กล่าวตามจริงแล้ว ยามนี้ฉีหรูเสวี่ยเองก็ไม่ทราบว่าเพราะอะไร เธอจึงต้องการเจอเย่เทียนเฉิน ต้องการเจอเจ้าคนบ้าในใจของเธอ เธอรู้ว่าตนเองหวังมากเกินไป เย่เทียนเฉินเย็นชากับตนมาตลอด อีกทั้งฉินเหิงและเย่เทียนเฉินก็มีความแค้นต่อกัน เย่เทียนเฉินจะมาได้อย่างไร? หรือถ้ามา ไม่ใช่ว่าเป็นการรนหาที่ตายหรอกหรือ?
แต่ฉีหรูเสวี่ยไม่อาจควบคุมความคิดเช่นนี้ในใจของตนได้ เธอยังคงเฝ้ารอการปรากฏตัวของเย่เทียนเฉิน ต่อให้คนคนนี้มามองเธอแค่แวบเดียวก็ตาม ทีละเล็กทีละน้อย ในขณะที่ฉีหรูเสวี่ยไม่รู้ตัว ในใจของเธอก็มีเงาของเจ้าบ้านี่ประทับอยู่ สลัดอย่างไรก็ไม่หลุด
คำพูดของฉินเหิงทำให้ฉีหรูเสวี่ยชะงัก อดไม่ได้ที่จะมองฉินเหิงอย่างดุดันแวบหนึ่ง สำหรับคนต่ำช้าไร้ยางอาย และจิตใจเริ่มวิปริตเล็กน้อยนั้น ฉีหรูเสวี่ยไม่อยากจะสนใจ
“ไม่ต้องรอแล้ว เย่เทียนเฉินไม่มาหรอก แต่ก็นะ ฉันล่ะอยากให้มันมาจริงๆ เธอดูรอบๆ สิว่ามีใครอยู่บ้าง…” ฉินเหิงกระซิบข้างหูฉีหรูเสวี่ยอย่างโหดเหี้ยม
ฉีหรูเสวี่ยมองลงไปด้านล่าง พบว่าทั่วทุกสารทิศของสวนตระกูลฉิน ดูเหมือนในระยะห่างทุกๆ สิบเมตรจะมีบอดี้การ์ดถือปืนอยู่หนึ่งคน ที่แท้ฉินเหิงก็มีการเตรียมการไว้นานแล้ว
ต้องบอกว่าฉินเหิงโง่มาก นี่มันไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง เมื่อเกิดมาในตระกูลชั้นหนึ่งเช่นนี้ ต่อให้โง่ก็ยังมีความคิดจะฆ่าคนอยู่มาก ที่ฉินเหิงบอกให้ฉินอี้ผู้เป็นปู่ไปยังตระกูลฉีเพื่อเลื่อนพิธีหมั้นหมายระหว่างเขากับฉีหรูเสวี่ยให้เร็วขึ้นขนาดนี้ จุดประสงค์ก็คือ จิตใจอันวิปริตของเขาต้องการแก้แค้นเย่เทียนเฉิน ทั้งยังทิ้งคำพูดไว้ในหนังสือพิมพ์ซุบซิบรายใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงอีกด้วยว่า ผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์กับเย่เทียนเฉิน เขาจะลากขึ้นเตียงให้หมด ให้เย่เทียนเฉินถูกสวมเขา ดูสิว่าเย่เทียนเฉินจะทำอะไรเขาได้ นี่เป็นการท้าทายอย่างเห็นได้ชัด เขาต้องการยั่วยุเย่เทียนเฉิน
เย่เทียนเฉินที่เคยเป็นตัวตลกที่สุดในเมืองหลวง ตั้งแต่กลับเมืองมาก็ทำให้อำนาจอิทธิพลมากมายในเมืองหลวงต้องสั่นครอน สามารถอธิบายนิสัยของเย่เทียนเฉินในปัจจุบันนี้ได้ด้วยหนึ่งประโยคก็คือ พี่ชายไม่เคยหาเรื่อง แต่ก็ไม่กลัวมีเรื่อง!
ฉินเหิงต้องการใช้ประโยชน์จากนิสัยเช่นนี้ของเย่เทียนเฉิน ถ้ายั่วยุให้เย่เทียนเฉินมาก่อความวุ่นวายในพิธีแต่งงานของตนได้ก็ยิ่งดี เขาได้ออกคำสั่งกับยอดบอดี้การ์ดถือปืนเหล่านั้นไว้แล้ว ขอเพียงเย่เทียนเฉินกล้าปรากฏตัวก็ให้ฆ่าเขาก่อนได้เลย นอกจากนี้ฉินเหิงยังได้ว่าจ้างยอดฝีมือคนหนึ่งไว้ เตรียมที่จะลงมือสังหารเย่เทียนเฉินอยู่ตลอดเวลา ยอดฝีมือคนนั้นแฝงตัวอยู่ในหมู่แขก แฝงตัวได้อย่างดียิ่ง
“เธอไม่ต้องหวังลมๆ แล้งๆ แล้ว เย่เทียนเฉินไม่มาหรอก ฉันกับเขาไม่มีความสัมพันธ์อะไรกัน ไม่นับว่าเป็นแม้กระทั่งเพื่อน!” ฉีหรูเสวี่ยมองฉินเหิงแล้วเอ่ยขึ้น
“ฮ่า กังวลแล้วรึไง? ดูท่าเธอจะรักเย่เทียนเฉินจริงๆ สินะ ดี ดีมาก ตอนนี้ฉันอยากให้มันปรากฏตัวมากขึ้นไปทุกทีแล้ว ฉันจะฆ่ามันกับมือต่อหน้าเธอ แบบนี้ตื่นเต้นพอรึเปล่า?” ฉินเหิงพูดกับฉีหรูเสวี่ย แล้วหัวเราะเสียงเย็น
“แก…ไอ้หมาบ้า แกมันไอ้หมาบ้าตัวหนึ่ง…” ฉีหรูเสวี่ยด่าออกไปอย่างดุดัน
“ถูกต้อง ฉันเป็นไอ้หมาบ้า ฉันฉินเหิงคนนี้เป็นไอ้หมาบ้าตัวหนึ่งที่ใครก็หาเรื่องไม่ได้ เย่เทียนเฉินกล้ามาหาเรื่องฉัน ฉันก็จะกัดมันให้ตาย!” ฉินเหิงถูกเย่เทียนเฉินอัดจนโง่งมไปแล้วโดยสิ้นเชิง คิดแค่เพียงต้องการจะแก้แค้นเท่านั้น
พิธีกรพยายามแก้สถานการณ์บนเวทีไม่หยุดหย่อน แขกรับเชิญด้านล่างเวทีก็รู้สึกวางตัวไม่ถูก โดยเฉพาะคนตระกูลฉินที่ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว ใครก็คิดไม่ถึงว่าฉีหรูเสวี่ยจะพูดว่าไม่เต็มใจสามคำนี้ออกมา
“ณ เวลานี้ เป็นเวลาที่คุณฉินเหิงและคุณฉีหรูเสวี่ยจะต้องแลกแหวนหมั้นกันแล้ว ผมจะขอถามตามธรรมเนียมอีกสักครั้ง มีใครคัดค้านการหมั้นของพวกเขาไหมครับ?”
“มีไหมครับ? ผมเชื่อว่าคงจะไม่มีแน่นอน คุณฉิงเหิงและคุณฉีหรูเสวี่ยช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกับจริงๆ เป็นคู่ฟ้าประทานโดยแท้ เช่นนั้นต่อไปขอให้พวกเราปรบมือดังๆ ให้พวกเขาทั้งสอง…”
“ผมขอคัดค้าน!”
เสียงของเย่เทียนเฉินดังขึ้น ทุกคนมองไปยังประตูใหญ่ของสวนตระกูลฉินอย่างตกตะลึง เห็นเย่เทียนเฉินแบกโลงศพสีดำหลังหนึ่งไว้บนไหล่ซ้าย บนใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่มีพิษมีภัย เดินตรงไปยังเวทีแต่งงาน ทำให้คนที่อยู่ ณ ที่นี้ทั้งหมดตกตะลึงจนคางแทบจะหลุดจากปาก
หลายคนเคยได้ยินชื่อเย่เทียนเฉิน แต่กลับไม่เคยเห็นตัวเย่เทียนเฉิน ต่างก็คิดว่า คนคนนี้เป็นใครกัน? จะเผด็จการเกินไปรึเปล่า พิธีหมั้นของผู้อื่น ไม่เพียงแต่ส่งเสียงคัดค้านออกมา แล้วยังแบกโลงศพมาอีกด้วย ช่างเป็นคราวซวยของตระกูลฉินโดยแท้ ความกล้าหาญน่าครุ่นคิดเช่นนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกหูแปลกตาจริงๆ
“ไอ้…ไอ้หมอนี่เป็นใครน่ะ? แบกโลงศพมา เบื่อชีวิตแล้วรึไง?”
“คิดว่าบ้านตระกูลฉินกลายเป็นสถานที่อะไรไปแล้ว ถึงกับกล้าแบกโลงมา ทั้งยังเป็นในพิธีหมั้นของฉินเหิงกับฉีหรูเสวี่ย คงรอดออกไปไม่ได้แน่”
“ตายแน่ กล้ามาก่อเรื่องที่ตระกูลฉิน สงสัยจะมีชีวิตอยู่นานเกินไปจนเบื่อ ไม่รู้ว่าไอ้หมอนี่เป็นใคร…”
“เขา เขาคือเย่เทียนเฉิน คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาจริงๆ”
“อะไรนะ? เขาคือเย่เทียนเฉิน? นี่…”
เมื่อมีผู้รู้พูดชื่อเย่เทียนเฉินออกมา หลายคนอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนเฉินจะมาจริงๆ กล้ามาจริงๆ ด้วย ทั้งยังแบกโลงศพหลังหนึ่งมาอย่างเผด็จการ ความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ ช่างทำให้ผู้คนนับถือจนแทบจะก้มกราบเลยทีเดียว
มือขวาล้วงกระเป๋ากางเกง มือซ้ายแบกโลงศพสีดำหลังใหญ่ ใบหน้าของเย่เทียนเฉินประดับด้วยรอยยิ้ม เดินไปยังเวทีสำหรับงานหมั้นด้วยอาการเช่นนี้เอง หลายคนยังไม่อาจตอบสนองกลับมาได้ ตกอยู่ในอาการตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง กระทั่งคนตระกูลฉินทั้งหลายต่างก็อึ้งจนแข็งเป็นหิน ไม่กล้าเชื่อเลยว่าจะมีคนกล้าบุกเข้ามาก่อเรื่องในตระกูลฉิน แถมยังแบกโลงศพพาซวยนั่นมาอีก
ฉีหรูเสวี่ยที่ยืนอยู่บนเวทีสำหรับพีธีหมั้นพลันน้ำตาไหลลงมา เธอไม่คิดเลยว่าเย่เทียนเฉินจะมาจริงๆ รู้ทั้งรู้ว่ามาก่อเรื่องที่นี่จะต้องมีปัญหา จะต้องเป็นอันตรายต่อชีวิต แต่ว่าเขาก็ยังมา มาเพื่อเธอ
ตู้ม!
เย่เทียนเฉินโยนโลงศพสีดำลงบนพื้น ทำให้หลายคนได้สติกลับมา ตอนนี้เย่เทียนเฉินพูดกับฉีหรูเสวี่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “ยัยบ๊องเอ๊ย ฉันจะถามเธอแค่ประโยคเดียว แล้วก็สามารถพาเธอไปได้ด้วย ตกลงเธอเต็มใจหมั้นกับฉินเหิงรึเปล่า?”
ประโยคเดียวที่เรียบง่ายและตรงประเด็น ทั้งเผด็จการทั้งธรรมดา แต่กลับทำให้ในใจของใครหลายคนต้องสั่นประสาท เย่เทียนเฉิน ลูกหลานตระกูลเย่คนนี้ ช่างห้าวหาญเหลือเกิน คนที่นั่งอยู่บริเวณที่นั่งของแขกรับเชิญเหล่านี้ ล้วนเห็นหมดแล้ว เห็นน้ำตาของฉีหรูเสวี่ยแล้ว นั่นช่างน่าซาบซึ้งและชื่นชม แม้ว่าเย่เทียนเฉินจะว่าเธอว่าเป็นยัยบ๊อง แต่ตอนนี้เธอกลับรู้สึกหวานช่ำ ทั้งสองต่างก็ป่วนประสาทกันมาตลอด ทนเห็นกันไม่ได้ ดูเหมือนว่าวันๆ ล้วนแต่ทะเลาะกัน แต่เมื่อถึงเวลาสำคัญที่สุดเช่นนี้ คนที่มาช่วยตนเองออกจากกองไฟ ไม่ใช่คุณชายที่เอาแต่พูดว่ารักเธอเหล่านั้น และไม่ใช่พวกทายาทเศรษฐีพวกนั้น กลับเป็นชายคนนี้ที่ทะเลาะกับเธอมาตลอด ชายผู้เปรียบดั่งคู่กัด เขามาแล้ว มาพาเธอไป มิตรภาพเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องพูดก็สัมผัสได้
“ฉันต้องไม่เต็มใจแน่อยู่แล้ว ฉันอยากไปกับนาย!” ฉีหรูเสวี่ยพยักหน้า เอ่ยด้วยความเด็ดเดี่ยว
“ดี ฉันจะพาเธอไป ใครกล้าขวาง โลงศพหลังนี้ก็ให้มันเอาไปใช้” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเย็นเยียบ
“โอหัง ตระกูลฉินใช่ที่ที่แกจะมากำเริบเสิบสานได้เรอะ ใครก็ได้มาโยนมันออกไปซะ!” ฉินเทาหยวนได้สติก็พูดออกมาด้วยความโกรธแค้นเป็นอย่างมาก
“ไม่ต้องแล้ว เย่เทียนเฉิน ไม่คิดเลยจริงๆว่าขยะอย่างแกจะกล้ามา กล้ามาหาความตาย ฉันนับถือความกล้าของแกจริงๆ วันนี้ไม่ใช่วันหมั้นของฉันกับฉีหรูเสวี่ยแล้ว แต่เป็นวันที่ฉันจะเตรียมงานศพให้แก!” ฉินเหิงกล่าว ดวงตาทั้งสองอันแดงก่ำมองไปยังเย่เทียนเฉิน
ตอนนี้ ฉินเหิงได้ให้เหล่าบอดี้การ์ดถือปืนที่ดักซุ่มรอบๆ อยู่นานแล้วขนาบล้อมเข้ามา ปืนพกหลายสิบกระบอกเล็งตรงไปยังศีรษะของเย่เทียนเฉิน ขอเพียงฉินเหิงออกคำสั่งมาคำเดียว คนเหล่านี้ก็จะเปิดฉากยิงใส่เย่เทียนเฉิน
เหล่าแขกรับเชิญด้านล่างที่มาร่วมพิธีหมั้นต่างขวัญหนีดีฟ่อ หลายคนรีบวิ่งหนีไปจากสวนตระกูลฉิน หวาดกลัวลูกปืนที่ไม่มีตาจะมาทำร้ายตนเอง ไม่ถึงห้านาที ทั่วทั้งสวนตระกูลฉิน นอกจากเย่เทียนเฉินแล้ว ก็เหลือเพียงคนตระกูลฉีและคนตระกูลฉิน
เผชิญหน้ากับปืนหลายสิบกระบอกที่เล็งมายังศีรษะของตน เย่เทียนเฉินก็ยังคงไม่แยแส ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มไร้พิษภัย ทำให้ฉินเหิงโกรธจนกัดฟันแน่น เดิมทีเขาคิดว่าเย่เทียนเฉินจะคุกเข่าขอความเมตตา จากนั้นตนเองก็จะเหยียบหน้าเขาอย่างเหี้ยมโหด แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินเจอกับปืนหลายสิบกระบอกก็ยังคงไม่มีท่าทางหวาดกลัวเลยสักนิด
“เจ้าบ้า นายมาทำไม มาเพราะอะไร ไปซะ!” ฉีหรูเสวี่ยที่น้ำตาคลอเบ้าตะโกนใส่เย่เทียนเฉิน
“เธอคิดว่าฉันมาช่วยเธอออกไปจากกองไฟใช่ไหม? ไม่ใช่หรอกนะ ฉันได้ข่าวว่าตระกูลฉินรวยมา ที่นี่มีของให้กินฟรีดื่มฟรี ฉันก็เลยมากินดื่มนี่ไง” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ
“นาย…คนบ้า นายไปซะ ไม่งั้นนายจะตายเอาได้…” ฉีหรูเสวี่ยร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา เธอรู้ว่าเย่เทียนเฉินปากก็บอกว่าไม่ได้มาเพราะเธอ แต่ความจริงหากไม่ใช่เพราะตน เขาจะมาเสี่ยงอันตรายขนาดนี้ทำไม
“เย่เทียนเฉิน แกคุกเข่าขอร้องกับฉันซะสิ บางทีฉันอาจจะไว้ชีวิตสุนัขของแกก็ได้!” ฉินเหิงมองเย่เทียนเฉินอย่างเหี้ยมเกรียมแล้วพูดขึ้น
เย่เทียนเฉินมองฉินเหิงแวบหนึ่ง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ครั้งที่แล้วก็แค่สั่งสอนแกเล็กๆ น้อยๆ คราวนี้ฉันแบกโลงศพมาเพราะกลัวว่าตระกูลฉินของแกจะไม่มีปัญญาซื้อโลงดีๆ ขนาดนี้ แล้วพอแกตายจะไม่มีที่ให้ศพแกอยู่ โลงศัพหลังนี้แพงมาก เหมาะกับร่างแกพอดีเลย สองร้อยกว่าหยวนเลยนะ…ฉันนี่ดีกับแกจริงๆ!”
“แก…แม่งเอ๊ย พวกแกมัวแต่อึ้งอะไรกันอยู่ ยิงไอ้ลูกเต่านี่ให้ฉันสิวะ!” ฉินเหิงตะโกนสั่งไปยังบอดี้การ์ดหลายสิบคนนั้น
บอดี้การ์ดเหล่านี้ที่เล็งปืนไปยังศีรษะของเย่เทียนเฉินได้สติกลับมาก็รีบลั่นไกปืน แต่กลับไม่ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น ทุกคนต่างสงสัยเป็นอย่างมาก รีบตรวจสอบปืนในมือของตน ทำไมจู่ๆ ก็เกิดปัญหาขึ้นมาได้ล่ะ?
ความจริงตอนที่เย่เทียนเฉินมา ด้วยพลังพิเศษแห่งการรับรู้ของเขาก็รู้แล้วว่ารอบๆ พิธีหมั้นมีบอดี้การ์ดฝีมือดีพร้อมด้วยอาวุธปืนหลายสิบคนดักซุ่มอยู่ ฉินเหิงคาดการณ์ว่าตนจะมา จึงได้เตรียมการเพื่อจะฆ่าตนไว้ตั้งนานแล้ว ดังนั้นตอนที่ยอดบอดี้การ์ดถือปืนหลายสิบคนนี้ล้อมกรอบเข้ามา เย่เทียนเฉินก็ใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษสายพสุธาทำให้ปืนของพวกบอดี้การ์ดติดขัด ส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดของเคล็ดวิชาพลังพิเศษสายพสุธาก็คือ สามารถใช้ได้กระทั่งฝุ่นในอากาศ เย่เทียนเฉินใช้ฝุ่นผงในอากาศพวกนี้จึงสามารถทำให้ปืนในมือของบอดี้การ์ดหลายสิบคนติดขัดได้
“อึ้งทำบ้าอะไร บุกขึ้นไปฆ่ามันซะ!” ฉินเหิงเห็นว่าปืนในมือของบอดี้การ์ดติดขัดก็รีบตะโกนออกมาโดยพลัน
………………………………………….