อันซย่าซย่ารีบโทรศัพท์หาซูเสี่ยวมั่วเพื่อนซี้ทันที
เมื่อคืนที่ผ่านมา ซูเสี่ยวมั่วถ่างตาอยู่จนตีสามเพราะถึงกำหนดเส้นตายส่งภาพวาด แล้วเธอก็ยังคงนอนหลับอยู่ในตอนที่เธอโทร.มา เมื่อได้ยินอันซย่าซย่าร้องเสียงหลง เธอก็อธิบายให้ฟังพร้อมกับหาว “นี่เป็นธรรมเนียมของโรงเรียนฉีซย่า เธอไม่รู้หรอกเหรอว่าโรงเรียนมัธยมอื่นๆ ทุกโรงเรียนเขาก็มีการเข้าค่ายฝึกรด.กันก่อนเปิดเทอมน่ะ ฉีซย่าเลื่อนของเขามาเป็นเดือนตุลาคมเพราะเหตุผลว่า กลัวนักเรียนจะพากันเป็นลมแดดในช่วงอากาศร้อนหรืออะไรนี่แหละ…”
อันซย่าซย่าอยากจะร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือด “ฉันคิดว่าจะรอดจากการฝึกรด.แล้วเสียอีก…”
“ยัยบื้อซย่าซย่าผู้ไร้เดียงสาเอ๊ย…” ซูเสี่ยวมั่วแกล้งว่าเธอเล่น “ไปละ! ไปนอนต่อแล้ว!”
แล้วอันซย่าซย่าก็แจ้งให้ข่าวร้ายให้คนอื่นฟังระหว่างมื้อเที่ยง
ป่าป๊าอันหัวเราะหึๆ “ดีเลย ลูกจะได้ออกกำลังบ้าง”
อันอี้เป่ยพ่นลมออกจมูกพรืด “ออกกำลัง? ยัยเนี่ยนะ? เดินขบวนเร็วๆ ยังไม่ไหวเลยมั้ง อย่าว่าแต่เดินตบเท้าหรือวิ่งเลย”
“พี่จะไม่ทำลายความมั่นใจของหนูบ้างสักวันได้ไหม” อันซย่าซย่าถลึงตามองพี่ชาย
“ที่จริง ก็ได้นะ” อันอี่เป่ยตอบขณะซดน้ำซุป “แต่การทำลายความมั่นใจของเธอทำให้พี่แฮปปี้สุด”
อันซย่าซย่าพูดไม่ออกกับการหยอกของเขา
ป่าป๊าอันมองไปยังสามหนุ่มวงสตาร์รี่ไนต์ “พวกเธอสามคนจะไปไหม พักหลังๆ นี้ไม่ค่อยเห็นยุ่งเท่าไหร่นี่…”
จากที่เขารู้เกี่ยวกับพวกนักร้อง เขาไม่เคยรู้จักกลุ่มที่นิ่งๆ แบบสตาร์รี่ไนต์เลย เรื่องราวอย่างเป็นทางการแจ้งว่าในตอนนี้ทั้งสามกำลังโฟกัสเรื่องการเรียน จึงทำให้ต้องลดการปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนลง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เชื่อว่าเหตุผลที่แท้จริงจะง่ายดายอย่างนั้น
ใบหน้าอันหล่อเหลาของฉือหยวนเฟิงสดใสขึ้นด้วยความตื่นเต้น “แน่นอนครับ! ผมไม่เคยเข้าฝึกอบรมรด.มาก่อนเลย!”
เหอจยาอวี๋ยิ้ม “น่าจะเป็นประสบการณ์ที่ดีนะครับ”
เซิ่งอี่เจ๋อเหลือบมองมาที่อันซย่าซย่าผู้กำลังง่วนอยู่กับการกินเหมือนกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น แล้วเขาก็เริ่มอารมณ์ไม่ดี ชายหนุ่มไม่ตอบคำถามและกลับขึ้นชั้นบนหลังจบมื้อเที่ยงเล็กน้อย
เมื่อฉือหยวนเฟิงคะยั้นคะยอให้อันซย่าซย่าขึ้นไปข้างบนเพื่อไปเล่นกับแมวของเขา อันซย่าซย่าก็กลัวลนลานจนเกือบจะมุดเข้าไปหลบใต้โต๊ะ เขาจึงต้องยอมล่าถอยอย่างเสียดาย
ฝ่ายเหอจยาอวี๋นั้นเปิดประเด็นชวนคุยเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ในโรงเรียน จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อถามตรงๆ “เธอกับเซิ่งอี่เจ๋อทะเลาะกันหรือเปล่า”
“เปล่า” อันซย่าซย่าตอบหลังจากคิดครู่หนึ่ง
“งั้นเหรอ…” เหอจยาอวี๋ยิ้ม “ฉันนึกว่ามีเรื่องอะไรระหว่างพวกเธอสองคนเสียอีก เขาดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเลยช่วงหลังๆ มานี้”
“ฉันไม่รู้หรอก… ฉันไม่คิดว่าไปทำอะไรให้เขาโกรธนะ…” อันซย่าซย่าไตร่ตรองดู ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะไม่ได้พูดกันอีกเลยตั้งแต่วันที่คุยกันบนดาดฟ้า
เหอจยาอวี๋เลิกคิ้วข้างหนึ่งจากนั้นริมฝีปากก็ขยับโค้งเป็นรอยยิ้ม เหมือนกับว่าเขามองเห็นทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง “เข้าใจแล้ว…”
อันซย่าซย่าเริ่มจัดกระเป๋าหลังจากกลับเข้าห้องนอน เมื่ออันอี่เป่ยเคาะประตูห้อง เขาก็เห็นว่าเธอกำลังเดินไปเดินมาทั่วห้อง เมื่อทนดูความระเกะระกะไม่ไหว เขาจึงเดินเข้ามาช่วยน้องสาวจัดกระเป๋า
“ทำไมเอาขนมไปมากขนาดนี้เล่า เหลือที่ไว้ใส่ยาบ้าง… นี่ เอาถุงกันน้ำใส่ไว้บนโทรศัพท์สิ!” ไม่นานนัก เธอก็ทนความเจ้ากี้เจ้าการของเขาไม่ไหวและเดินหนีออกมา ปล่อยให้อันอี้เป่ยจัดกระเป๋าแทน
เธอเดินลงมากะว่าจะขอกาแฟจากป่าป๊าอันสักแก้ว
แต่รอยยิ้มเจิดจ้าของคนคนหนึ่งทำให้เธอชะงักอยู่กับที่
ฉีเหยียนซี!
เขากำลังจิบคาปูชิโนพลางยกแก้วขึ้นทักอันซย่าซย่าซึ่งกำลังยืนอยู่บนบันไดไม้ รอยยิ้มบนใบหน้าเขาเตือนให้นึกถึงเด็กผู้ชายตัวโตที่จิตใจดีและไม่มีพิษภัยใดๆ “สวัสดีเพื่อนร่วมชั้นอันซย่าซย่า”
หญิงสาวหันหลังกลับด้วยสัญชาตญาณเพื่อจะวิ่งกลับขึ้นข้างบน แต่กลับกระแทกเข้ากับอ้อมแขนแข็งแรงอบอุ่นคู่หนึ่ง
เธอยกมือขึ้นถูจมูกพลางเงยหน้ามองก็เห็นว่าเป็นเซิ่งอี่เจ๋อซึ่งสวมหมวกเพิ่งเดินลงมา
“ว้าว… ฉันมาเจออะไรเข้าที่นี่เนี่ย ไม่ใช่เซิ่งอี่เจ๋อ…” เสียงผิวปากของฉีเหยียนซีดังขึ้นตามมา มันเจือไว้ซึ่งความร้ายกาจ