“ครึ่งชั่วโมงหลังจากนี้ จะมีคนมาช่วยเธอออกแบบสไตล์”
พูดจบ ก็ปิดประตูไปเงียบๆ
มองประตูบานนั้นที่ปิดไป เจี่ยนถงก็กำหมัดแน่น…ทำไมมันถึงก้าวมาถึงวันนี้จุดนี้ได้!
ทำไมหลังจากเกิดเรื่องขึ้นมากมายขนาดนี้ เขาถึงยังสามารถสงบนิ่งได้เช่นนี้?
ทำไมต้องกักขังเธอไว้ในคฤหาสน์สวยหรูนี้ด้วย!
จนถึงปัจจุบันนี้ ซูเมิ่งกลายเป็นเพียงทางเดียวที่เธอสามารถติดต่อโลกภายนอกได้
เธอนั่งใจลอยอยู่หน้าหน้าต่าง สามารถมองเห็นกว่าครึ่งหนึ่งของคฤหาสน์นี้ ประตูเหล็ก2บานที่มีความทรงจำเด่นชัดนั้นก็เปิดกว้างออก ปล่อยให้รถที่ทำงานวิ่งเข้ามา
หน้าต่างนั้นเปิดออกให้มีช่อง รถนั้นส่งเสียงเครื่องยนต์ดังออกมา ทั้งยังมีเสียงเบรกรถ เสียงดับเครื่อง หลังจากนั้นพ่อบ้านชราก็พูด”ตามฉันมา”สามคำทื่อๆ เจี่ยนถงที่นั่งอยู่หน้าหน้าต่าง เมื่อได้ยินประโยคนั้น ในหัวของเธอก็ปรากฏภาพใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของพ่อบ้านเซี่ยขึ้นมาชัดเจน
เธอหันตัวไปทันทีพร้อมลุกขึ้นและวิ่งไปยังประตูห้องนอน วางนิ้วไว้บนที่จับประตู เสียง”แครก”ดังขึ้น ดึงประตูเปิดแล้ววิ่งออกไปข้างนอก
ทางที่เธอวิ่ง เธอจำได้ ห้องหนังสือของเขา…เธอกำลังวิ่งไปทางห้องหนังสือ วิ่งจนหอบเล็กน้อย
เปิ้ง!
เสียงประตูกระแทกกับผนังอย่างแรง
“เสิ่นซิวจิ่น ฉันไม่ไป!”
ในห้องหนังสือ เหมือนเมฆหมอกบดบัง เขานั่งอยู่ในห้องหนังสือเช่นเดิมกำลังดูดบุหรี่อยู่ในมือ ตอนที่ประตูถูกกระแทกเปิดมาพร้อมเสียงดังที่ลอยมา ปลายก้นบุหรี่ที่คีบในมือก็เอียงเล็กน้อยจากนั้นก็ตกลงพื้นไปอย่างรวดเร็ว
นัยน์ตาดำขลับนั้น มองไปที่ร่างของเธอที่ยื่นอยู่หน้าประตู มองเธอที่กำลังหายใจหอบ “เธอวิ่งมาเหรอ?” ปากบางนั่นเอ่ยถามเบาๆ
“ฉันไม่ไป!” เธอจ้องเขม็งไปที่เขา ไม่ตอบคำถามแต่กลับยิ่งแสดงความปรารถนาของตัวเองอย่างหนักแน่น
“ฉันถามเธอ เธอวิ่งมาจากห้องนั้นเหรอ?” ดวงตาราวกับเหยี่ยวนั้นจ้องไปที่เธอที่ยืนอยู่ตรงประตู สายตานั้นเด็ดขาด
เจี่ยนถงไม่ได้สนใจ จะวิ่งมาหรือไม่ได้วิ่งมา ยังไงก็มาที่นี่อยู่ดีนี่ มันเกี่ยวอะไรกันเหรอ? สำคัญไหม?
สิ่งที่สำคัญตอนนี้คือ…
“ฉันบอกว่า! ฉันไม่อยากไป!”
“ฉันจะถามเธอครั้งสุดท้าย เธอวิ่งมาจากทางห้องนั้นเหรอ?” สายตาเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น จ้องตรงเขม็งไปที่เธอที่อยู่หน้าประตู
เหมือนเมฆหมอกปกคลุม สายตานี้ที่โดนละอองควันปกคลุมอยู่นั้น กะพริบด้วยความโกรธ
เธอที่ยืนอยู่ตรงประตู กัดเม้มปากแน่น พลังงานความขู่เข็ญนั้นแผ่กระจายออกมารอบตัวจากร่างของเขาที่นั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือนั้น พุ่งตรงมาที่เธอจนรู้สึกหายใจติดขัด
แต่ แน่นอนว่าเธอยังคงดื้อรั้นอย่างที่สุด ยังคงกัดเม้มปากแน่น ยังคงยืนหยัดอย่างไม่ยอมแพ้อยู่ตรงหน้าประตูแบบไม่พูดไม่จา พร้อมแสดงท่าทีจ้องตรงเขม็งกลับไปที่เขาเช่นเดียวกัน
หัวใจเต้นเร็วขึ้นเร็วขึ้นราวกับจะกระเด็นออกมาจากอก กระตุ้นให้เบ้าตาตัวเองนั้นยิ่งแดงก่ำเข้าไปอีก แต่ยังคงดื้อรั้นอดทนไม่ยอมเอ่ยปาก พร้อมจ้องถลึงตากับเขากันอยู่เช่นนั้น
สองคนถลึงตาใส่กันไปมา ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นทันที ร่างสูงยาวนั้นก้าวเท้ายาวเดินมาทางประตูในทันที
เจี่ยนถงก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณ ชายคนนี้ยังคงเหมือนเมื่อก่อน…ไม่สิ เขาดูดุดันยิ่งกว่าเดิมเสียอีก!
ถอยไปครึ่งก้าว ก็เหมือนเธอจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เธออยากจะตีหัวตัวเองซะจริงๆเลย ทำไมถึงใจร้อนแบบนี้ ทำไมถึงต้องยั่วยุเขา?
เธอหมุนตัวกลับ เตรียมจะวิ่ง
แต่มือข้างหนึ่ง ก็ค่อยๆจับที่ไหล่เธอไว้จากทางด้านหลังอย่างมั่นคง เสี่ยงต่ำของเขานั้นก็ลอยเข้ามาที่ข้างหู “คิดจะวิ่งไปไหน?”
เธอไม่พูดอะไรพร้อมกับเอียงหัวไปข้างหนึ่ง นั่นก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนแล้ว
เขายิ้มอ่อนหัวเราะเยาะ ทันใดนั้นเขาก็อุ้มร่างเธอขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน พร้อมก้าวเท้ายาวตรงไปยังห้องนอน
พอมาถึงประตูห้องนอน คิดไม่ถึงว่าพ่อบ้านชราได้จัดคนมาไว้แล้วรอคอยอยู่ตรงหน้าประตู กำลังจะผลักเปิดเข้าไป
“คุณ…ผู้ชาย?” พ่อบ้านชราเป็นคนแรกที่เห็นเสิ่นซิวจิ่น แววตานั้นปรากฎความร้ายกาจขึ้นมาแวบหนึ่ง พร้อมไล่ลงมองไปที่มือของเสิ่นซิวจิ่น สายตาชรานั้นก็กระตุกประกายวับ
“อือ” เสิ่นซิวจิ่นส่งเสียงนิ่งๆ พร้อมเดินเข้าไปในห้องนอน
ถ้าไม่มีคำสั่งจากเขา ก็ห้ามใครเข้ามาในนี้ พุ่งพรวดเข้าไปในนั้นอย่างโง่เขลา ปกติแล้วก็ไม่มีใครหันหลังกลับออกมาได้เองเช่นกัน
กลุ่มคนที่จัดเตรียมมานั้นรออยู่ที่หน้าห้อง เมื่อประตูใหญ่เปิดออก ก็ไม่มีใครกล้าแอบมองเข้าไปในห้องการจัดงานเลี้ยงครั้งนี้ คนแต่ละคนที่มาล้วนเป็นคนสำคัญๆ ใครที่หยอกได้ใครที่หยอกไม่ได้ เรื่องอะไรที่สามารถทำได้ เรื่องอะไรทำไม่ได้ ต้องควบคุมใจตัวเอง
เสิ่นซิวจิ่นโยนเธอลงบนเตียง ไม่รอให้เธอลุกขึ้นมาได้ เขาก็นั่งลงบนเตียงที่ปูไว้ เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาที่นั่งอยู่ตรงขอบเตียง มือข้างหนึ่งจับขาข้างซ้ายของเธอยกขึ้น
เธอหน้าซีดทันที สายตามองไปทางประตู…คนเยอะขนาดนี้! ไม่ใช่ว่าเขาคิดจะ…
คิดคาดเดามาถึงตรงนี้ สีหน้าของเจี่ยนถงก็ยิ่งซีก เธอยื่นขาเตรียมจะเตะ
เวลานี้ แรงที่จับอยู่ที่ข้อเท้าเธอ ก็ยิ่งรัดแน่น เขาหันหน้ามาเหลือบตามองเธอ สายตามองเตือนนั้นมีความหมายชัดเจน
เจี่ยนถงใจสั่น กัดฟันแน่นพร้อมกับคิดจะควบคุมเท้าเตะไปทางขาคู่นั้นของเขา
มือยาวของเสิ่นซิวจิ่นนั้นคว้าจับข้อเท้าเธอไว้ พร้อมค่อยๆยกขึ้น…การกระทำนี้! เจี่ยนถงกัดเม้มปากแน่น ใบหน้าซีดจนไร้สีเลือด
เสิ่นซิวจิ่น ถ้าคุณอยากให้ฉันอับอายนี่ก็อับอายพอแล้ว!
สายตาหลายคู่ด้านนอกนั้น…เจี่ยนถงเพียงรู้สึกว่าเวลานี้ อยากจะตายไปซะให้รู้แล้วรู้รอด ไม่ก็กัดคนตรงหน้านี้ให้แหลกเป็นชิ้นๆซะ!
เธอหลับตาลง!
แต่สายตาพวกนั้น แววตาอับอายพวกนั้น มันยังคงกระจัดกระจายอยู่ในหัวสมองเธอเต็มไปหมด!
ร่างนั้นสั่นไปทั้งตัว
“ขอร้อง…”ความเคยชินที่เคยอธิษฐานขอการยกโทษตลอดสามปีในคุกนั้น เวลานี้ เธอเอ่ยปากร้องขออยากไม่รู้ตัว เพียงแค่คำว่า”ขอ”ที่เล็ดลอดออกมาเบาๆจากปากเธอเมื่อครู่ มันทำให้ได้สติทันที
ร่างที่ดื้อรั้นไม่มีใครเทียบนั้นบีบรัดผ้าปูเตียงไว้แน่น!
เคยบอกว่าจะไม่ขอร้อง ก็จะไม่ขอร้อง!
ร่างนั้นยังคงสั่นเทาอย่างแรง เธอรู้ตัวว่าตัวเองในตอนนี้ ดื้อรั้นจนไม่ยอมที่จะเอ่ยปากขอร้องเขา และควบคุมตัวเองไม่ให้ยอมอ่อนข้อให้เขา
แต่ร่างกายที่ควรจะตายไปนี้!
แต่ร่างที่ควรจะตายไปในคุกเมื่อสามปีก่อน ร่างที่ถูกตราหน้าว่า”เลวทรามต่ำช้า”! เธอรู้ตัวว่าเธอกลัว ทั้งยังพยายามอย่างที่สุดที่จะเกลี้ยกล่อมตัวเอง “เงยหน้าขึ้น ไม่ต้องกลัว ยืดอกเข้าไว้ ไม่มีอะไรที่จัดการไม่ได้”
เธอเกลี้ยกล่อมตัวเองไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ร่างกายที่สมควรตายไปในคุกเมื่อสามปีที่แล้วนี้กำลังสับสน จำไว้ว่าถ้าหากขอร้อง ถ้าหากอ่อนน้อม ถ้าหากด้อยค่า ถึงจากสามารถพาร่างกายนี้ให้สงบสุขได้ แต่เธอไม่มีวิธีที่จะควบคุมจิตใจตัวเองให้ได้เหมือนกับร่างกาย!
เหมือนกับหุ่นยนต์ที่ทำความสะอาดพื้น เมื่อเจอสิ่งกีดขวาง ก็จะเริ่มทำงานทันที
เธอควบคุมร่างกายให้อ่อนน้อมต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว!
สิ่งเดียวที่สามารถทำได้ คือกัดปากเม้มแน่น เม้มปากไว้ก็จะสามารถควบคุมไม่ให้คำขอร้องนั้นหลุดออกมาได้
เธอหลับตาอย่างแน่วแน่ ภายใต้สายตาหลายคู่ของกลุ่มคนมากมายที่อยู่หน้าประตูนั้น ขอเธอก็ค่อยๆยกขึ้นทีละน้อย