หญิงสาวที่นอนอยู่บนโซฟา เริ่มนอนหลับไม่สนิท มีเหงื่อผุดขึ้นมาบนหน้าผากเป็นระยะๆ
ในความฝัน
เดี๋ยวก็เป็นภาพที่เธอยังอยู่อาศัยที่บ้านใหญ่ตระกูลเจี่ยนกับคุณปู่ เดี๋ยวก็เป็นภาพที่เธอเอาแต่วิ่งตามเสิ่นซิวจิ่น เดี๋ยวก็เป็นภาพช่วงวัยสิบแปดที่เป็นจุดพีคที่ทำให้เธอเปล่งประกายชั่วขณะ
แล้วภาพก็ตัด เป็นตอนที่เธอมีสภาพอันน่าเวทนาตอนอยู่ในคุก
สักพักก็เปลี่ยนเป็นภาพตอนที่ไอ้เด็กโง่อย่างอาลู่กำลังจะตาย จากนั้นภาพก็สับเปลี่ยน มาเป็นตอนที่เธอออกจากคุก ผ่านมาทุกๆช่วงความลำบากของชีวิต แต่กระนั้นก็ยังหนีคนคนนั้นไม่พ้น
เธอยังฝันถึงแม่ของเธอ แต่มันกลับเลือนรางเป็นอย่างมาก
“ถงถง อาซิวจะอยู่กับถงถงตลอดไป อยากให้ถงถงมีความสุขตลอดชีวิตเลย”
เสียงไร้เดียงสาดังสะท้อนเข้ามา
เธอลืมตาพรวด จ้องมองเพดานสีขาว นานพอสมควร ถึงได้ดึงสติกลับมา จากนั้นถึงได้เข้าใจว่า เมื่อสักครู่ เธอก็แค่ฝันไป
เธอลุกขึ้นมานั่ง ประตูเลื่อนตรงระเบียงไม่ได้ปิดเอาไว้ จึงมีลมพัดเข้ามาผ่านรอยแยก ความหนาวเหน็บเกาะกินผิวหนัง เธอสะดุ้งพรวด จากนั้นถึงได้สังเกตว่า ว่าเหงื่อไหลท่วมตัวเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
เธอยกมือขึ้นมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก เธอยังคงสงบและนั่งนิ่งๆอยู่บนโซฟา เหมือนเป็นรูปปั้น ไม่ขยับไปไหน
ฝันในครั้งนี้ เหมือนจริงราวกับไม่ใช่ฝัน ราวกับพาเธอกลับไปในช่วงเวลานั้นอีกครั้ง
จากรุ่งเป็นดับ
จากมั่นใจเป็นไม่กล้าเผชิญหน้ากับผู้คน
ต้องขอบคุณฝันในครั้งนี้ ที่ทำให้เธอคิดอะไรขึ้นมาได้หลายอย่าง
ตอนเด็ก ช่วงเวลาที่คุณปู่ยังอยู่ เธอยังไม่เข้าใจอะไรมากมายขนาดนั้น รู้เพียงแค่ว่า คุณปู่เข้มงวดกับเธอมาก แต่ก็ดีกับเธอมากเหมือนกัน มากกว่าพ่อของเธอเสียอีก
พริบตาเดียว ก็เข้าสู่วัยเรียน เธอเข้าโรงเรียนที่เดียวกับพี่ชายของเธอ
คุณปู่ไม่เคยให้คนไปส่งเธอที่โรงเรียนอย่างเอิกเกริก ส่วนพี่ชายของเธอได้รับความรักจากพ่อแม่มากกว่า ด้วยเหตุนี้ ในแต่ละวันของเธอกับพี่ชายจึงไม่เหมือนกัน
พี่ชายของเธอมีคนขับรถที่บ้านไปส่ง ส่วนเธอไม่ได้นั่งไปกับพี่ชาย
เพิ่งเข้าเรียนแรกๆ เธอไม่ได้โดดเด่นเท่าไหร่ ไปโรงเรียนได้ไม่กี่วัน เธอก็ถูกตามกลั่นแกล้ง ทั้งถูกขวางในห้องเรียน ถูกขวางในห้องน้ำ ถูกกลั่นแกล้งสารพัดอย่าง
คุณปู่ตั้งเงื่อนไขกับเธอไว้ว่า ห้ามใช้อำนาจของตระกูลไปข่มขู่คนอื่น ต้องเอาคืนคนที่มารังแกด้วยตัวเอง
แต่เธอในตอนนั้น มีพละกำลังเพียงน้อยนิด พวกรุ่นพี่ผู้หญิงชอบรวมตัวกันเป็นกลุ่ม เวลารังแกใคร ก็จะมาพร้อมกันหลายๆคน
ตอนนั้นทุกครั้งที่กลับบ้าน บนตัวของเธอก็จะเต็มไปด้วยรอยช้ำ พวกรุ่นพี่ผู้หญิงพวกนั้น ถึงแม้จะชอบรังแกคนอื่น แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีสมอง พวกเธอจะเลือกลงมือบริเวณใต้ร่มผ้าโดยเฉพาะ
และด้วยเหตุนี้ ทั้งคุณปู่และคนใช้ในบ้าน จึงไม่มีใครสังเกตเห็น
จนกระทั่งวันหนึ่ง หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จ ตอนที่เธอกำลังเตรียมตัวขึ้นไปทำการบ้านข้างบน พี่ชายของเธอก็มายืนดักรอที่บันได พร้อมกับลากเธอไปที่ห้องนอนของเขา พี่ชายของเธอดึงชุดนักเรียนของเธอออกจนหลุดบ่าไหล่ เธอยังจำได้ว่าในตอนนั้นเธอโกรธจนสั่นไปหมด ตะโกนต่อว่าพี่ชายของเธอจนแทบไม่เป็นคำ
เธอจำได้ว่าตอนนั้นพี่ชายของเธอแอบหยิบกล่องยาออกมาจากใต้เตียง จากนั้นก็ทายาให้เธออย่างเงียบๆ ตอนนั้นเธอยังหงุดหงิด เพราะความโกรธ เพราะความไม่อยากให้คนอื่นมาเห็นสภาพที่น่าสงสารของตัวเอง ดังนั้นเธอจึงพูดจาถากถางพี่ชายว่าไม่ต้องมายุ่ง และห้ามไปฟ้องคุณปู่
ตอนนั้นเธอพูดอะไรบ้างน่ะเหรอ?
ก็ประมาณว่า “เจี่ยนโม่ป๋าย นายอย่าคิดว่าจะจับจุดอ่อนฉันได้เลย ฉันเก่งพอที่จะจัดการคนที่มาแกล้งฉันด้วยตัวเองได้ นายห้ามเอาเรื่องนี้ไปบอกคุณปู่เด็ดขาด”
ในตอนนั้นพี่ชายของเธอเอ่ยพูดอย่างไม่ชอบใจว่า “ชิ~กะอิแค่ทะเลาะกันแล้วแพ้ มีอะไรพิเศษตรงไหน? ฉันเองก็เคยทะเลาะกับคนอื่นเหมือนกันนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นจะมีกล่องยาอยู่ใต้เตียงไปทำไมล่ะ?” พูดจบก็กระชากคอเสื้อของเธอ โยนออกไปนอกห้อง แล้วปิดประตูลงเสียงดังปัง
จริงๆแล้วตอนนั้นในฐานะที่เป็นเด็กผู้หญิงในบ้านที่ขาดความรักจากพ่อแม่ ในใจเธอจึงอิจฉาพี่ชายเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นบานประตูตรงหน้าปิดแน่นสนิท เธอก็ใช้เท้าเตะแล้วตะโกนอย่างก้าวร้าวว่า “เจี่ยนโม่ป๋าย ฉันชนะแน่ ก็แค่สู้กันไม่ใช่หรือไง? ฉันจะชนะผู้หญิงพวกนั้นให้ดู!”
หลังจากนั้นเธอก็เริ่มตอบโต้พวกรุ่นพี่ผู้หญิงพวกนั้น และก็มักจะได้แผลทั้งตัว แต่ละอาทิตย์พี่ชายของเธอก็จะลากเธอเข้าห้อง ทายาเสร็จก็โยนเธอทิ้งออกนอกห้องเหมือนเดิม
ในตอนที่เธอเอาชนะพวกรุ่นพี่ผู้หญิงเหล่านั้นได้ รุ่นพี่ก็เรียกนักเลงนอกโรงเรียนเข้ามาช่วย นักเลงพวกนั้นจริงๆแล้วก็เทียบเท่านักเรียนม.ต้น ม.ปลาย ตอนนั้นพวกเทรนด์ทำตัวแหกคอกกำลังเป็นที่นิยม
เธอถูกดักรอที่หลังตึกเรียน คิดว่าคราวนี้ตัวเองไม่น่าจะรอดแน่ๆ แต่จู่ๆพี่ชายของเขากลับโผล่มา เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นพี่ชายของตัวเองสู้กับคนอื่นอย่างรุนแรง ผลลัพธ์คือ พี่ชายของเธอได้แผลเต็มตัว ใบหน้าปูดบวมเหมือนหมู แต่ยังมีหน้ามาคุยโวกับเธอว่า “เห็นหรือยัง นี่ต่างหากคือการสู้กันจริงๆ อย่างแกน่ะเรียกว่าหมัดอนุบาล”
หญิงสาวบนโซฟาเลื่อนลอย อดีตที่เคยสูญหายไปตามกาลเวลา เรื่องเล็กๆเหล่านั้น เหมือนจะแจ่มชัดขึ้นมาชั่วขณะ
เธอจำได้ ในตอนที่พี่ชายสู้กับนักเลงพวกนั้น ปากก็เอาแต่สบถคำดุร้ายออกมา “น้องสาวฉันฉันแกล้งได้คนเดียว ใครกล้ามาแกล้งน้องฉัน ฉันจะเล่นมันให้ตาย!”
และเธอก็จำแววตาของพี่ชายตอนที่พูดคำเหล่านี้ออกมาได้มันโหดร้ายเหมือนหมาป่า ราวกับว่าสามารถกัดทุกคนที่อยู่ในสายตาให้ตายในขณะนั้นได้ หญิงสาวนั่งตัวตรงนิ่งๆอยู่บนโซฟาสามชั่วโมงเต็มๆ
แววตาของเธอว่างเปล่า มองไม่เห็นความจริง เหมือนกำลังมองทะลุผ่านความว่างเปล่า ไปยังที่ไกลแสนไกล ราวกับเธอกำลังรำลึกถึงอะไรบางอย่าง มุมปากเดี๋ยวก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เดี๋ยวก็เม้มแน่น เหมือนเธอตกอยู่ในโลกของตัวเอง ความทรงจำไม่ได้สวยงามทั้งหมด แต่ก็ยังมีความทรงจำดีๆอยู่บ้าง
ในห้องรับแขกที่เงียบงัน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาอย่างถี่ๆ เธอสะดุ้ง ได้สติกลับมา แววตากลับเปลี่ยนเป็นเย็นชาและลุ่มลึก
เมื่อมองหน้าจอ ก็พบว่าเป็นเสิ่นซิวจิ่น
เธอไม่ได้กดตัดสาย แต่ก็ไม่ได้กดรับสาย
เธอลุกขึ้นจากโซฟาเงียบๆ แล้วหยิบกระเป๋าเดินไปทางห้อง
แต่จู่ๆก็หยุดฝีเท้าลง บริเวณหน้าห้องมีรองเท้าสลีปเปอร์วางอยู่คู่กัน
เธอยืนตรงอยู่อย่างนั้น หลุบตามองรองเท้าคู่รักอยู่สักพัก
เธอนิ่งเงียบราวกับเป็นท่อนไม้
เวลาเหมือนผ่านไปอย่างช้าๆ ในที่สุดหญิงสาวก็ขยับตัว เธอค่อยๆทรุดตัวลง ยื่นมือออกไปหยิบรองเท้าสองคู่นั้น เดินกลับมาที่ห้องรับแขก แล้วโยนทิ้งลงถังขยะ
เธอหันหลังเดินมาที่เคาน์เตอร์ หยิบแก้วน้ำที่เป็นของคู่กันทิ้งลงถังขยะ
แปรงสีฟัน ผ้าขนหนู ในห้องน้ำ รวมไปถึงของทุกอย่างที่เป็นของคู่กัน ต่างก็โยนทิ้งลงถังขยะทั้งหมด
เมื่อเห็นขยะที่แทบจะล้นออกมา หญิงสาวก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าถังขยะ ริมฝีปากสีอ่อน แสยะเป็นรอยยิ้มเยาะ…….มิน่าล่ะ ทำไมเขาถึงแกล้งโง่
ดูสิ นี่ไม่ใช่การค่อยๆยึดครองชีวิตเธอทีละนิดเหรอ?
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ของใช้ในบ้านเป็นของคู่กันเยอะขึ้นเรื่อยๆ เธอไม่ได้สังเกตเลย
ถ้าวันนี้ไม่ได้จัดแยกออกมา บางที เธออาจจะไม่รู้ไปตลอดชีวิตเลยก็ได้
เธอหลังกลับ เดินจากไป ไม่หลงเหลือความอาวรณ์ใดๆ