ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 160 สวัสดีปีใหม่

คนจากตระกูลเฉิงที่มารับพวกนางสองพี่น้องตระกูลโจวมาถึงตั้งแต่เช้าตรู่ของวันที่สองเดือนหนึ่ง

โจวเสาจิ่นกับพี่สาวเก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่เช้าแล้ว หลังจากที่ให้เงินรางวัลป้าแม่บ้านที่มารับพวกนางแล้ว พวกนางก็ขึ้นไปนั่งบนเกี้ยวและออกเดินทางกลับซอยจิ่วหรู

ทั้งสองพี่น้องเลือกไปที่เรือนเจียซู่ก่อน

ทุกที่ภายในห้องโถงของเรือนหลักต่างมี**บและตะกร้าใส่ของมากมาย ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนสวมเพียงชุดเจี๋ยเอ่าหนึ่งตัว กำลังคอยกำกับสั่งการให้บรรดาสาวใช้และบ่าวหญิงสูงวัยทั้งหลายจัดเก็บข้าวของกันอยู่

เมื่อเห็นโจวเสาจิ่นกับโจวชูจิ่น ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนก็ยิ้มออกมาในทันที “ในที่สุดพวกเจ้าก็กลับมาถึงเสียที ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าจนถึงตอนนี้ นายหญิงผู้เฒ่าถามถึงไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว รับมื้อเช้ามากันแล้วหรือยัง รีบเข้าไปพบท่านยายเถอะ คนแก่จะได้ไม่ต้องคอยเป็นกังวล” จากนั้นไม่รอให้พวกนางสองพี่น้องได้ทำความเคารพนาง นางก็ให้สาวใช้ที่อยู่ใกล้ๆ ไปหยิบถุงเงินเข้ามาสองถุง กล่าวขึ้นว่า “นี่เป็นเงินแต๊ะเอียมอบให้พวกเจ้า!”

โจวเสาจิ่นกับพี่สาวรับมาพร้อมกับหัวเราะร่า หลังจากที่คำนับสวัสดีปีใหม่ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงได้ไปพบฮูหยินผู้เฒ่ากวน

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกำลังเล่นไพ่ใบไม้กับซื่อเอ๋อร์และคนอื่นๆ อยู่ เมื่อเห็นพวกนางสองพี่น้องเดินเข้ามา ก็เสมือนได้พบกับผู้ช่วยชีวิตก็ไม่ปาน รีบหันมากวักมือเรียกโจวชูจิ่น “ในที่สุดก็กลับมาแล้ว นี่ข้าสูญเงินไปหลายเหลี่ยงแล้ว รีบเข้ามาช่วยข้าดูสักหน่อยเถิด”

ทำประหนึ่งว่าที่ผ่านพวกนางสองพี่น้องไม่ได้จากไปไหนมาอย่างไรอย่างนั้น

โจวชูจิ่นกับโจวเสาจิ่นหัวเราะร่าพลางกล่าว สวัสดีปีใหม่ ฮูหยินผู้เฒ่ากวนไปหลายครั้ง โจวชูจิ่นถึงได้นั่งลงข้างๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากวน และรับไพ่ในมือของฮูหยินผู้เฒ่ากวนมาพิจารณาดูอย่างละเอียด

ตอนนี้เองที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนถึงได้ร้อง ไอ้หยา ออกมาเสียงหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ลืมให้เงินแต๊ะเอียชูจิ่นกับเสาจิ่นไปเสียสนิท”

โจวเสาจิ่นหัวเราะคิก พลางกล่าว “แต่ข้าไม่ลืมเจ้าค่ะ นี่หากว่าท่านยังไม่เอ่ยอะไรอีก ข้าก็จะเอ่ยปากขอเองแล้ว”

“เจ้าเด็กแสบผู้นี้” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจิ้มหน้าผากของโจวเสาจิ่นอย่างรักใคร่ เปิดกล่องที่อยู่ข้างกายด้วยตัวเอง แล้วหยิบถุงเงินที่เตรียมเอาไว้ตั้งนานแล้วยื่นส่งให้โจวเสาจิ่นกับโจวชูจิ่น

ถุงเงินหนักกว่าของปีก่อนๆ เสียอีก

โจวเสาจิ่นเก็บเอาไว้ในกระเป๋าด้วยท่าทีไม่กระโตกกระตาก เมื่อเห็นศีรษะของฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับพี่สาวผูกติดเข้าด้วยกันแล้ว นางจึงขออนุญาตฮูหยินผู้เฒ่ากับพี่สาวครั้งหนึ่งแล้วออกไปยังห้องโถง

“ท่านป้าใหญ่ ท่านกำลังทำอะไรอยู่หรือเจ้าคะ” นางยกน้ำชาเข้ามาให้ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนอย่างรู้ความ พลางถาม “ต้องการให้ข้าช่วยอะไรหรือไม่เจ้าคะ”

“ไม่มีๆ” ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกล่าวยิ้มๆ “ข้ากำลังจะกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมสักช่วงหนึ่งใช่หรือไม่ ข้าพิจารณาแล้วกว่าข้าจะได้กลับมาอีกครั้งก็ล่วงเลยเทศกาลโคมไฟไปแล้ว เวลานั้นก็เข้าฤดูใบไม้ผลิเรียบร้อยแล้ว ข้าจึงต้องจัดเตรียมเสื้อผ้าและเครื่องประดับของท่านยายของเจ้าเอาไว้ให้เรียบร้อย พวกสาวใช้จะได้ไม่ต้องรีบเร่ง จนทำอะไรไม่ถูก” กล่าวถึงตรงนี้ นางก็พึมพำกล่าวเสียงเบาว่า “เสาจิ่น หากเจ้ามีเวลาว่าง ก็มาอยู่เป็นเพื่อนท่านยายให้บ่อยสักหน่อยได้หรือไม่ ข้ากับพี่ชายของเจ้าไม่อยู่บ้าน ที่นี่ท่านยายของเจ้าคงเงียบเหงาน่าดู”

“ท่านป้าใหญ่วางใจเถิดเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นรีบกล่าว “ระหว่างที่ท่านยังไม่กลับมา ข้าจะมาอยู่เป็นเพื่อนท่านยายก่อนอย่างแน่นอน หากล่วงเลยเทศกาลโคมไฟแล้ว ข้าไปแจ้งฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้ทราบสักครั้งหนึ่งก็ได้แล้ว ถึงแม้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะดูเข้มงวดและเย็นชา แต่ความจริงแล้วจิตใจดียิ่งนัก เป็นคนที่แข็งนอกอ่อนในผู้หนึ่ง คาดว่าไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวลเจ้าค่ะ”

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนได้ยินแล้วก็พยักหน้าอย่างซาบซึ้งใจ

เนื่องด้วยมีใจอยากรั้งเสาจิ่นเอาไว้ที่บ้าน เพราะฉะนั้นบางเรื่องก็ต้องค่อยๆ มอบหมายให้เด็กผู้นี้เป็นคนไปทำ

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจึงกล่าวขึ้นว่า “ข้าอายุมากแล้ว ก้มหน้าหาของพวกนี้มาครึ่งค่อนวัน รู้สึกเวียนศีรษะเล็กน้อย เช่นนั้นเจ้าช่วยข้านำเสื้อผ้าและเครื่องประดับสำหรับใช้ในฤดูใบไม้ผลิของท่านยายของเจ้าออกมาจัดวางให้เรียบร้อย ส่วนเสื้อผ้าและเครื่องประดับของฤดูหนาว ให้นำเข้าไปเก็บครึ่งหนึ่งและเหลือเอาไว้ครึ่งหนึ่ง ด้วยเกรงว่าอาจจะมีอากาศหนาวในช่วงฤดูใบไม้ผลิได้”

โจวเสาจิ่นขานรับ จากนั้นไปช่วยบรรดาสาวใช้ทั้งหลายจัดเก็บข้าวของลง**บให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวน

นางไม่คาดคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนจะมีผ้าโพกศีรษะขนกระต่ายสีขาวหิมะฝังพลอยอยู่ด้วย ซึ่งเม็ดพลอยสีแดงเพลิงเม็ดโตนั้นเหมือนกับสร้อยลูกประคำที่องค์พระโพธิสัตว์สวมใส่บนภาพจิตรกรรมฝาผนัง

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกล่าวเป็นนัยว่า “ถึงแม้นายหญิงผู้เฒ่าจะอายุมากแล้ว แต่ก็ยังชื่นชอบของที่มีสีสันสดใสพวกนี้อยู่”

โจวเสาจิ่นพยักหน้ารับคำชี้แนะอย่างตั้งใจ

ตกบ่ายจึงไปคำนับสวัสดีปีใหม่ฮูหยินผู้เฒ่ากัว

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังเดินหมากล้อมกับเฉิงฉืออยู่พอดี

เฉิงฉือสวมชุดเผาจื่อสีน้ำเงินไพลินดิ้นทองไร้ลวดลายตัวหนึ่ง ขับดุนให้ใบหน้าของเขายิ่งดูอ่อนโยนและสง่างามมากยิ่งขึ้น

เขายิ้มบางๆ และมอบถุงเงินสองถุงให้โจวเสาจิ่นกับโจวชูจิ่นตามฮูหยินผู้เฒ่ากัว

พอกลับถึงเรือนหว่านเซียงโจวเสาจิ่นก็เปิดถุงเงินของเฉิงฉือออกอย่างห้ามใจไม่อยู่เล็กน้อย

ที่แท้ก็เป็นตั๋วเงินสิบเหลี่ยงจำนวนสองใบ

โจวเสาจิ่นค่อนข้างผิดหวัง

ท่านน้าฉือให้เป็นเงินแต๊ะเอียเช่นนี้ก็ออกจะเป็นการให้แบบขอไปทีเกินไป

อย่างไรก็ตาม ของที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้นางมาเป็นลิ่มทอง ซึ่งเป็นลิ่มทองอวยพรให้สมดังปรารถนาจำนวนห้าชิ้น

นางชื่นชอบยิ่งนัก นำพวกมันไปวางเรียงเอาไว้บนผ้ากำมะหยี่สีม่วงแดงในกล่องไม้จันทน์

โจวชูจิ่นขบขันนางพลางกล่าวขึ้นว่า “เจ้าคนลุ่มหลงในเงินทอง”

โจวเสาจิ่นไม่ยี่หระ ยิ้มตาหยีพลางนำกล่องไปเก็บลงใน**บด้วยตัวเอง

ของเหล่านี้ล้วนเป็นของขวัญที่ผู้ใหญ่มอบให้นางมา นางหวังว่าจะเก็บรักษาเอาไว้ตลอดไป หวังแม้กระทั่งว่าจะได้ส่งต่อไปให้ลูกหลานของตัวเองในรุ่นหลังด้วย

กระทั่งส่งฮูหยินใหญ่เหมี่ยนออกเดินทางวันที่สี่เรียบร้อยแล้ว ทุกๆ วันนางกับพี่สาวจะมาอยู่เล่นไพ่บ้าง พูดคุยสัพเพเหระบ้าง หรือบางทีก็เดินเล่นในสวนเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากวน และวันเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วันที่ยี่สิบเดือนหนึ่ง ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนก็ส่งจดหมายกลับมาจากผูโข่ว แจ้งว่ายังต้องอยู่ที่บ้านเดิมต่ออีกสักพัก เนื่องจากนายท่านผู้เฒ่าเหอรั้งให้เฉิงเก้าอยู่ทดสอบความรู้ก่อน ส่วนเฉิงอี้จะอยู่เรียนหนังสือกับนายท่านผู้เฒ่าของตระกูลเหอที่นั่น

สำหรับจวนสี่แล้ว นี่ถือได้ว่าเป็นข่าวดีเหลือจะกล่าว

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนออกคำสั่ง ให้โจวเสาจิ่นเขียนจดหมายตอบกลับไปให้ฮูหยินใหญ่เหมี่ยน บอกว่าให้นางอยู่ที่ผูโข่วต่อไปอีกสักพักให้สบายใจอย่างไม่ต้องเป็นกังวล ยังถามด้วยว่าต้องการให้ส่งเงินไปให้อีกหรือไม่ เฉิงเก้าจะกลับมาเวลาใด หากได้รับคำตอบแล้ว ทางนี้จะได้ส่งเสื้อผ้าสำหรับสวมใส่ทั้งสี่ฤดูของทั้งสองคนไปให้ รวมทั้งบ่าวชายข้างกายก็จะส่งไปให้พร้อมกันด้วยเช่นกัน

จนกระทั่งฮูหยินใหญ่เหมี่ยนส่งจดหมายตอบกลับมา ก็ถึงเทศกาลโคมไฟพอดี

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนแจ้งมาในจดหมายว่า นางจะกลับมาที่จินหลิงในวันที่หนึ่งเดือนสอง เฉิงเก้าจะกลับมาพร้อมกับนางด้วย ส่วนเฉิงอี้จะรั้งอยู่ที่ตระกูลเหอ ให้พ่อบ้านนำเสื้อผ้าของเฉิงอี้และชุดเครื่องเขียนที่เขาใช้เป็นประจำส่งมาให้ก็พอ นายท่านผู้เฒ่าของตระกูลเหอนิยมความเรียบง่าย บ่าวชายหรืออะไรอย่างอื่นนั้นหลีกเลี่ยงเสียจะดีกว่า ตระกูลเหอได้จัดหาบ่าวรับใช้มาซักเสื้อผ้าให้บุตรชายแล้ว ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นก็ให้จัดการด้วยตัวเอง

โจวเสาจิ่นคิดๆ แล้วก็หัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

เฉิงอี้เข้าใจว่าตัวเองจะได้ไปเที่ยวเล่น ผลปรากฏว่ากลับเป็นการพาตัวเองไปทิ้งลงไปในหลุมกับดักอย่างคาดไม่ถึง

ถึงแม้จวนสี่จะเลี้ยงดูพวกเขาสองพี่น้องมาให้อยู่ในระเบียบวินัย แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เคยให้พวกเขาสองพี่น้องต้องขาดแคลนเรื่องอาหาร เสื้อผ้า หรือข้าวของเครื่องใช้ใดๆ การที่อยู่ๆ เฉิงอี้ก็ต้องมีวันเวลาที่ข้นแค้นเช่นนี้ ใบหน้าของเขาคงต้องบิดเบี้ยวจนเหมือนกับบ๊วยเค็มแล้วเป็นแน่

นางช่วยจัดข้าวของให้เฉิงอี้

ซานเป่าเช็ดน้ำตาไม่หยุด สะอึกสะอื้นกล่าวว่า “คุณชายรองคงไม่ต้องการข้าแล้วกระมัง เช่นนั้นข้าจะทำอย่างไรดีขอรับ”

ในความทรงจำของโจวเสาจิ่นนั้น ซานเป่าติดตามอยู่กับเฉิงอี้ตลอด

นางปลอบใจเขายิ้มๆ ว่า “ถึงแม้คุณชายรองจะไม่อยู่บ้าน แต่ข้าวของของเขายังอยู่ ขอเพียงเจ้าตั้งใจดูแลข้าวของของคุณชายรองให้ดี นายท่านใหญ่กับฮูหยินใหญ่ย่อมไม่ปฏิบัติกับเจ้าอย่างอยุติธรรมเป็นแน่”

นัยน์ตาของซานเป่าพลันสดใสขึ้น ท่าทางดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก

กระทั่งบรรจุข้าวของของเฉิงอี้ลง**บและลงสลักเรียบร้อย ซานเป่าก็ยังคงยืนอยู่ตรงหน้าโจวเสาจิ่นอย่างรีรอไม่ไปไหน

โจวเสาจิ่นหลุดยิ้ม ถามขึ้นว่า “เจ้ามีอะไรจะพูดก็ว่ามาเถิด”

ซานเป่าหัวเราะแหะแหะไปหลายสองสามครั้ง กล่าวขึ้นอย่างเอาอกเอาใจว่า “คุณหนูรอง ข้าได้ยินว่าหลังจากเทศกาลโคมไฟแล้วฝานฉีต้องเดินไปเมืองเป่าติ้งหรือขอรับ ท่านก็เห็นว่าตอนนี้ข้าไม่มีธุระอะไรให้ต้องจัดการ เช่นนั้นให้ข้าไปเป็นเพื่อนฝานฉีได้หรือไม่ ระหว่างเดินทางมีเพื่อนร่วมทางเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง ก็ช่วยให้มีความกล้าเพิ่มขึ้นมาอีกสักหน่อยนะขอรับ!”

คิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะแพร่ออกไปรวดเร็วขนาดนี้

อาจจะเป็นเพราะว่ามีบ่าวรับใช้บางคนที่ไม่เคยได้ออกเดินทางไปไหนไกลเลยตลอดทั้งชีวิตกระมัง

โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องนี้คงไม่ได้ ฝานฉีเองก็ติดตามไปกับผู้อื่น หากพาคนไปเพิ่มอีกคนหนึ่ง เกรงว่าผู้อื่นจะไม่เห็นด้วย”

ซานเป่าจึงไม่กล้าพูดอะไรให้มากความอีก ได้แต่รับปากกับโจวเสาจิ่นว่า “คุณหนูรอง ข้าจะดูแลบ้านให้ดีแทนคุณชายรองเองขอรับ”

โจวเสาจิ่นพยักหน้า ตกรางวัลให้ซานเป่าเป็นเศษเงินจำนวนหนึ่งเหลี่ยง

เมื่อกลับมาถึงเรือนหว่านเซียง ปรากฏว่านางได้รับจดหมายมาจากเมืองเป่าติ้ง

เหมือนกับชาติก่อน หลี่ซื่อให้กำเนิดบุตรสาวออกมาผู้หนึ่ง

โจวเจิ้นผิดหวังเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังคงตั้งชื่อให้บุตรที่เกิดใหม่เรียงตามชื่อของบุตรสาวทั้งสองคนว่า ‘โย่วจิ่น’

โจวชูจิ่นคิดว่าไม่จำเป็นต้องให้ฝานฉีนำของไปมอบให้หลี่ซื่อด้วยตัวเอง “พวกเราต่างทำในส่วนของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ การเดินเข้าไปใกล้เกินไปก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเสมอไป”

ด้วยเพราะหลี่ซื่อผลักหลานทิงมาให้โจวเสาจิ่นเป็นคนจัดการ พี่สาวจึงไม่อาจรู้สึกชื่นชอบมารดาเลี้ยงผู้นี้ได้

“ข้าตั้งใจจะให้เขาไปดูท่านพ่อสักหน่อยเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “ในเวลานี้ท่านพ่อคงจะเสียใจไม่น้อยอย่างแน่นอน”

นี่ก็จริง

โจวชูจิ่นไม่กล่าวอะไรอีก กระทั่งวันที่ฝานฉีจะออกเดินทางในวันนั้นกลับเรียกฝานฉีไปหา มอบซองจดหมายอย่างหนาให้เขาฉบับหนึ่ง กล่าวว่า “นี่สำหรับฮูหยิน เจ้าต้องจำไว้ให้ดี ถ้าไม่อาจมอบให้ฮูหยินด้วยตัวเองก็ให้นำมันไปมอบให้หลี่มามาที่เป็นคนข้างกายของฮูหยิน หากมีใครถามขึ้นมา ก็บอกเพียงว่าเป็นคำสั่งของข้า”

ฝานฉีขานรับอย่างนอบน้อม และครั้งนี้เขาออกเดินทางจากเมืองจินหลิงได้อย่างเปิดเผย

โจวเสาจิ่นถามพี่สาวว่ามอบอะไรให้หลี่ซื่อ

โจวชูจิ่นทอดถอนหายใจกล่าวว่า “เป็นเทียบยาบำรุงร่างกายสำหรับมีบุตรที่ข้าขอมาจากท่านป้าใหญ่หลู”

โจวเสาจิ่นประหลาดใจ

โจวชูจิ่นกล่าว “ถึงแม้ข้าจะไม่ชอบนาง แต่ก็ไม่ได้มีเจตนาต้องการทำให้นางลำบาก”

พี่สาวปฏิบัติต่อผู้คนอย่างดีโดยปราศจากอคติส่วนตัว เมื่อไรที่ตนเป็นได้อย่างพี่สาวบ้างก็คงจะดี

โจวเสาจิ่นกอดแขนของโจวชูจิ่นเอาไว้แน่น

โจวชูจิ่นจึงเอ่ยถึงเรื่องของหม่าชื่อกับน้องสาวขึ้นมา “…ที่จับซือหลานได้ในครั้งนี้ ถือว่าเขามีส่วนช่วยเอาไว้เป็นอย่างมาก ข้าปรึกษากับท่านพ่อแล้ว จะให้เขารั้งอยู่ช่วยงานพวกเราสองพี่น้อง ถึงแม้ฝานฉีจะทำงานได้ดี แต่อายุยังน้อยเกินไป ข้าเห็นว่าให้หม่าชื่อพาฝานฉีไปช่วยทำธุระต่างๆ ให้เจ้าก็แล้วกัน”

โจวเสาจิ่นตะลึงงัน

ชาติก่อน หม่าชื่อเป็นบ่าวที่ติดตามมาจากบ้านเดิมของพี่สาว

นางย้อนเวลากลับมาแล้ว แต่พี่สาวยังคงเป็นเหมือนกับชาติก่อนที่เวลามีอะไรดีๆ ก็มักจะยกให้นางก่อนเสมอ

โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะ พลางกล่าว “ท่านพี่ ให้หม่าชื่อติดตามท่านดีกว่า ท่านคงไม่อาจจะไหว้วานแต่ภรรยาของหม่าฟู่ซานให้ช่วยทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ให้ท่านทุกอย่างได้หรอกกระมัง อย่างที่ข้าเคยพูดกับท่านไปว่าให้ท่านหาวิธีส่งจดหมายไปให้พี่เขยสักฉบับ บอกเขาว่าบรรดาบัณฑิตในสำนักศึกษาของตระกูลเฉิงต่างก็กำลังอ่าน ‘ปกิณกคดีฉบับใหม่’ ที่ประพันธ์โดยหูโจ๋วหรานกันอยู่ เห็นๆ อยู่ว่าท่านไม่มีคนให้ใช้งาน เพราะฉะนั้นพวกเราควรจะจัดการเรื่องของท่านพี่ให้เรียบร้อยเสียก่อน ส่วนเรื่องของข้ายังรอได้อีกหลายปีเจ้าค่ะ”

เดือนสี่ของปีหน้าพี่สาวก็จะแต่งงานออกเรือนแล้ว

โจวชูจิ่นหน้าแดงเล็กน้อย ไม่ได้ดึงดันอีก

โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง

นี่หากว่าทิ้งหม่าชื่อเอาไว้ให้นางใช้งาน จะไม่เสียแผนจนวุ่นวายแย่เลยหรือ

ทางด้านของเฉิงฉือเองก็ได้รับข่าวคราวแจ้งมาว่าคนของตระกูลจี้จะรอฝานฉีอยู่ที่เมืองเป่าติ้ง แล้วจะส่งฝานฉีไปจิงเฉิงอีกครั้งหนึ่ง

เขาขมวดคิ้วมุ่นเป็นปม สั่งการไหวซานว่า “ให้คนจับตาดูเขาไว้! อย่าให้เหมือนกับคนของตระกูลจี้ที่ถูกเขาสลัดทิ้งไปเสียได้”

ไหวซานหัวเราะ พลางกล่าวขึ้นว่า “คนของพวกเรากำลังอยู่ระหว่างเดินทางแล้วขอรับ”

…………………………………………………………………

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน
Status: Ongoing
ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset