“นายมาทำอะไรที่นี่?” ห้องแห่งหนึ่งในคฤหาสน์ตระกูลเสิ่น เสิ่นยีกำลังลื้อกล่องและลิ้นชักอยู่ในนั้น พ่อบ้านเซี่ยถือถาดอยู่ในมือ ยืนอยู่หน้าประตู มองเสิ่นยีอย่างเย็นชาพักหนึ่ง แล้วจึงเรียกให้หยุด
เสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน เสิ่นยีตกใจเล็กน้อย วินาทีต่อมาก็หันหน้าไปมอง “อา~นายเองเหรอ”
คิ้วสีเทาของพ่อบ้านเซี่ยขยับเล็กน้อย สายตาขยับลงทีละนิ้ว สายตาตกลงบนสมุดในมือของเสิ่นยี “ในมือนายถืออะไรอยู่?”
“อ๋อ นายหมายถึงนี่เหรอ ก็สมุดบันทึกการติดต่อสื่สารของห้องเรียนคุณเวยเหมิงไม่ใช่เหรอ?”
“นายจะเอาไปทำอะไร?”
“แน่นอนว่า…..” เสิ่นยีกำลังจะอธิบาย อีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเรียกเขา “เสิ่นยี เร็วหน่อยสิ พวกพ้องรอคุยธุระกับพี่อยู่” เมื่อเงยหน้า เสิ่นเอ้อก็เดินมาทางเขากับพ่อบ้านเซี่ย
เสิ่นยีไม่โง่ พวกพ้องไม่ได้นัดกับเขาไว้ ธุระมาจากไหน? นั่นคือเสิ่นเอ้อจงใจขัดจังหวะเขากับพ่อบ้าน…..ครุ่นคิดเล็กน้อย ก็เข้าใจแล้ว “อืม” พูดตอบไป “พ่อบ้านเซี่ย ฉันยังไม่ธุระต้องไปทำ ไว้คุยกัน”
พ่อบ้านเซี่ยหลายสิบปีก็เหมือนวันเดียว บนใบหน้าแก่เฒ่าเคร่งขรึม เผยสีหน้าครุ่นคิด ลูกตาสลัวขยับ “สมุดบันทึกของเวยเหมิง…..เขาจะเอาของสิ่งนี้ไปทำอะไร?”
ในใจเกิดความสงสัย พ่อบ้านเซี่ยหันตัวก้าวเท้ายาว ไม่ใช่ไล่ตามเงาของเสิ่นยีเพื่อถามให้ชัดเจน แต่เดินอย่างรวดเร็วไปที่ห้องนอนของตนในคฤหาสน์
เข้ามาในห้องนอนของตน พลิกมือล็อกประตู คิ้วขมวดแน่น ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หยิบมือถือออกมาทันที กดเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่ได้โทรหามานาน
ฝั่งปลายสายส่งเสียงเย้นหยันอย่างขี้เกียจ “โอ้ ฉันก็ว่าใครโทรมา พ่อบ้านเซี่ยคุณมีอะไรเหรอ?” เห็นได้ชัด เจ้าของเสียงปลายสายโทรศัพท์ มีความดูถูก ต่อพ่อบ้านเซี่ยคนนี้
พ่อบ้านเซี่ยคิ้วล็อกแน่น ไม่สนใจการเย้ยหยันที่เผยความดูถูกของปลายสาย รีบเอ่ยปาก “เมื่อกี้เสิ่นยีเข้าไปในห้องอเนกประสงค์ หยิบสมุดบันทึกของเวยเหมิงออกมา ผิดปกติเกินไป แกต้องช่วยหน่อย ดูว่าเขาจะทำอะไรกันแน่”
“ฮิฮิ~ตาแก่เซี่ย แกก็รู้อยู่แก่ใจ เสิ่นยีเป็นคนของเขา เสิ่นยีผู้คุ้มกันคนหนึ่ง ปกติแล้วจะไม่มาหายสมุดบันทึกโดยไม่มีเหตุผลความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวที่ทำให้เสิ่นยีทำแบบนี้ ก็เพราะเจ้านายเขาสั่งภารกิจใหม่ให้กับเขา”
ในเวลานี้ บนใบหน้าแก่เฒ่าของพ่อบ้านเซี่ยเผยความโกรธที่ยากจะควบคุม ตะโกนใส่ปลายสายด้วยความโมโห “เวยเหมิงตายไปแล้ว!”
เวยเหมิงก็ตายไปแล้ว เป็นฝุ่นเถ้าธุลีไปแล้ว!
แล้วยังจะพลิกสมุดบันทึกในตอนนั้นเพื่ออะไรอีก!
“พอแล้ว ตาแก่เซี่ย ฉันไปช่วยดูให้แก ว่าเจ้านายของบ้านแก คิดจะทำอะไรกันแน่” ขณะที่พูด จู่ๆคนปลายสายก็ยิ้มออกมาเบาๆ “แต่ฉันว่านะ ตาแก่เซี่ย แบบนี้แกไม่ถือว่าทรยศเหรอ?”
มีที่ไหนคนใช้ในบ้านติดตามตรวจสอบเจ้านายตัวเองลับหลัง?
ใบหน้าพ่อบ้านเซี่ยดำมืด แผดเสียงอย่างหยาบคาย “สนใจเรื่องของแกให้ดีเถอะ ฉันจะบอกแกให้ ลู่หมิงชู ไม่มีใครสะอาดไปกว่าใคร ด้านหลังก้นล้วนแต่ติดไข่มูลลา จุดประสงค์แกไม่บริสุทธิ์ แต่ฉัน ก็เพื่อลูกสาวที่น่าสงสารของฉันที่เสียชีวิตตั้งแต่ยังเยาว์”
ลู่หมิงชูยิ้มใส่ปลายสายอย่างไร้เสียง ไม่รู้ว่ากำลังยิ้มอะไรอยู่ ในลึกลงไปในดวงตา เห็นได้ชัดว่าดูถูกและเหยียดหยามพ่อบ้านเซี่ย…..พูดได้น่าฟัง เพื่อลูกสาวที่เสียชีวิตตั้งแต่ยังเยาว์ของตน เรื่องเหล่านั้นที่ทำลับหลัง มีเรื่องไหนที่น่ากลัวน้อยกว่าอาชญากรรมที่ลูกสาวสุดที่รักของเขาต้องทนทุกข์ถึงสิบเท่า?
แต่ว่า เรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับเขา
บนโลกมีคนน่าสงสารมากมาย หรือให้เขาเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือทีละคนเหรอ?
จะโทษก็โทษที่ยัยแซ่เจี่ยนนั่นเคราะห์ร้าย ทำไมถึงมารู้จักนังงูพิษอย่างเซี่ยเวยเหมิงได้!
“ตาแก่เซี่ย แกก็อย่าพูดขัดขาฉัน เรื่องมีประโยชน์ฉันจะทำ เรื่องไม่มีประโยชน์ฉันไม่พูด”
พ่อบ้านเซี่ยหรี่ตาลง เมื่อได้รับคำรับปากจากลู่หมิงชู ในใจก็สงบลง แต่ก็ยังจะปลุกใจเป็นพิเศษ “แกเห็นแก่ความระทมทุกข์ของคนหัวหงอกที่ส่งถึงคนผมดำอย่างฉัน หมิงชู แกควรจะเข้าใจความเจ็บปวดที่สูญเสียผู้หญิงที่รัก สูญเสียคนและสิ่งของที่สำคัญกับตนมากไป ความรู้สึกแบบนั้น…..
หมิงชู เดิมทีแกไม่ควรแซ่ลู่ เดิมทีแกควรจะเปล่งประกายสดใส…..”
“หุบปาก!” ฝั่งปลายสาย ลู่หมิงชูขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน “ตาแก่เซี่ย แกคิดว่าแกเป็นใคร? แกคิดว่าหมาที่ตระกูลเสิ่นเลี้ยงดูมาอย่างแก จะชี้มือชี้ไม้ใส่ฉันได้เหรอ!
ฉันนามแซ่อะไร เกี่ยวอะไรกับแก!
ฉันนามแซ่อะไร ฉันก็เปล่งประกายได้! ไม่เกี่ยวอะไรกับนามแซ่ฉันสักนิด!”
“ปัง!”
มือถือในมือของลู่หมิงชู กระแทกอย่างแรงบนโต๊ะทำงาน แววตามืดมน!
ใบหน้านั้น ไม่ว่าดูยังไง ก็ดูคุ้นเคย บนโต๊ะทำงานของเขา มีกรอบรูปกลับด้านวางอยู่ ลู่หมิงชูหยิบกรอบรูปขึ้นมา รูปภาพในกรอบนั้น เข้าสู่สายตาทันที!
“เสิ่นซิวจิ่น!” เขากัดฟันกราม แววตาเกลียดชัง ราวกับจะล้นออกมาจากเบ้าตา เสียง“ผัวะ”ดังขึ้น หมัดของเขากระแทกลงบนโต๊ะทำงานไม้สักสีทอง ลมหายใจเย็นยะเยือกขึ้นเรื่อยๆ คำสามคำผุดออกมาจากหลังฟัน “คอยดูเถอะ!”
ทันใดนั้นก็ยืนขึ้น ร่างของเขาสูงมาก เทียบได้กับความสูงของเสิ่นซิวจิ่น หยิบกุญแจรถบนโต๊ะขึ้นมา ออกประตูไปอย่างรวดเร็ว
……
อีกด้านหนึ่ง เสิ่นยีและเสิ่นเอ้อเดินคู่กัน “ทำไมเมื่อกี้แกไปอยู่ที่นั่น?”
เสิ่นยีถามเสิ่นเอ้อ แต่อันที่จริงไม่ได้จะถามว่า เสิ่นเอ้อทำไมจู่ๆไปปรากฏตัวอยู่ที่นั่น ที่เสิ่นยีถามจริงๆคือ แกเสิ่นเอ้อเมื่อกี้ทำไมห้ามไม่ให้ฉันบอกความจริงกับพ่อบ้านเซี่ย
“พี่ใหญ่” เสิ่นเอ้อชะงักฝีเท้า เผชิญหน้ากับเสิ่นยี “พี่ไม่รู้จริงๆหรือแกล้งไม่รู้? ในเมื่อเรื่องที่Bossให้พี่ตรวจสอบ เป็นเรื่องเมื่อสามปีก่อนนั่น งั้นแน่นอนว่ามันต้องพัวพันกับเซี่ยเวยเหมิง พ่อบ้านเซี่ยเป็นพ่อของเซี่ยเวยเหมิง หนีความเกี่ยวข้องยาก
เมื่อกี้…..เมื่อกี้ถ้าไม่ได้ฉันขัดจังหวะพี่กะทันหันนะ พี่ใหญ่” ใบหน้าที่แข็งแกร่งของเสิ่นเอ้อ ยิ่งเคร่งขรึมมากขึ้น จ้องเสิ่นยีที่อยู่ตรงหน้า “เมื่อกี้พี่ คิดว่าถ้าผิดก็ผิด จะบอกความหมายของBoss ต่อพ่อบ้านเซี่ยโดยไม่ส่งเสียงใช่ไหม?”
สีหน้าเสิ่นยีเปลี่ยนไปกะทันหัน แข็งนอกอ่อนใน ตะคอกเสียงดัง “แกพูดมั่วอะไร! ฉันจะไปจงใจบอกพ่อบ้านเซี่ยเรื่องที่Bossจะตรวจสอบคดีเมื่อสามปีก่อนอีกครั้งได้ยังไง!”
ทันทีที่พูดจบ บนใบหน้าแข็งนอกอ่อนในของเสิ่นยี การแสดงออกบนใบหน้าก็เปลี่ยนไปทันที! “ฮะ”ไปครั้งหนึ่ง สีเลือดถูกดึงออกจากใบหน้า! ……เขาไม่กล้าสบตากับเสิ่นเอ้อ บนใบหน้าเสิ่นเอ้อแสดงออกว่า “อย่างนี้นี่เอง”!
เสิ่นยีกัดฟันเสียงดัง “กรอด”….. “แกหลอกถามฉัน?”
“พี่ใหญ่ ถ้าพี่เป็นเพราะประมาทจริงๆ ไม่ได้เข้าใจอย่างชัดเจนถึงความสัมพันธ์ของพ่อบ้านเซี่ยกับเรื่องนี้ แล้วพลั้งปากพูดไป ฉันจะหลอกถามพี่ด้วยประโยคเดียวได้ยังไง?
เมื่อกี้ตัวพี่เองพูดว่าอะไร? พูดว่าพี่จะไปจงใจบอกพ่อบ้านเซี่ยเรื่องที่Bossจะตรวจสอบคดีเมื่อสามปีก่อนอีกครั้งได้ยังไง? …..พี่ก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ควรให้พ่อบ้านเซี่ยรับรู้?
พี่ใหญ่ ฉันรู้ว่าปีนั้นที่คุณเวยเหมิงลาโลกไป พี่เองก็เศร้าใจ…..แต่ว่าพี่ใหญ่! ต่อให้คุณเวยเหมิงยังมีชีวิตอยู่ พี่กับเธอก็เป็นไปไม่ได้!”
ใบหน้าเสิ่นยีซีดขาว “หุบปาก! ฉันไม่เคยมีความปรารถนาต่อคุณเวยเหมิง! แกอย่าพูดไร้สาระอีก!”
“พี่ใหญ่พี่บอกพี่ไม่เคย แล้วทำไมพี่ถึงต้องมุ่งเป้าไปที่คุณเจี่ยนซ้ำแล้วซ้ำเล่า?”
ใบหน้าเสิ่นยีเผยความดุร้าย “ฉันก็แค่ไม่พอใจผู้หญิงคนนั้นอาศัยสถานะของตัวเอง ทำเรื่องชั่วช้าเลวทราม ทำร้ายชีวิตคน บนโลกนี้คนดีอายุไม่ยืน คนที่เป็นตัวหายนะอายุพันปี!”
“พอแล้ว! พี่ใหญ่! Bossให้พี่ไปตรวจสอบเรื่องในปีนั้น แปลว่าBossเชื่อว่าเรื่องในปีนั้นมีบางอย่างซ่อนเร้น……ตอนนี้พี่ตัดสินโทษคุณเจี่ยน มันไม่สมเหตุสมผลเกินไปหรือเปล่า?” เสิ่นเอ้อมองไปที่เสิ่นยีด้วยความโศกเศร้า
“พี่ใหญ่ เรื่องในวันนี้ ฉันจะไม่ปริปากพูด แต่พี่ต้องลดอคติลง ตรวจสอบเรื่องในปีนั้นอย่างจริงจัง”
เสิ่นยีมองเสิ่นเอ้อย่างลึกซึ้ง “ฉันไม่ได้ทำอย่างนั้น เรื่องที่Bossสั่งฉัน ฉันจะทำอย่างจริงจัง! ส่วนจะตรวจสอบได้เยอะแค่ไหน ฉันไม่รู้
ผ่านมาสามปี เรื่องเมื่อปีนั้นหาไม่ง่าย อันธพาลพวกนั้นก็ไม่เห็นร่องรอย คนที่รู้เหตุการณ์ก็มีแค่เจี่ยนถงผู้หญิงคนนั้นแล้ว สถานที่เดียวที่สามารถลงมือได้ บางทีเพื่อนร่วมชั้นของคุณเวยเหมิงในปีนั้นอาจจะรู้อะไรบ้าง”
……
เสิ่นยีอาศัยสมุดบันทึก โทรนัดเจอทีละคน
ในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง หญิงสาวสามสี่คนนั่งอยู่บนโต๊ะกาแฟหนึ่ง ในโต๊ะเดียวกันยังมีผู้ชายในชุดสูท ผู้ชายคนนี้ก็คือเสิ่นยี
“พวกเธอลองนึกดูอีกที ตอนนั้นมีเรื่องอะไรพิเศษหรือเปล่า เซี่ยเวยเหมิงได้พูดอะไรไว้ไหม?”
หญิงสาวสี่คนขมวดคิ้วไม่คลาย “ไม่มี จำไม่ได้แล้วจริงๆ”
โต๊ะของพวกเขาติดกับหน้าต่าง เป็นห้องส่วนตัวที่เปิดครึ่งหนึ่ง ไม่รู้เลยว่า ในห้องส่วนตัวติดกัน มีชายขายาวมือยาวนั่งอยู่ เล่นแก้วกาแฟในมือด้วยความสง่า แต่ฟังบทสนทนาของห้องถัดไปอย่างสบายใจ
เสิ่นยีเม้มริมฝีปาก ลุกขึ้นยืน “เอางี้แล้วกัน พวกเธอกลับไปนึกให้ละเอียดอีกที ถ้าคิดอะไรออกขึ้นมา ก็โทรมาที่เบอร์นี้” นามบัตรไม่กี่ใบส่งไปให้หญิงสาวทั้งสี่ “ฉันไปก่อนล่ะ ฉันได้เช็คบิลเรียบร้อยแล้ว พวกเธอค่อยๆกิน”
เสิ่นยีเดินผ่านห้องด้านข้าง แต่กลับไม่เห็นคนที่อยู่ข้างใน
ลู่หมิงชูโค้งริมฝีปากเบาๆ มุมปากเผยรอยยิ้มเยาะเย้ย…..เสิ่นซิวจิ่น เพื่ออะไรกัน?
ในเมื่อรู้ว่าวันนี้จะเกิดความรู้สึก ทำไมต้องชั่วร้ายตั้งแต่แรก?
ลู่หมิงชูเป็นคนแบบไหน? นี่ยังเป็นตัวหลักที่ฉลาดอีกด้วย เพียงแค่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมด ก็สามารถคาดเดาเรื่องราวต่างๆได้ ตัวอย่างเช่น จากการกระทำของเสิ่นยีทั้งหมด ก็สามารถเดาได้ว่า เสิ่นซิวจิ่นเริ่มมีความรู้สึกต่อเจี่ยนถงแล้ว
“ตอนแรกนึกว่า ‘เด็กดี’ที่หน้านางฟ้าแต่ใจงูพิษนั่นเป็นจุดอ่อนของแกเสิ่นซิวจิ่น แต่ที่แท้คือฉันคิดผิด” มิน่าล่ะ…..มิน่าล่ะ ‘เด็กดี’ตายไปก่อนวัยอันควร ไอ้แซ่เสิ่นถึงไม่สนใจไยดี
“กลับกลายเป็นว่าฉันคิดผิด” แดกดันเบาๆ “ก็ดี ก็ดี”
หยิบมือถือขึ้นมา “ตรวจเจอแล้ว เจ้านายของบ้านแกเกรงว่าจะมีใจให้ฆาตกรสาวของแกจริงๆแล้ว”
ยังไม่ทันพูดจบ ในหูก็มีเสียงทำของตกเพล้งดังสวนมา
ปลายสาย มือของพ่อบ้านเซี่ยอ่อนลง มือถือได้ไม่มั่นคง ลื่นตกลงไปที่พื้น รูม่านตาขยาย หายใจลำบาก ริมฝีปากเป็นสีม่วง…..หลังจากนั้นสักพัก ก็ก้มตัวลงอย่างสั่นเทา หยิบมือถือขึ้นมาจากพื้น “เสิ่นยีกำลังตรวจสอบเรื่องในปีนั้น”
ประโยคนี้ของพ่อบ้านเซี่ยเป็นประโยคบอกเล่า ไม่ใช่ประโยคคำถาม
“ฮ่า ~” ลู่หมิงชูเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “จะตรวจสอบเรื่องในปีนั้นออกมาได้หรือไม่ ฉันก็ไม่รู้ แต่ในเมื่อจะตรวจสอบเรื่องในปีนั้น ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะตรวจดูเรื่องในสามปีนี้ ตาแก่เซี่ย แกต้องรีบแล้ว เช็ดเก๊กฮวยเก่าของแกให้สะอาดซะ”
พูดจบ ก็ตัดสายไป
เรื่องในสามปี งั้นก็จะตรวจสอบเรื่องอื้อฉาวในคุกด้วย
นี่มัน……เป็นเรื่องที่สกปรก!
พ่อบ้านเซี่ยรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
เขารู้ดี ต้องแข่งขันกับเวลาในตอนนี้!
แล้วสิ่งที่เขาพึ่งพาในตอนนี้ ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าความหมายในการดูแลเสิ่นซิวจิ่นในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ความเชื่อใจในตัวเขาของเสิ่นซิวจิ่น
เมื่อความเชื่อใจพังทลาย…..พ่อบ้านเซี่ยไม่กล้าจินตนาการ ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น!