “ผมลืมแนะนำคุณไปเลย ซูเถาเป็นหมอพิเศษของโรงพยาบาลเจียงหัวน่ะ”
สารวัตรเจายิ้มตอบ “ถึงว่าล่ะ ก่อนหน้านี้ เขาได้สอบถามเพื่อนเจ้าหน้าที่ของผม เขาบอกอาการป่วยของทุกคนได้อย่างแม่นยำเลย”
เหยาหลินไอ เขามองดูก็รู้ว่าซูเถาไม่ได้เดือดร้อนอะไร เป็นเรื่องดีซะด้วยซ้ำ ก่อนที่เขาจะบอกไปยังสารวัตรเจา “เรียกเฉินหลงให้ชั้นที”
เฉินหลงเป็นหัวหน้าของสถานีตำรวจท้องที่แห่งนี้ ในแง่ของตำแหน่ง เขาจะไม่สนใจกับการติดต่อจากผู้ที่ตำแหน่งน้อยกว่าในสถานีแห่งนี้
ดังนั้น เหยาหลินจะจัดการกับเฉินหลงในขณะที่เฉินหลงจะจัดการกับเจาอีกที
สารวัตรเจายิ้มก่อนที่จะหันไปคุยกับซูเถา “หมอซู ช่วยตรวจให้หัวหน้าเหยาหน่อย เราอยู่ในสังคมที่ชอบด้วยกฎหมาย เราเชิญคุณมาก็เพื่อที่จะสะสางเรื่องราวระหว่างคุณกับหงเชงกรุ๊ปเท่านั้นเอง”
ซูเถามีความทรงจำที่ดีต่อตู๋ผินซึ่งเขาเคยพบแล้วที่สำนักงานของตี้ชีหยวน ดังนั้นเขาจึงจำผู้ช่วยของจางผิงได้ บางทีเวร่าอาจจะติดต่อผ่านทางจางปิงเพื่อให้มาช่วยเขา
ซูเถารู้ว่าสารวัตรเจานั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ มันจึงไม่ยากเกินไปสำหรับเขา สำหรับตำรวจที่จับกุมเขา ตอนนี้เขาเปลี่ยนให้กลายเป็นลูกค้าประจำของเขาไปแล้ว และเขายังต้องการให้ทางตำรวจช่วยคุ้มครองตำหนักของเขา เขาจึงจำเป็นต้องรักษาหน้าสารวัตรเจา
ดังนั้น เขาจึงได้อธิบาย “สารวัตรจางนั้นเป็นกลางและได้ทำหน้าที่ของเขาอย่างยุติธรรมแล้ว หลังจากที่ได้รับรายงานจากทางตำรวจซึ่งเขาได้ทำตามขั้นตอน ผมจึงได้นั่งอยู่ที่นี่และไม่ได้สูญเสียอะไรมากนัก”
ในตอนแรกเหยาหลินต้องการให้หัวหน้าสถานีนั้นไล่สารวัตรเจาออก แต่ในเมื่อซูเถาไม่ได้หวังให้เป็นอย่างนั้น เขาจึงเห็นด้วยตามนั้น
“อย่างไรก็ตามนายก็ยังจะต้องรับโทษ พวกคนข้างนอกได้แสดงให้เห็นว่านายได้ทำสิ่งที่ผิดและยังไม่ฟังเสียงประชาชน พรุ่งนี้ทั้งนายและหัวหน้าของนายจะต้องถูกลงโทษทางวินัย”
สารวัตรเจารู้สึกโชคดี ในตอนแรกเขาคิดว่าจะดดนไล่ออกเสียแล้ว เขาตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ขอบคุณมากครับหัวหน้าเหยา ผู้ช่วยตู๋ หมอซู”
ในใจของเขา เขารู้สึกขอบคุณที่ซูเถารู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ในอนาคต เขาจะทำการให้การดูแลรักษาตำหนักเป็นพิเศษแน่นอน