บทที่ 45
ปราการหลิงหยวน
เพราะว่าคนคนนี้นั้นไม่ใช่ศิษย์ผู้มีความสามารถของปราการหลิงหยวนอีกต่อไปแล้ว รวมไปถึงเขาเองก็ไม่ได้ดั้งด้นฝึกฝนให้เก่งกาจดังแต่ก่อนด้วย เพราะงั้นแล้วต่อให้เป็นเฉินเชียนซิงหรือไม่ก็ใครก็ตามที่มีวรยุทธ์ติดตัว ต่างก็ไม่ได้เกรงกลัวอะไรเขากันทั้งนั้น
แต่ด้วยความหวังอันริบหรี่ที่จะกลับมาฝึกวรยุทธ์อีกครั้งหนึ่ง ซูฉีเจี่ยจึงต้องการเกราะเหล็กดำนี้เพื่อมาเสริมความแข็งแกร่งของเขา ถ้าเขาสามารถหาทางที่จะดึงพลังทั้งหมดของเกราะเหล็กดำมาใช้ได้ การที่จะฝึกฝนและกลับเข้าสู่หนทางของจ้าววรยุทธ์นั้นคงไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน
ดังนั้นหลังจากที่ได้สติกลับมา ซูฉีเจี่ยจึงตัดสินใจที่จะประมูลอีกครั้ง
“340,000!”
“350,000!”
“ข้าให้ 370,000 เหรียญทองเลย!”
หลังจากที่ได้เห็นการต่อสู้ที่ดุเดือดเช่นนี้ เย่เย่ก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แม้ว่าเขาจะใช้เหรียญจักรวาลเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้ชุดเกราะนี้ก็จริง แต่ตัวชุดเกราะน่ะ เขาได้มาเป็นของสมนาคุณจากระบบตั้งแต่แรกแล้ว เพราะฉะนั้นสำหรับของชิ้นนี้ เขาไม่ได้ลงทุนอะไรมากมายเลย ด้วยเหตุนี้เย่เย่จึงรู้สึกตื่นเต้นที่เห็นราคาของมันพุ่งขึ้นสูงระดับนี้
ในท้ายสุด ด้วยความเทหมดหน้าตักของซูฉีเจี่ย ชุดเกราะเหล็กดำก็ตกเป็นของเขาด้วยราคาสูงถึง 400,000 เหรียญทอง
ถึงแม้ว่าการคลังของเฉินเชียนซิงและคนอื่นๆจะมีมากกว่า 400,000 เหรียญทอง แต่พวกเขานั้นก็ไม่ได้อยู่อย่างสันโดษเช่นเดียวกับซูฉีเจี่ย ดังนั้น นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาไม่ได้เทหมดหน้าตักเพื่อสู้กับอีกฝ่ายและยอมปล่อยให้ชุดเกราะชิ้นนี้ตกเป็นของซูฉีเจี่ยไป
ซูฉีเจี่ยที่ได้ชุดเกราะมาครอบครองแล้วนั้นไม่เหลืออะไรสักอย่างแล้วในตอนนี้ ราคาที่เขาต้องจ่ายไปนั้นมันสูงถึงขนาดที่เขาต้องจ่ายด้วยที่ที่เขาอยู่อาศัยในย่านนี้ไปด้วยเพื่อให้เพียงพอต่อมูลค่าของสิ่งของชิ้นนี้ และในตอนนี้เขาก็ได้กลายเป็นคนไร้บ้านเรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อตอนที่เย่เย่นำชุดเกราะเหล็กดำนี้ไปส่งให้เจ้าของคนใหม่เรียบร้อยแล้ว เย่เย่ก็กลับไปหาซูฉีเจี่ย ณ ที่อยู่เดิมของเขาอีกครั้ง จุดประสงค์ที่เย่เย่ต้องการจะได้จากซูฉีเจี่ยนั่นก็คือข้อมูลเกี่ยวกับปราการหลิงหยวนนิดๆหน่อยๆแลกกับการที่ให้เขาสามารถอยู่ต่อในสถานที่แห่งนี้ได้โดยไม่ต้องกลายเป็นคนไร้บ้าน
“ปราการหลิงหยวน? ท่านเย่มีความคับข้องใจกับปราการหลิงหยวนงั้นหรือ?”
เมื่อได้ยินเย่เย่ยื่นข้อเสนอระดับนี้ ซูฉีเจียก็ตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นและถามเย่เย่กลับด้วยความอยากรู้
“พูดตามตรงเลยก็แล้วกัน ศัตรูเก่าข้าเพิ่งจะมาเป็นศิษย์ของปราการหลิงหยวนเมื่อไม่นานมานี้น่ะ ข้าเลยต้องการรายละเอียดเกี่ยวกับที่แห่งนี้เอาไว้เผื่อจะโดนล้างแค้นเฉยๆ”
เย่เย่ไม่ได้ปิดบังจุดประสงค์ใดๆของเขาเลย นั่นเพราะเขารู้สึกได้ว่าซูฉีเจี่ยนั้นไม่มีความรู้สึกดีๆหลงเหลือให้ที่แห่งนี้แล้ว และถ้าหากเขาพูดจุดประสงค์ไปตรงๆ อีกฝ่ายจะต้องไม่ปฏิเสธเขาแน่ๆ
“เช่นนั้นท่านเย่ก็ต้องระวังตัวแล้วล่ะ! คนที่สามารถเข้าร่วมกับปราการหลิงหยวนได้น่ะ ต้องเป็นคนที่มีความสามารถสุดๆ เป็นจ้าววรยุทธ์ที่เก่งกว่าใครๆ หากศัตรูท่านเป็นคนเช่นนั้น ที่แห่งนั้นจะต้อนรับและเป็นมิตรกับเขา พวกเขาไม่สนด้วยว่าเขาคนนั้นจะมาจากไหน แต่ข้าจะย้ำตรงนี้ไว้ว่า ทั้งหมดเป็นเพราะศัตรูของท่านคนนั้นแข็งแกร่งพอ แต่ถ้าเมื่อไหร่ศัตรูของท่านพลาดท่าและไม่สามารถกลับไปฝึกฝนวิชาได้อีก เขาก็จะถูกเฉดหัวส่งอย่างไม่ไยดี เพราะปราการหลิงหยวนน่ะ แท้จริงมันก็แค่สถานที่ที่เอาไว้บ้ายศบ้าอย่างนั่นแหละ!”
ขณะที่พูดนั้น ซูฉีเจี่ยตกลงไปในห้องแห่งความทรงจำแล้ว เย่เย่เองก็สังเกตได้ถึงร่องรอยของความกระอักกระอ่วนและไม่พอใจอยู่ในแววตาของอีกฝ่าย อย่างไรก็ตาม ซูฉีเจี่ยเองก็เหมือนจะรู้ตัวและรีบปกปิดเรื่องราวเหล่านั้นไว้ก่อนจะรีบบอกในสิ่งที่เขารู้แก่เย่เย่ในทันที
“ว่ากันว่า โจวจวน ผู้ปกครองปราการหลิงหยวนคนแรกนั้น ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้ติดตามของเจียงอู๋เจี๋ยน ทว่าจากนั้นไม่นานนัก ตัวตนของเจียงอู๋เจี๋ยนก็ถูกเปิดเผยโดยการหักหลังของ โจวจวน นั่นจึงทำให้เจียงอู๋เจี๋ยนถูกทัณฑ์สวรรค์ไล่ล่าจนตายไปในที่สุด ส่วนโจวจวนนั้นรอดตายมาได้เพราะเขาเลือกที่จะหักหลังเจียงอู๋เจี๋ยนเสียก่อน และหลังจากที่เขากลับมายังปราการ หลิงหยวน เขาก็กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของที่แห่งนี้ทันที”
แม้ว่าสิ่งที่ซูฉีเจี่ยเล่านั้นจะไม่ใช่ความลับระดับสุดยอดอะไรนัก หากแต่เพราะมันเกี่ยวข้องกับเจียงอู๋เจี๋ยน ผู้เป็นวิญญาณกลับชาติมาเกิดเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์ของแผ่นดินจักรพรรดิฉางหลาง เหล่าผู้คนในหลิงเฉิงจึงพยายามเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับและไม่พูดถึงมันอีก
เย่เย่นั้นเพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรกเลย เพราะฉะนั้นความรู้สึกของเขามันจึงฉงนกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
ถึงแม้ว่าตัวเขาเองจะยังไม่รู้ว่าสรุปแล้วตนเองเป็นวิญญาณกลับชาติมาเกิดหรือเปล่า แต่จากเรื่องที่ฟังนั้นมันค่อนข้างคล้ายกันมากๆจนเขาไม่กล้าปล่อยผ่าน เมื่อได้ฟังซูฉีเจี่ยพูดถึงเจียงอู๋เจี๋ยน เย่เย่ก็ตั้งใจฟังเพราะกลัวว่าจะพลาดข้อมูลสำคัญไปแม้แต่จุดเดียว
“ในตอนแรกนั้น ปราการหลิงหยวนจะรับก็แค่ผู้มีพรสวรรค์เท่านั้น พวกเขาไม่ค่อยมีข้อจำกัดกับลูกศิษย์เสียเท่าไหร่นอกจากนั้นแล้วพวกเขายังคอยให้กำลังใจกันเองจนทำให้ศิษย์ภายในปราการแห่งนี้มีอัตราการประสบความสำเร็จอย่างสม่ำเสมออีกด้วย ด้วยเหตุนี้แล้ว ปราการหลิงหยวนจึงกลายเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าผู้ฝึกตนที่มีพรสวรรค์กันถ้วนหน้า ถึงขนาดที่งานประจำปีของปราการหลิงหยวนนั้นกลายเป็นงานระดับเมืองได้เลยนะ เพราะอย่างนี้ปราการหลิงหยวนจึงเติบใหญ่ในด้านอิทธิพลจนกลายเป็น 1 ใน 5 ผู้ยิ่งใหญ่แห่งหลิงเฉิงนี้ได้”
ครั้นเมื่อซูฉีเจี่ยพูดถึงงานประจำปีของปราการหลิงหยวน ใบหน้าของเขาก็แสดงให้เห็นถึงความคิดถึงเรื่องเก่าๆออกมาอีก นั่นก็เพราะตัวเขาเองสามารถพัฒนาฝีมือได้อย่างรวดเร็วก็เพราะงานประจำปีที่หลิงหยวนจัดนั่นแหละ แถมยังเป็นที่นับหน้าถือตาจากเหล่าชนชั้นสูงในปราการหลิงหยวนด้วย ดังนั้นแล้วซูฉีเจี่ยจึงตัดสินใจเข้าร่วมกับปราการหลิงหยวนและกลายเป็นศิษย์ผู้มีพรสวรรค์จนชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งหลิงเฉิงในเวลาต่อมา
ส่วนคนอื่นๆที่แม้จะมีความสามารถแต่ไม่ได้เข้าร่วมกับปราการหลิงหยวน ตราบใดก็ตามที่พวกเขาสามารถแสดงศักยภาพออกมาได้ดีในงานประจำปีของหลิงหยวน พวกเขาเกือบทั้งหมดก็จะถูกเหล่าผู้ยิ่งใหญ่อื่นๆเข้ามาจับจองตัวไปฝึกเพื่อให้เป็นศิษย์ของฝ่ายนั้นๆต่อไป
เพราะฉะนั้นแล้ว สำหรับเหล่าผู้ฝึกตนหรือจ้าววรยุทธ์ภายในหลิงเฉิงนั้น งานประจำปีของหลิงหยวนก็เปรียบเสมือนบันไดขนาดใหญ่ที่จะสามารถส่งพวกเขาให้ก้าวข้ามประตูมังกรและเฉิดฉายอยู่บนสวรรค์แห่งชื่อเสียงได้ นอกจากนั้นแล้วงานนี้ยังเป็นสนามประลองที่เปิดให้เหล่าศิษย์จากฝ่ายใหญ่ๆที่เหลือได้มาประลองเพื่อหาผู้ที่ถือเป็น จ้าววรยุทธ์ที่เก่งกาจที่สุดแห่งยุคประจำหลิงเฉิงอีกด้วย
ขณะที่พูดถึงงานพบปะหลิงหยวนอยู่นั้น ซูฉีเจี่ยก็ได้พูดถึงลำดับขั้นต่างๆภายในปราการหลิงหยวนแห่งนี้ไปพลางๆ “ภายในปราการแห่งนี้ พวกเขาจะแบ่งเหล่าผู้มีพรสวรรค์ออกเป็นลำดับต่างๆ ซึ่งมีทั้งหมด 50 ตำแหน่ง เกือบๆ 30 คนจากในนั้นเป็นระดับศิษย์ประจำปราการกันหมด ด้วยจำนวนคนระดับนี้ มันแสดงให้เห็นเลยว่าปราการหลิงหยวนยิ่งใหญ่ขนาดไหนใน หลิงเฉิง”
หลังจากที่ฟังซูฉีเจี่ยแนะนำเรื่องต่างๆมามากมาย แววตาของเย่เย่ก็แสดงออกถึงความกังวล เขามั่นใจว่าหลินหยูฉีนั้นต้องเป็นที่สนใจจากปราการหลิงหยวนแน่ๆเพราะความแข็งแกร่งและความสามารถของตัวนางเอง ถ้าหากเมื่อไหร่ที่หลินหยูฉีรู้ว่าเย่เย่อยู่ที่หลิงเฉิงแล้ว เดี๋ยวนางก็คงจะยกศิษย์จากปราการ หลิงหยวนมาต้อนรับเขาอีกอย่างแน่นอน และนี่ไม่ใช่สิ่งที่เย่เย่อยากจะเจอสักเท่าไหร่
“ข้าไม่มั่นใจว่าข้อมูลที่ข้าให้ได้เหล่านี้จะเพียงพอต่อการที่ท่านเย่จะมอบที่ดินของข้าคืนหรือเปล่า?”
ซูฉีเจี่ยได้บอกเกือบจะทุกสิ่งทุกอย่างที่เขารู้เกี่ยวกับปราการหลิงหยวนให้แก่เย่เย่ไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงถามทิ้งทวนด้วยความใจเย็น
“ยิ่งกว่าพอเสียอีก! เอาเป็นว่าถ้าครั้งหน้าท่านไปหอการค้าหยูเย่ของข้าอีก ข้าจะให้ส่วนลดท่านเป็นพิเศษสำหรับความช่วยเหลือก็แล้วกัน!”
เย่เย่ยิ้มให้ซูฉีเจี่ย ในขณะที่ต่างฝ่ายต่างกำลังจะแยกจากกันนั้นเอง เขาก็เผอิญคิดอะไรขึ้นมาได้จึงรั้งอีกฝ่ายไว้ก่อน “เดี๋ยวก่อนนะ! ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด ตอนนี้ท่านก็เป็นจ้าววรยุทธ์ที่ไม่มีสังกัดใช่หรือเปล่า? จะว่าอย่างไรถ้าข้าเสนอให้ท่านมาเป็นยามรักษาการณ์ให้หอการค้าหยูเย่ของข้า? ข้าน่ะเป็นพวกชอบเก็บของหายากเรื่อยเปื่อย บางทีข้าอาจจะหาอะไรที่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บของท่านได้!”
ถึงแม้ว่าเย่เย่จะเป็นเจ้าของหอการค้าหยูเย่ก็จริง แต่ตัวเขานั้นคงจะไม่ได้เฝ้าร้านของเขาตลอดเวลาหรอก ดังนั้นแล้วเขาเองจึงต้องการยามที่เป็นจ้าววรยุทธ์ฝีมือฉกาจมาคอยดูแลหอการค้าแห่งนี้ แม้ในนั้นจะมีเสี่ยวหยูอยู่แล้ว แต่นางก็เพิ่งควบคุมเสถียรของวรยุทธ์ภายในกายได้ไม่นาน เช่นนั้นนางไม่น่าจะรับมือจากเหล่าอันธพาลทั่วทั้งหลิงเฉิงได้ ยิ่งไปกว่านั้น เย่เย่ไม่อยากจะให้เสี่ยวหยูต้องยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้มากนักด้วย เพราะฉะนั้นเขาจึงตั้งใจจะยกหน้าที่ปกป้องหอการค้าให้เป็นหน้าที่ของคนอื่นแทน
ในสายตาของเย่เย่ ซูฉีเจี่ยนั้นถือเป็นจ้าววรยุทธ์ที่แข็งแกร่งคนหนึ่งอยู่ แม้จะปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ได้เมื่อนานมาแล้วและห่างหายไปเลย ยังไงเสียความแข็งแกร่งมันก็ยังคงซ่อนอยู่ในกายของเขา ซึ่งเพียงเท่านี้มันก็มากพอที่จะช่วยดูแลหอการค้าหยูเย่ได้แล้วในระหว่างที่เขาไม่อยู่ เช่นนั้นแล้วเย่เย่จึงครุ่นคิดถึงเรื่องที่จะชวนอีกฝ่ายมาทำงานด้วยกันเช่นนี้
เขารู้มาจากเสี่ยวหยูว่าภายในหลิงเฉิงนั้นไม่ได้สงบซะทีเดียว มันมีกลุ่มแก๊งแบบแก๊งสายน้ำหลั่งไหลอยู่อีกมากมายนับไม่ถ้วน และพวกคนเหล่านี้ก็รอโอกาสที่จะมาก่อกวนเช่นเดียวกับเฉิงเทียนเฉิงที่ทำไว้ก่อนหน้านี้ ถ้าหากเขาได้จ้าววรยุทธ์ที่แข็งแกร่งมาคอยดูแลร้านแล้วล่ะก็ เย่เย่คงจะวางใจได้ขึ้นเยอะ
ซูฉีเจี่ยไม่คาดฝันเลยว่าจู่ๆเย่เย่จะมาเอ่ยชวนเขาเช่นนี้ สำหรับเขาผู้ที่ซึ่งถูกโลกทอดทิ้งไว้ด้วยความเย็นชานั้น เย่เย่เป็นเพียงคนเดียวที่ทำให้เขาคาดไม่ถึง ตัวเขานั้นรู้ดีถึงอาการบาดเจ็บของตนเอง ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่กล้าให้สัญญากับเย่เย่และอยู่ในภวังค์ของความตกใจที่เย่เย่กล้ามาเอ่ยชวนเขาแบบนี้
เพราะเขาคือผู้ที่ถูกปราการหลิงหยวนขับไล่ออกมา ดังนั้นต่อให้จะมีใครอยากจะเป็นเพื่อนด้วย คนเหล่านั้นก็ไม่กล้าเข้ามายุ่งเพราะกลัวจะกลายเป็นเป้าหมายของปราการหลิงหยวนไปโดยปริยาย นี่ขนาดที่ก่อนหน้านี้เขาได้เล่าเรื่องความน่ากลัวของปราการหลิงหยวนไปแล้วและคิดว่าเย่เย่คงจะต้องเกรงกลัวกับสิ่งนี้อย่างแน่นอนแท้ๆ ทำไมเย่เย่ถึงยังดูไม่รู้สึกอะไรอยู่ได้นะ
“ท่านไม่ต้องรีบตอบข้านักก็ได้ กลับไปคิดทบทวนให้ดีก่อนข้าก็ไม่ได้ว่าอะไร”
เมื่อเห็นสีหน้าที่ดูสับสนของซูฉีเจี่ยแล้ว เย่เย่ก็ค่อนข้างพึงพอใจว่าการกระทำของเขาในครั้งนี้คงจะไม่เสียเปล่าแล้ว
สำหรับเรื่องอาการบาดเจ็บของซูฉีเจี่ยนั้น แม้ว่าเย่เย่จะไม่กล้ายืนยันชัดเจน แต่เขาก็เชื่อว่า ด้วยระบบที่มียาวิเศษอยู่มากมายนั้นการรักษาอาการบาดเจ็บไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก
“ข้าจะทำมันเอง!”
ในตอนแรกนั้นซูฉีเจี่ยอยากจะปฏิเสธ หากแต่เมื่อเห็นแววตาที่จริงใจของเย่เย่แล้วเขาก็ลืมความคิดในตอนแรกไปและพยักหน้าให้แก่เย่เย่แทน
มองซูฉีเจี่ยและเกราะเหล็กดำค่อยๆเดินจากไป สีหน้าของเย่เย่ก็ค่อยๆแสดงความพึงพอใจออกมา การประมูลในวันนี้ ช่างมีแต่สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายจริงๆ พรุ่งนี้ชื่อของหอการค้าหยูเย่ได้กระฉ่อนไปทั่วทั้งย่านแน่
“นายน้อยเจ้าคะ! นายน้อยยยย! นายน้อยรู้รายได้รวมของงานประมูลที่พวกเราจัดขึ้นวันนี้หรือยังเจ้าคะ?”
ในขณะที่เย่เย่กำลังคิดถึงแผนต่อไปอยู่นั้นเอง เสี่ยวหยูก็เข้ามาหาเขาด้วยหน้าตาตื่นพร้อมกับเอ่ยถามถึงสิ่งที่ทำให้เธอโผล่พรวดเข้ามาเช่นนี้
เย่เย่ชะงักไปครู่หนึ่ง ถึงแม้ว่าพอจะเดาได้ว่าตัวเลขมันคงจะไม่น้อยแต่กระนั้นเขาก็ยังไม่ได้นับมันอยู่ละเอียดเลย
ด้วยท่าทีของเสี่ยวหยูที่ดูยิ้มระรื่นนั้นมันก็ทำเอาเย่เย่ฉงนขึ้นมาไม่น้อยเลย เสี่ยวหยูที่เห็นเย่เย่เงียบนางก็เขยิบเข้าไปกระซิบข้างๆหูเบาๆ “พวกเราได้เหรียญทองมากถึง 1.13 ล้านเลยเจ้าค่ะ! 1.13 ล้านเหรียญทอง! นายน้อยเจ้าคะ ข้าไม่เคยเห็นเงินมากมายขนาดนี้มาก่อนเลยเจ้าค่ะ! ตอนที่ข้านั่งนับนั้นมือข้ามันสั่นไปหมดเลย!”
“ถ้างั้นก็ไม่ต้องนับแล้วให้เจิ้งซูมานับแทน”
แววตาสดใสของเสี่ยวหยูนั้นทำให้เย่เย่รู้สึกว่านางน่ารักมากๆจนไม่สามารถอดใจที่จะลูบหัวนางพร้อมกับหยอกล้อได้
“ไม่เจ้าค่ะ! ไม่ได้เด็ดขาด! ต่อให้ข้าจะเหน็ดเหนื่อยขนาดไหนข้าก็จะนับเงินต่อ! นายน้อยจะกีดกันข้าจากงานที่ข้ารักที่สุดในหอการค้าแห่งนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ!”
ทันทีที่เสี่ยวหยูได้ยินคำพูดของเย่เย่ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปตรงกันข้ามทันทีพร้อมๆกับท่าทางที่กำลังแสดงให้เห็นว่านางหวงการนับเงินกองนี้ขนาดไหน
หลังจากที่ยิ้มให้น้อยๆแล้ว เย่เย่ก็ไม่ได้แกล้งนางต่อ กลับกันเขากลับนึกถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาอยากจะก่อตั้งหอการค้านี้ขึ้นมา และด้วยความคิดนั้นเขาจึงเอ่ยบอกกับเสี่ยวหยูด้วยน้ำเสียงจริงจังทันที “เสี่ยวหยู แบ่งเงินออกเป็น 2 ส่วนที่เท่าๆกัน ส่วนหนึ่งเก็บไว้ใช้บริหารจัดการและพัฒนาหอการค้าในอนาคต ส่วนที่เหลือให้เก็บไว้ให้ข้า เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการหาซื้อและสะสมของหายากทั้งหลาย ไว้เป็นหน้าที่ของข้าเอง หน้าที่ของเจ้าเพียงแค่หาซื้อของมาเติมในร้านและคอยจัดที่จัดทางให้ร้านดูดีก็เพียงพอ!”