เจ้าปีศาจนี่!
นัยน์ตาอันซย่าซย่ารื้นน้ำตาขณะที่ลนลานลุกออกจากตัวเขาและซุกตัวเข้ามุมรถฝั่งของเธอ เด็กสาววาดวงกลมบนกระจกด้วยนิ้ว
ฉันขอสาปนาย! ขอให้นายไม่ดังเท่าโอปป้าหรงเช่อของฉัน!
เซิ่งอี่เจ๋อกำลังอารมณ์ดี เขาหลับตาลงแกล้งทำเป็นหลับ มุมปากทั้งสองข้างโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม
–
หลังจากนั้นไม่นานรถก็มาถึงหน้าบ้านตระกูลอัน
เซิ่งอี่เจ๋อจัดแจงพรางตัว— สวมหมวกและหน้ากากผ้า— และพาอันซย่าซย่ากลับขึ้นข้างบน
ในห้องนั่งเล่นที่ชั้นสองของบ้าน ป่าป๊าอัน อันอี้เป่ยและเหอจยาอวี๋กำลังนั่งดูแข่งฟุตบอลอยู่ด้วยกัน ขณะที่ฉือหยวนเฟิงกำลังนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นและให้อาหารลูกแมวผอมโซตัวหนึ่งอยู่
หนุ่มน้อยหน้ามนผู้น่ารักอย่างร้ายกาจเมื่อเข้าคู่กับเจ้าลูกแมวน้อยที่อ่อนแอน่าสงสารช่างดึงดูดสายตานัก เป็นฉากที่เต็มไปด้วยความรักและอบอุ่น คนอื่นคงพากันคิดว่าเขาเป็นทูตสวรรค์ซึ่งจุติลงมาจากฟากฟ้าเป็นแน่
แต่ทว่า อันซย่าซย่าร้องกรี๊ดขึ้นมาในทันใดนั้นเองก่อนวิ่งไปหลบหลังเซิ่งอี่เจ๋อ “ว้าย! มะ-มะ-แมว! สวรรค์ช่วย! ทำไมถึงมีแมวในนี้!”
“มาแอบหลังทำไม” เซิ่งอี่เจ๋อสงสัย แต่หญิงสาวยังคงหลบอยู่เบื้องหลังเขาเหมือนกับลูกไก่ขี้ตกใจ ไม่ยอมออกมา
ฉือหยวนเฟิงเห็นว่าทั้งคู่กลับมาแล้วก็พาเจ้าแมวน้อยเดินไปหาอย่างตื่นเต้น “เฮีย ซย่าซย่า วันนี้ผมบังเอิญเจอแมวจรจัดตัวนี้เข้า เลยตัดสินใจว่าจะเลี้ยงมันไว้ ดูสิ น่ารักไหมล่ะ”
เซิ่งอี่เจ๋อมองดูลูกแมว เขาอธิบายถึงมันได้คำเดียวว่าน่าเกลียด แต่ก็พยักหน้าเออออตามไปด้วย
ฉือหยวนเฟิงเบ้ปาก แล้วก็รีบเอาลูกแมวมาอวดอันซย่าซย่าอย่างกระตือรือร้น “ซย่าซย่า เธอคิดว่าฉันควรตั้งชื่อมันว่าอะไรดี”
หญิงสาวกรีดร้องเสียงหลงก่อนเผ่นแผล็วไปที่โซฟาและหยิบหมอนอิงมาเป็นโล่ “อย่าเข้ามานะ! ป๊า พี่ ช่วยหนูด้วย!”
ปฏิกิริยาของเธอดูเกินเหตุไปหน่อย ฉือหยวนเฟิงเกาหัวแกรกๆ อย่างซื่อๆ “” อะไรกัน… ผมพามันไปอาบน้ำพร้อมกับฉีดวัคซีนแล้วนะ ไม่ต้องกลัวไปหรอก…”
“เหมียว เหมียว…” ราวกับจะยืนยันคำพูดของเขา เจ้าเหมียวน้อยส่งเสียงตอบรับอย่างเชื่อฟัง ดูไร้พิษภัยและน่ารักน่าชัง
แต่ถึงอย่างไร อันซย่าซย่าก็หวาดกลัวจนถึงขั้นน้ำตาไหล และถอยหนีไปอีกสองสามก้าว ยิ่งไกลเท่าไหร่ยิ่งดีกว่าเท่านั้น
อันอี้เป่ยไล่อย่างใจดำ “นี่ อันซย่าซย่าพวกเรากำลังดูทีวีอยู่มาบังทำไม นี่กำลังจะสอบรายเดือนแล้วไม่ใช่เหรอ ไปอ่านหนังสือไป”
หญิงสาวกอดหมอนไว้อย่างแน่นก่อนจะลนลานเดินแนบแนวกำแพงกลับขึ้นห้อง
สีหน้าของความโดดเดี่ยวฉายวาบผ่านใบหน้าฉือหยวนเฟิง เขาคิดว่าอันซย่าซย่าคงจะไม่ชอบเขา
ป่าป๊าอันดูออกว่าเด็กหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่จึงอธิบายให้ฟังพร้อมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “เขาค่อนข้างจะกลัวแมวมาตั้งแต่เด็กแล้ว”
“เธอเกิดปีชวด ตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กๆ ก็กลัวแมวมาตลอด” อันอี้เป่ยช่วยยืนยัน
ฉือหยวนเฟิงส่งเสียงอือออเป็นการแสดงว่ารับรู้ขณะที่กอดเจ้าแมวน้อยเอาไว้และเล่นกับมัน อยู่ๆ เขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้และหันไปถามเซิ่งอี่เจ๋อ “พี่ ทำไมถึงได้กลับมาก่อนคอนเสิร์ตจะจบล่ะ”
เซิ่งอี่เจ๋อไม่ตอบอะไรอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบหน้านิ่ง “อ๋อ พวกเรากลับมาอ่านหนังสือน่ะ”
เมื่อจบประโยค ทุกคนในที่นั้นก็หันมามองเขาเป็นตาเดียว
เหงื่อเย็นๆ ไหลลงมาตามไรผมของฉือหยวนเฟิง “พี่ชอบกลับมาอ่านทบทวนบทเรียนตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
สีหน้าของเหอจยาอวี๋เต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
อันอี้เป่ยขมวดคิ้วก่อนตอบ “ได้ยินมาว่าผลการเรียนของนายก็ไม่เลวนี่ พอจะช่วยติวให้ซย่าซย่าของเราหน่อยได้หรือเปล่า เขาหัวไม่ค่อยดีน่ะ กลัวว่าอาจจะสอบไม่ผ่านเอา”
ก่อนที่เซิ่งอี่เจ๋อจะได้ทันตอบอะไร อันซย่าซย่าก็แผดเสียงออกมาจากห้องของเธอ “อย่างน้อยก็ช่วยเบาเสียงลงหน่อยได้ไหมเวลาพูดถึงคนอื่นลับหลังน่ะ หนูได้ยินทุกคำที่พูดเลยนะ!”
อันอี้เป่ยตอบกลับโดยไม่รั้งรอ “ได้ยินแล้วยังไง ทุกอย่างที่พี่พูดเป็นเรื่องจริงไม่ใช่เรอะ”
เด็กสาวสิ้นหวังก่อนจะเงียบไป
ริมฝีปากของเซิ่งอี่เจ๋อปรากฏเป็นรอยยิ้ม เขาเหลือบมองไปทางห้องของอันซย่าซย่า ริมฝีปากขยับเล็กน้อย “ก็ได้ ผมจะสอนเธอเอง”