บทที่ 17
ศัตรูมาถึงหน้าประตู
เย่เย่รู้สึกสบายใจขึ้นมาเมื่อเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ เขาผายมือไปยังเย่เทียนก่อนจะพูดขึ้น “ยินดีด้วยขอรับ ท่านพ่อ ต่อไปนี้ก็ไม่มีใครในตระกูลที่จะมาสั่นคลอนตำแหน่งเจ้าตระกูลของท่านได้แล้ว!”
เย่เฉิงที่อยู่อีกฟากหนึ่งได้สติขึ้นมาหลังจากที่ได้ฟังบทสนทนาของทั้งสองพ่อลูกนี้
เขารีบเดินเข้าไปหาเย่เทียนและมองไปรอบๆตัวผู้เป็นพี่ชาย ในที่สุดเขายอมรับได้ถึงความจริงที่ว่าเย่เทียนนั้นได้ปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ให้ตื่นขึ้นมาได้แล้ว ทันทีที่ทราบดังนั้นเขาก็รีบเอ่ยออกมาด้วยปากที่กว้างและสีหน้าที่มีความสุขล้นหลามเลย “ท่านพี่เทียน ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง! ตั้งแต่เด็กๆแล้วที่ข้าคิดว่าสักวันหนึ่งท่านต้องกลายเป็นจ้าววรยุทธ์ได้อย่างแน่นอน แต่ไม่คิดเลยว่าวันนั้นจะยาวนานถึงเพียงนี้”
เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อคิดย้อนกลับไปถึงความพยายามอย่างมากในการปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เพื่อมาเป็นจ้าววรยุทธ์เช่นนี้ ซึ่งพอคิดถึงวันวานแล้วน้ำตามันก็เอ่อออกมา
“น้องสาม พูดแบบนั้นข้าก็อายแย่สิ เรื่องในครั้งนี้น่ะ หากข้าไม่ได้ลูกเย่ ข้าก็คงยังไม่สามารถปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ไปได้ตลอดชีวิตนั่นแหละ”
เย่เทียนเองก็มีความสุขไม่แพ้ผู้เป็นน้องชายของเขา แต่ตัวเขานั้นรู้ดีกว่าใครถึงเหตุผลที่เขาสามารถปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาได้เช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะกล่าวอ้างเอาดีเข้าตัวต่อหน้าผู้มีพระคุณ
เพราะทั้งหมดนี้มันเป็นผลพวงจากยาบรรลุจ้าววรยุทธ์ของเย่เย่ที่ให้เขามานั่นแหละ ผลลัพธ์ของมันเกิดกว่าที่เย่เทียนคิดไว้จริงๆ ความกังวลที่เย่เทียนตั้งแง่ไว้ก่อนหน้านั้นแทบจะไม่เข้าเค้าเลยแม้แต่นิดเดียว นั่นก็เพราะการบรรลุเป็นจ้าววรยุทธ์ของเย่เทียนนั้นง่ายกว่าที่เขาคาดไว้เยอะมากๆ
ในตอนนี้เย่เทียนสามารถรับรู้ด้วยตนเองแล้วว่ายาบรรลุจ้าววรยุทธ์นั้นมีค่าขนาดไหน และในขณะเดียวกันเขาก็ยังรู้อีกด้วยว่าเย่เย่เองก็เป็นห่วงเขาเช่นกัน ดังนั้นในตอนนี้หัวใจของ เย่เทียนจึงเต็มไปด้วยความพึงพอใจแบบสุดๆ
“ว่าอะไรนะท่านพี่เทียน? ท่านบอกว่าท่านสามารถปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ได้ก็เพราะหลานเย่งั้นเหรอ? เด็กคนนี้กลายเป็นนักเวทย์ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันน่ะ?”
เย่เทียนทำให้เย่เฉิงตกใจอีกครั้ง แต่เพียงชั่วพริบตา เย่เฉิงก็ลืมเรื่องนั้นไปและเปลี่ยนไปพูดด้วยน้ำเสียงอิ่มเอมใจแทน “เอาเถอะๆ จริงๆข้าเองก็มีข่าวดีมาบอกท่านพี่เหมือนกันนะ ทายซิว่าเรื่องอะไร?”
ยามที่เห็นเย่เทียนแสดงสีหน้าสับสนออกมา เย่เฉิงก็เดาได้เลยว่าเย่เทียนคงคาดไม่ถึงแน่ๆ เขารีบชี้ไปยังเย่เย่และพูดขึ้น “ตอนนี้ หลานเย่ของพวกเราผ่านการทดสอบเพื่อเข้าเป็นศิษย์แห่งอารามจ้าววรยุทธ์ได้แล้วนะ!”
“ว-ว่าอย่างไรนะ! ทำไมรวดเร็วแบบนี้?!”
เย่เทียนตกใจกับข่าวนี้อย่างมาก ถึงแม้เขาจะเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของเย่เย่ก็จริง แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าเย่เย่จะผ่านการทดสอบเร็วขนาดนี้ เพราะเหตุนี้แววตาของเขาจึงเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจแบบสุดๆ
“ข้าก็แค่โชคดี ฮ่ะๆๆๆ”
เย่เย่นั้นไม่ได้อธิบายอะไรมากมาย หลังจากที่เขาแสดงความยินดีกับเย่เทียนอีกครั้งเขาก็ปลีกตัวกลับไปยังลานของตนเองเพื่อที่จะฝึกฝนต่อไป
ระหว่างเวลานั้นเย่เย่ปิดประตูลานตลอดเวลาเพื่อฝึกฝนวิชา ซึ่งภายนอกลานของเย่เย่ ข่าวคราวที่เย่เทียนสามารถปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาได้นั้นก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งตระกูลเย่ราวกับพายุที่กำลังรุนแรงขึ้นเรื่อยไ
เย่เฉิงและเหล่าผู้ที่สนับสนุนเย่เทียนนั้นต่างหน้าชื่นตาบานไปด้วยความตื่นเต้นกันถ้วนหน้า แต่กลับกันทางฝั่งพ่อของ เย่เซียงอย่างเย่เฉินหนานและพรรคพวกกลับกลายเป็นฝ่ายอิจฉาแทน
ไม่นานนักก่อนหน้านี้ พวกเขายังไล่บดขยี้เย่เทียนเพราะความผิดที่เย่เทียนก่อได้ การกดดันอย่างหนักนี้เกือบจะทำให้ เย่เทียนถูกปลดจากการเป็นเจ้าตระกูลได้แล้ว แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดมันก็เกิดขึ้น
ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งมีข่าวเรื่องเย่เย่สามารถปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ได้แล้ว นี่เย่เทียนยังกลายมาเป็นจ้าวแห่งวรยุทธ์อีก แผนการทุกอย่างที่วางไว้ก่อนหน้านั้นแม้มันเกือบจะสำเร็จขนาดไหน แต่ในท้ายที่สุดก็ต้องล้มเลิกไปทั้งหมดเพราะเขาในตอนนี้ไม่สามารถสู้กับเย่เทียนและเย่เย่ได้แน่ๆ เพราะฉะนั้นลืมเรื่องขับไล่เย่เทียนออกจากตระกูลไปก่อนเลย
ถึงแม้ว่าเย่เฉินหนานจะอยากแก้แค้นให้เย่เซียงผู้เป็นลูกชายแค่ไหน แต่ตอนนี้ตำแหน่งของพวกเขาในตระกูลนั้นต้อยต่ำลงไปมากแล้ว สิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงปกป้องตัวเองเพื่อไม่ให้เย่เทียนมาทำอะไรได้ สถานการณ์มันเป็นแบบนี้แล้วใครจะกล้าสู้กับจ้าววรยุทธ์แบบซึ่งๆหน้ากัน?
การเสียหน้าครั้งใหญ่ของเย่เฉินหนานนั้นทำให้เย่เฉิงและคนอื่นๆต่างสบายใจกันขึ้นมา เพราะก่อนหน้านี้นั้นเย่เฉิงหนานและพรรคพวกทางฝั่งนั้นต่างคอยเหยียบย่ำและเหยียดหยามอยู่ตลอดเวลาที่เจอหน้ากัน แต่ตอนนี้คนเหล่านั้นก็ไม่ต่างอะไรกับหนูที่เผอิญมาอยู่บ้านเดียวกับแมวแล้ว เพราะยามที่เจอกันอีกฝ่ายก็จะรีบวิ่งไปซ่อนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เลย
พวกเด็กๆในตระกูลส่วนใหญ่นั้นไม่ได้รู้เห็นเรื่องที่ตระกูลเย่แบ่งฝั่งแบ่งฝ่ายเช่นนี้ ดังนั้นแล้วยามที่ได้ยินเช่นนั้นพวกเขาจึงดีใจกันมากๆ เด็กเหล่านี้ล้วนเชื่อมั่นในการเป็นเจ้าตระกูลและขับเคลื่อนตระกูลของเย่เทียนและเย่เย่ พวกเขาเชื่อว่าด้วยกำลังของสองคนนี้ จะต้องทำให้อันดับสุดท้ายที่ตระกูลเย่เป็นอยู่ในบรรดา 3 ตระกูลใหญ่นั้นจะต้องสั่นคลอนแน่ๆ ตระกูลเย่จะขยับขึ้นไปอยู่เหนือตระกูลอื่นได้อย่างแน่นอน!
ทว่าบรรยากาศแห่งความสุขนั้นกลับไม่ได้คงอยู่กับตระกูลเย่นานนัก เพราะในตอนนี้กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นโดยที่พวกเขาไม่คาดคิดพร้อมกับแย่งชิงบรรยากาศเหล่านั้นไป
“เย่เย่! ออกมาเดี๋ยวนี้!”
น้ำเสียงที่เอ่ยพอจะเรียกให้คนในบ้านตระกูลเย่ได้ยินดังขึ้นจากด้านนอกประตู จากนั้นก็ตามด้วยเสียงปึงปัง เสียงนั้นเป็นเสียงของคนรับใช้แห่งบ้านตระกูลเย่ที่ถูกผู้มาเยือนเล่นงานจนพ่ายก่อนจะถูกโยนเข้าปะทะกับประตูจนเปิดออก
ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่มีสีหน้ามืดมนจ้องมองมายังเหล่าผู้คนที่อยู่ในลานของตระกูลเย่ตรงหน้านั้น เขาไม่สนใจเหล่าข้ารับใช้ที่กำลังร้องห่มร้องไห้และเดินดิ่งเข้าไปยังโถงของบ้านตระกูลเย่ต่อทันที
เย่เทียนและคนอื่นๆก็รีบออกมาเพื่อหยุดคนเหล่านี้ไว้ก่อนที่พวกนี้จะเข้ามาในโถงหลักของบ้านได้
“พวกเจ้าเป็นใคร? เหตุใดจึงกล้าที่จะทำร้ายบริวารของข้าโดยไร้ซึ่งเหตุผลเช่นนี้? แล้วไหนจะยังทลายประตูด่านหน้าเข้ามาตามอำเภอใจอีก?”
ความแข็งแกร่งที่แผ่ออกมาจากกลุ่มของชายวัยกลางคนตรงหน้านี้รุนแรงจนแม้แต่เย่เทียนก็ยังสัมผัสได้ เขาพยายามจะระงับความโกรธและความไม่พอใจเอาไว้
เหตุผลที่เย่เทียนไม่สั่งให้คนของตระกูลเย่จัดการกับกลุ่มชายตรงหน้านี้ทันทีก็เพราะว่าเขารู้สึกได้ถึงพลังที่ล้นเหลือของคนเหล่านี้ ชายวัยกลางคนและลูกน้องที่มาด้วยน่าจะเป็นจ้าววรยุทธ์กันทั้งหมด และด้วยระดับพลังของเย่เทียนที่เพิ่งจะลืมตาตื่นขึ้นมากับเหล่าผู้ฝึกวรยุทธ์ในตระกูล มันไม่ต่างอะไรกับการที่จะเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุงเลย ระดับมันห่างชั้นกันมากๆ
หลังจากที่เย่เทียนยิงคำถามออกไปแล้ว ชายวัยกลางคนก็ไม่ได้ตอบอะไรเขา กลับกันทางฝั่งเย่เฉินหนานที่เพิ่งรู้ข่าวกลับรีบวิ่งเข้ามาหาเย่เทียนและตอบเขาแทน “เย่เทียน นี่เจ้ายังเป็นห่วงลูกของเจ้าอยู่อีกงั้นเหรอ? ไม่รู้หรือไงว่าเจ้ากำลังพาหายนะมาสู่ตระกูลเย่น่ะ?”
“เย่เฉินหนาน นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาทะเลาะกันเองนะ ข้าไม่มีเวลามาเถียงกับเจ้าหรอก!”
เย่เทียนที่เห็นศัตรูอยู่ตรงหน้าก็ไม่อยากจะมีศึกภายในเพิ่ม ทว่าเขาไม่ได้รู้เลยว่าเย่เฉินหนานกับฝ่ายตรงข้ามนั้นร่วมมือกันอยู่ เพราะงั้นเขาจึงตะโกนใส่เย่เฉินหนานด้วยความโกรธ
แต่ทางเย่เฉินหนานเองก็ไม่ได้ใส่ใจกับเย่เทียนเสียเท่าไหร่ นอกจากนั้นเขายังหันไปหาฝ่ายตรงข้ามและโค้งให้แก่ชายวัยกลางคนคนนั้นด้วยก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงยำเกรง “ข้าคือเย่เฉินหนานเองขอรับ ยินดียิ่งนักที่ได้พบท่านเฉินหลินแห่งอัคคี! ข้าขอสาบานต่อหน้าคนใหญ่คนโตทุกคนด้วยชีวิตของข้าเลยขอรับ ว่าข้านั้นเห็นเย่เย่ลงมือฆ่าศิษย์ของสำนักอัคคีจริงๆ! และการกระทำอันเลวทรามต่ำช้านั้นไม่ได้มีคนของตระกูลเย่คนอื่นๆเกี่ยวข้องเลย ทั้งหมดเป็นความผิดของเย่เย่และเย่เทียนเท่านั้นขอรับ! ได้โปรดอย่าลงโทษพวกเราที่ไม่เกี่ยวข้องเลย!”
ชายกลางคนตรงหน้านี้คือเฉินหลิน และอีก 4 คนด้านหลังก็คือจ้าววรยุทธ์ของสำนักอัคคี ความประหลาดใจนั้นแสดงให้เห็นบนใบหน้าของพวกเขาเมื่อเห็นว่าเย่เฉินหนานรู้จักพวกเขาด้วย แต่อย่างไรก็ตามจุดประสงค์ที่เฉินหลินมายังบ้านตระกูลเย่ในครั้งนี้ก็เพื่อสะสางโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับสำนักของตนก่อนหน้าอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่หยุดการกระทำง่ายๆเพียงเพราะเจอคนผู้ที่รู้จักตน
“ข้าไม่สนอะไรทั้งนั้น! เย่เย่ของตระกูลพวกเจ้าบังอาจมาฆ่า เฉินเทียนเฟิงผู้เป็นพี่ชายของข้ารวมถึงศิษย์คนอื่นๆของสำนักอัคคีที่ภูเขาหลี่เทียน! ข้าต้องคิดบัญชีแค้นเรื่องนี้ให้ได้! ไม่เช่นนั้นแล้วตระกูลเย่ได้หายไปจากเมืองเฟิงเจิ้นแห่งนี้แน่ๆ!”
คำพูดของเฉินหลินนั้นทำให้คนอื่นๆในตระกูลเย่หน้าถอดสีกันหมด พวกเขาตระหนักได้แล้วว่าเรื่องที่เกิดในครั้งนี้มันร้ายแรงขนาดไหน
ถึงแม้ว่าเย่เทียนจะรู้ว่าเย่เย่นั้นเคยไปที่ภูเขาหลี่เทียนมาก่อนหน้านี้ แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าคนอย่างเย่เย่จะเป็นคนที่ฆ่าศิษย์สำนักอัคคีได้แบบนี้ ถึงตระกูลเย่จะมีจ้าววรยุทธ์กำเนิดขึ้นใหม่ถึง 2 คน แต่ถ้าให้เทียบกับคนจากสำนักอัคคีแล้วยังถือว่าไล่ตามอยู่อีกไกลนัก
หากเรื่องในวันนี้จบได้ไม่สวยอย่างที่มันควรเป็นแล้วล่ะก็ ตระกูลเย่คงได้หายไปจากเมืองเฟิงเจิ้นตามที่เฉินหลินพูดแน่ๆ!
“ท่านเฉินหลิน ท่านเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า? เย่เย่น่ะเพิ่งจะปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ได้เองนะ เขาจะเอาพลังที่ไหนไปสู้ศิษย์จากสำนักอัคคีกัน? ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันแน่ๆ!”
เย่เทียนนั้นยังคงมีความหวังว่าให้เรื่องนี้มันเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น ทั้งนี้ทั้งนั้นการเป็นศัตรูกับพวกอัคคีคงไม่เป็นผลดีกับตระกูลเย่เสียเท่าไหร่ ดังนั้นเขาจึงพูดกับเฉินหลินอย่างประนีประนอม
“ไม่มีทางที่มันจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดได้แน่ๆ! เพราะพวกข้าได้ทำการไต่สวนมาหมดแล้ว! เย่เย่ของพวกเจ้าน่ะฆ่าพี่ชายของข้าและเหล่าลูกศิษย์สำนักอัคคีด้วยประคำสีดำหลายลูกในภูเขาหลี่เทียน สิ่งนี้เป็นการกระทำที่โหดร้ายอย่างมาก และข้าจะไม่ปล่อยเจ้านั่นให้มีชีวิตรอดไปแน่ๆ!”
แววตาของเฉินหลินนั้นฉายแววของความเหี้ยมโหดออกมา ในหัวของเขาตอนนี้มีแต่จะฉีกเย่เย่ออกเป็นชิ้นๆเต็มไปหมดเลย และดูท่าว่ามีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้เขาปล่อยวางเรื่องนี้ได้
เย่เทียนคิดถึงประคำอสนีบาตที่เย่เย่ให้ไว้ทั้ง 4 ลูกเพื่อใช้ป้องกันตนเอง ดูท่าว่าเรื่องนี้จะมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นฝีมือของเย่เย่จริงๆ ดังนั้นมันคงไม่มีประโยชน์หากจะพูดให้มากความไปกว่านี้ สีหน้าของเขาดูเคร่งเครียดในขณะที่สมองก็เร่งใคร่ครวญหาว่าควรจะทำอย่างไรดี
“ท่านเฉินหลินขอรับ! เย่เย่ เย่เย่คนเดียวที่ทำเรื่องนี้ คนอื่นๆในตระกูลเย่ไม่เกี่ยวเลยนะขอรับ พวกเราไม่เคยมีความคิดที่จะเป็นศัตรูกับสำนักอัคคีเลย! เพราะงั้นต่อให้เย่เย่จะเป็นคนลงมือ แต่คนอื่นๆในตระกูลเย่ก็ไม่ได้เป็นเหมือนเย่เย่นะขอรับ! ”
เย่เฉินหนานนั้นไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ ต่อให้ทั้งสองพ่อลูก เย่เทียนและเย่เย่จะก้าวขึ้นไปจ้าววรยุทธ์แล้วไปแล้วก็ตาม ยังไงเสียเขาก็ต้องหาทางพลิกหมากกระดานนี้กลับมาให้ได้
เขาส่งคนออกไปเพื่อหาข่าวคราวเกี่ยวกับเย่เย่ โดยไม่คาดคิดเลยว่าจะไปเผอิญพบกับข่าวนี้เข้า เย่เฉินหนานมีความสุขมากๆและไม่รอช้าที่จะส่งคนไปเพื่อส่งข่าวให้หลินเฉินที่สำนักอัคคี เพียงไม่นานหลินเฉินถึงกับเดินทางมาที่นี่ด้วยตัวเขาเองโดยที่เย่เฉินหนานไม่ต้องทำอะไรเลย
จากมุมมองของเย่เฉินหนานนั้น เฉินหลินและลูกน้องของเขานั้นล้วนแต่เป็นจ้าววรยุทธ์มาหลายปีแล้ว ซึ่งไม่เหมือนกับสองพ่อลูกเย่นี้ที่เพิ่งจะได้เป็นเพียงไม่นาน ดังนั้นเขาจึงใช้โอกาสนี้ในการลวงคนเหล่านี้เพื่อมาฆ่าเย่เทียนและเย่เย่โดยที่เขาไม่ต้องลงไม้ลงมือเอง
ในขณะที่เย่เฉินหนานกำลังทำตามแผนที่วางไว้คือพาเฉินหลินและพรรคพวกไปจังลานของเย่เย่นั้นเอง เย่เย่ที่ได้รับข่าวมาก่อนก็ปรากฏตัวขึ้นในทันที
“ไม่ต้องไปให้เสียเวลาหรอกน่า ข้าอยู่ที่นี่แล้ว”
แววตาที่เยือกเย็นของเย่เย่นั้นมองไปยังเย่เฉินหนานก่อนจะหันกลับมามองเฉินหลิน
ก่อนที่เย่เย่จะมาที่นี่ ตัวเขาเองก็ได้ฟังเรื่องราวบางอย่างมาจากข้ารับใช้ภายในบ้านหลังนี้มาบ้างแล้ว และพอจะรู้ได้ว่าเฉินหลินคือพี่ชายของเฉินเทียนเฟิงรวมไปถึงเป็นผู้นำของสำนักอัคคีคนปัจจุบันด้วย ดังนั้นแล้วเย่เย่จึงอยากจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง และเขาได้เตรียมวิธีรับมือที่ดีที่สุดไว้แล้วด้วย
“เจ้าคือเฉินหลินสินะ? เฉินเทียนเฟิงและศิษย์คนอื่นๆน่ะถูกข้าฆ่าตายเองนั่นแหละ แต่ก็เพราะว่าคนพวกนี้จะขโมยของของข้า! เพราะงั้นข้าก็เห็นว่าสมควรตายแล้ว! เจ้าอยากจะล้างแค้นให้พวกพ้องน่ะมันไม่ผิดหรอกนะ แต่เจ้าต้องหัดคิดทบทวนถึงสิ่งที่จะทำดีๆด้วย!”
เย่เย่นั้นยังไม่ได้พูดถึงความลับของเฉินเทียนเฟิงและคนอื่นๆ นั่นก็เพราะว่ามันจะเกี่ยวข้องกับการตายของจางฮั่วและคนอื่นๆจากกระบี่จรัสแสงด้วย ถึงเย่เย่อยากจะจัดการทั้ง 2 สำนักนี้ไปก็จริงแต่หากต้องรับมือศึก 2 ทางพร้อมๆกันมันคงจะไม่ดีเสียเท่าไหร่
คำพูดของเย่เย่นั้นทำให้เฉินหลินและคนอื่นๆเกรี้ยวกราดขึ้นมา แต่ก่อนที่ทั้งสองจะปะทะกันด้วยความโกรธ เย่เฉินหนานก็กระโจนออกมาซะก่อน
“เย่เย่ เจ้าลืมสมองไว้ที่อื่นหรือไร? เจ้าคิดว่าลำพังแค่เจ้ากับพ่อของเจ้าที่เพิ่งจะเป็นจ้าววรยุทธ์ได้นั้นจะสามารถรับมือกับจ้าววรยุทธ์ฝีมือแก่กล้าทั้ง 5 คนนี้ได้งั้นเหรอ? ท่านเฉินหลินขอรับ ข้าขอแนะนำว่าให้จับเจ้าสองพ่อลูกนี่และให้ผู้ใหญ่ทางสำนักอัคคีจัดการเลยดีกว่า อย่าให้พวกมันทั้งสองคนมาลอยหน้าลอยตาทำให้ตระกูลเย่ตกต่ำไปมากกว่านี้อีกเลย!”
เย่เฉินหนานนั้นไม่ได้เข้ามาห้ามศึกแต่อย่างใด หากแต่เขานั้นเข้ามาช่วยเฉินหลินดุด่าเย่เย่โดยตรงก่อนจะขอร้องให้ เฉินหลินและพวกพ้องพาตัวเย่เย่และเย่เทียนออกไปจากตระกูลเย่อย่างไม่อ้อมค้อมเลย