“เจี่ยนถง เอ๋อร์ไห่ ไม่ใช่ดินแดนสุขาวดี ความสงบที่คุณคิด มันก็แค่การหลบหนีของคุณ”
ซูเมิ่งพูดอย่างเคร่งขรึม
เธอไม่ควรพูดสิ่งเหล่านี้ แต่เธอเห็นบางอย่าง ที่คนภายในไม่เห็นมัน
ว่ากันว่า คนที่อยู่นอกเกมหรือนอกสถานการณ์จะมองได้ทะลุปรุโปร่ง บางทีคำพูดนี้ไม่ถูกต้อง
แต่เธอเห็นความลังเลของเจี่ยนถงแล้ว
สามปีก่อน เธอช่วยเจี่ยนถงหนี อยากให้เธอใช้ชีวิตอันสงบสุขจากใจจริง
ในสามปีนี้ ไม่ใช่แค่เวลาที่ผ่านไป ความเป็นผู้ใหญ่ของเธอด้วย
และเพราะความเป็นผู้ใหญ่นี้ เธอกำลังทบทวนไม่หยุด
อย่างไรแล้วเมื่อสามปีก่อน ช่วยเจี่ยนถงหนี เรื่องนี้มันถูกหรือไม่
รู้สึกอย่างเลือนราง เธอคิดว่าเธอทำผิดพลาดไปแล้ว
ผู้หญิงคนนี้ เป็นนกตื่นธนูไปแล้ว จะหยุดฝีเท้าเพื่อมองผู้คนและเรื่องราวรอบๆ อีกครั้งได้อย่างไร
ในสามปี เธอก็เห็นเสิ่นซิวจิ่นตามหาไม่หยุด ทุกคนล้วนพูดว่าไม่ต้องหาแล้ว บางทีเจี่ยนถงอาจจะเสียชีวิตไปแล้ว ก็ไม่แน่ใจเช่นกัน
ถ้าไม่เสียชีวิต ทำไมหามาสามปี อย่างไม่หยุดหย่อน ก็ยังหาไม่เจอ
แต่ผู้ชายคนนั้นไม่เชื่อ ตามหาไม่หยุด นอกจากตามหาความกังวลในใจแล้ว ชีวิตของเขาก็เหลือแค่การทำงาน
สิ่งที่ซูเมิ่งอย่างเธอเห็น ผู้ชายคนนั้นที่ครั้งหนึ่งเป็นบุตรอันเป็นที่รักของสวรรค์ และยโสโอหัง เพื่อความกังวลในใจตนเอง ซึ่งไม่เคยยอมแพ้มาก่อน ยอมก้มศีรษะอันหยิ่งผยองของเขา
อย่างเลือนราง เธอไม่เห็นความล้อเล่นของเสิ่นซิวจิ่น เห็นแต่ความจริงจังและความยึดมั่นของเขา
ทุกอย่างนี้ คือสิ่งที่เธอปรารถนาอย่างมากจากชายอีกคน แต่ทั้งชีวิตเธอไม่เคยได้รับมัน
แต่เจี่ยนถงแตกต่าง
ความสุขที่เธอไม่สามารถได้รับ ที่เจี่ยนถง บางทีอาจจะได้รับมัน ครั้งหนึ่งเธอเคยมีประสบการณ์เหมือนเจี่ยนถง อดีตที่เลวร้ายเช่นนั้น บางทีที่เจี่ยนถงอาจจะได้รับจุดจบ
เธอก็ยอมรับว่าเธอลำเอียง
แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ สิ่งที่เธอเห็น ไม่ใช่ความไร้หัวใจของเจี่ยนถง ไม่ใช่การปล่อยวางอย่างแท้จริงของเจี่ยนถง แต่เป็นการหนีของเจี่ยนถง
ถ้าผู้หญิงตรงหน้าตน ปล่อยวางอย่างแท้จริง วางสิ่งที่อยู่ในใจลง ถ้าอย่างนั้นคำพูดเหล่านี้ในวันนี้ เธอจะซ่อนมันไว้ในหัวใจตลอดไป ไม่พูดมันออกมาตลอดไป
แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่
“หนีๆๆ ไม่หยุด หัวใจคุณกังวลเหรอ? คุณวางใจเหรอ?” การซักถามของซูเมิ่ง เหมือนเสียงฟ้าผ่า ทำให้เจี่ยนถงกระสับกระส่ายไม่สบายใจทั้งร่าง
เธอปิดหู “อย่าพูด อย่าพูดอะไรทั้งนั้น”
มือของซูเมิ่ง ดึงมือของเจี่ยนถงที่ปิดหูออกอย่างแน่วแน่ “เขาป่วยแล้ว ป่วยใกล้ตายแล้ว”
ชั่วขณะหนึ่ง โลกก็สงบนิ่ง
ซูเมิ่งไม่จำเป็นต้องดึงมือเจี่ยนถงอีก เธอเอื่อยเฉื่อยไปแล้ว
“……ฉัน ฉันต้องไปสนามบินแล้ว เที่ยวบินจะล่าช้า”
“เขามีอะไรบางอย่างงอกในสมอง ปีกว่าแล้ว ตอนนี้ระยะสุดท้ายแล้ว” ซูเมิ่งพูดกับตัวเอง
“ฉ-ฉันต้องไปสนามบินแล้วจริงๆ”
เธออยากไปด้วยความเร่งรีบ
ครั้งนี้ซูเมิ่งไม่ได้ห้าม ตะโกนไปทางด้านหลังที่รีบวิ่งออกไปห่างห้าเมตร
“เขาเลือกที่จะผ่าตัด การผ่าตัดสมองเดิมทีแล้วมันซับซ้อนมาก อาการเขาย่ำแย่มาก อัตราการสำเร็จน้อยกว่าห้าเปอร์เซ็นต์”
“พอแล้ว!” เจี่ยนถงหยุด “ใช้วิธีนี้อีกแล้วเหรอ? เขาเรียกให้คุณมาใช่ไหม? ตอนแรกอยู่อิตาลี ก็บอกว่าในสมองมีเลือดคั่ง เป็นวิธีที่เขาแกล้งโง่เขลา ต้องใช้มันกี่ครั้ง? คนโง่ถึงหลงกลอีก!”
“ฮ่าๆ” ซูเมิ่งได้ยินก็หัวเราะ “ใช่ ใช่ๆ เจี่ยนถงอย่างคุณไม่ใช่คนโง่! คุณไปเถอะ!”
ซูเมิ่งพูด “ไม่สิ ไม่ใช่ไป แต่เป็นการหนี หนีไปเลย”
“เจี่ยนถง คุณรีบหนีไปเถอะ หนีไปให้ไกลยิ่งดี หนีสิ่งที่คุณไม่กล้าเผชิญหน้า ฉันอยากถามคุณว่าสิ่งที่คุณไม่กล้าเผชิญตรงๆ คือเขาหรือว่าหัวใจของคุณเอง? ไม่ต้องกังวล ครั้งนี้จะไม่มีเสิ่นซิวจิ่นไปรบกวนคุณอีกต่อไปแล้ว จะไม่มีจริงๆ เจี่ยนถง ทำสิ่งที่คุณเก่งที่สุด หนีไปซะ!”
พูดจบ ซูเมิ่งก็หันตัวเดินจากไป
เธอไม่รู้ว่าตัวเองกำลังโกรธอะไร หรือว่าเดิมทีแล้วเธอไม่ได้โกรธ แค่รู้สึกเสียใจภายในใจเท่านั้น
ดูเหมือนว่าเธอเองจะไม่ได้รับตอนจบที่งดงาม
ในสายตาเธอ เห็นได้ชัดว่าหนึ่งเป็นการเสียใจที่ทำเรื่องผิดพลาดไป ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงมัน อีกหนึ่งคือกลัวเสียใจจึงหนีไปทุกที่ด้วยความสับสนเหมือนแมลงวันไร้หัว
สิ่งที่เธอกลัวไม่ใช่เสิ่นซิวจิ่นจะเป็นอย่างไร สิ่งที่เธอกลัวคือ สักวันหนึ่ง เจี่ยนถงผู้หญิงโง่คนนั้นจะตื่นมาสู่ความจริง จมอยู่กับความเสียใจไปตลอดชีวิต บางทีผู้หญิงโง่คนนั้นจะไม่พูดมันออกมา แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ หัวใจก็ยิ่งขมขื่น
ผู้หญิงโง่คนนั้น……ขมขื่นมามากพอแล้ว
เจี่ยนถงรีบขึ้นรถไป
เธอไม่อยากฟัง ยิ่งไม่อยากไปคิดมัน
เธอกับเขา ก็คือความผิดพลาด ผิดพลาดตั้งแต่แรก จะทำให้ผลลัพธ์มันถูกต้อง
เธอก็แค่นำวงโคจรผิดพลาด ย้ายกลับไปยังเส้นทางที่ถูกต้อง……ใช่ เธอไม่ได้ทำผิด
เธอไม่ได้หนี
เธอไม่หนี
เธอ……เธอแค่อยากกลับไปที่ทะเลสาบเอ๋อร์ไห่ กลับไปอยู่ข้างๆ อาลู่
เธอแค่ทำตามคำสัญญากับอาลู่สำเร็จแล้ว ทำความฝันอาลู่สำเร็จแล้ว เธอแค่อยากตอบแทนบุญคุณอาลู่
ใช่ๆ มันเป็นแบบนี้แหละ
สนามบินหงเฉียว
ผู้หญิงคนหนึ่ง นั่งเก้าอี้อย่างเหม่อลอย
การประกาศในสนามบิน กำลังประกาศว่าเที่ยวบินของเธอกำลังขึ้นเครื่อง
ในการประกาศ เรียกชื่อเธอเป็นครั้งที่สามแล้ว ให้เธอรีบดำเนินการ
ผู้หญิงนั่งเงียบๆ ดวงตาคู่หนึ่ง มองไปข้างหน้าอย่างใจลอย
ในที่สุด การประกาศไม่รายงานชื่อเธอ กระตุ้นให้เธอดำเนินการขึ้นเครื่องอีกต่อไป
ท้องฟ้ามืดแล้ว ฝูงชนที่ขวักไขว่กันไปมาในสนามบิน ค่อยๆ น้อยลง แยกย้ายกันไป
ผู้หญิงยังคงนั่งเก้าอี้อยู่
เที่ยวบินของเธอบินขึ้นไปแล้ว ในขณะนี้ก็คงถึงจุดหมายปลายทางแล้วเช่นกัน
ฝูงชนโดยรอบ ตั้งแต่มากจนน้อย จากอารมณ์ครึกครื้น จนถึงพูดคุยสื่อสารกันเป็นครั้งคราว แวบผ่านข้างกายเธอไป
เวลาผ่านไปมากกว่าครึ่งวัน พนักงานต้อนรับภาคพื้นดินสนใจกับผู้หญิงแปลกคนนี้ เธอนั่งในสนามบินนานมาก ไม่ขยับไปไหน
“สวัสดีครับคุณผู้หญิง ไม่ทราบว่าต้องการความช่วยเหลือไหม?” บางทีอาจจะเพราะเห็นเธอเคลื่อนไหวแปลกๆ พนักงานต้อนรับภาคพื้นดินคนหนึ่งก็เดินมาสอบถามหยั่งเชิง……อย่างไรแล้วนี่ก็สนามบิน ถ้ามีคนแปลกๆ ปรากฏตัวขึ้น ถ้า……เป็นคนป่วยโรคประสาทล่ะ?
ใครจะไปรู้ ว่าจะทำอะไรขึ้นมา
ผู้หญิงแปลกคนนั้น ไม่ได้ตอบเขา เขาก็ถามอีกครั้งอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย “สวัสดีครับ มีอะไรที่ผมช่วยคุณได้ไหมครับ?”
ทันใดนั้น ผู้หญิงแปลกคนนั้นก็ยืนขึ้นมาทันที แล้วพูดขึ้นช้าๆ
“ไม่เป็นอะไรค่ะ ขอบคุณค่ะ”
เข็นกระเป๋าเดินทางของตัวเอง ขยับฝีเท้าเดินจากไปช้าๆ
“แปลกจัง ผู้หญิงคนนี้” พนักงานต้อนรับภาคพื้นดินพูดกับเพื่อนร่วมงานอีกคนที่เดินมา
เจี่ยนถงเข็นกระเป๋าเดินทาง เดินออกไปจากสนามบินช้าๆ ดึกเงียบสงัด เธอเงยหน้า มองท้องฟ้าที่มืดมิด
ควักโทรศัพท์ออกมาช้าๆ กดโทรเบอร์ซูเมิ่ง เสียงเรียกเข้าดังขึ้นแค่สองครั้ง คนที่อยู่ปลายสายก็รับมัน
เสียงแหบของเธอ พูดขึ้นอย่างทุ้มต่ำ
“ฉันเกลียดเขาขนาดนี้ ทำไมอยากดูสภาพอนาถของเขาที่ป่วยใกล้ตายด้วย พี่เมิ่ง พี่ช่วยบอกทางฉันที”
ปลายสายโทรศัพท์ ซูเมิ่งตกตะลึงสักพัก ครู่ต่อมา ริมฝีปากแดงยิ้มออกมา
“คุณอยู่ไหน ฉันจะไปรับคุณ”
“สนามบิน”
“โอเค คุณรอฉันนะ”