หนานเฉิงถอนหายใจแล้วเดินตามเจียงโม่หานออกไป
หลิงเวยไม่ยอม เธอพยายามรักเขามากขนาดนี้ ทำทุกอย่างเพื่อเขา สุดท้ายกลับต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้ เธอไม่ยินยอม!
“เจียงโม่หาน คุณชอบฉันสักเล็กน้อยบ้างไหม เม้ว่าจะเป็นเพียงแค่เล็กน้อย ถ้าหากว่ามี ฉันก็ยินยอมพร้อมใจที่จะตาย”
เท้าของเจียงโม่หานหยุดนิ่ง หันหน้าไปมองเธอ เอ่ยอย่างแน่วแน่ว่า “ผมไม่เคยรักคุณ ไม่เคยชอบเลยแม้แต่น้อย”
ไม่เคยมีความรู้สึกดีๆด้วยสักเล็กน้อย
หลิงเวยกำหมัดแน่น ทุบลงบนพื้นอย่างรุนแรง “เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้ คุณจะต้องเคยชอบฉันอย่างแน่นอน!”
เจียงโม่หานไม่สนใจเธอ หมุนตัวเดินก้าวออกไป
“เจียงโม่หาน!”
เสียงไม่ยินยอมของหลิงเวยดั่งขึ้นจากทางด้านหลัง “ฉันรักคุณ ฉันชอบคุณ จะให้ตายเพื่อคุณก็ได้ ทำไมคุณถึงได้ใจร้ายขนาดนี้ ทำไม
ถึงทำกับฉันแบบนี้”
เจียงโม่หานหยุดเท้ายืนนิ่งอีกครั้งและหมุนตัวเดินกลับไปทางเธอสองก้าว “คุณพูดว่าคุณสามารถตายเพื่อผมได้ อย่างนั้นคุณก็ตายเสีย
เถอะ อย่าให้เธออยู่ในปรโลกตามลำพังเลย”
หลิงเวยมึนงงไปแล้ว
เขา เขาบอกว่าให้เธอไปตายหรือ
“ทำไมล่ะ ไม่ยินยอมแล้วหรือ” เจียงม่หานเย้ยหยัน “ความรักของคุณก็แค่ถูกแขวนอยู่ที่ปากสินะ?”
ริมฝีปากหลิงเวยขยับ “ฉันอาลัยอาวรณ์คุณ”
“หึ ถ้าหากว่าคุณตายในตอนนี้ บางทีผมอาจจะยังจำคุณได้”
ตาย? คำๆนี้เอ่ยออกมาช่างง่ายดาย แต่คนที่สามารถตัดสินใจได้อย่างแน่วแน่จริงๆนั้นจะมีสักกี่คน?
ในยามปกติพูดกันก็ไม่มีอะไร แต่จะให้จบชีวิตลงจริงๆ และไม่ได้เห็นโลกใบนี้อีก ก็จะรู้สึกหวาดกลัว
“โม่หาน…”
เจียงโม่หานเอ่ยเสียงเย็นยะเยือกออกมาจากลำคอ “หลิงเวย ความรักของคุณ ก็เป็นแค่สิ่งที่คุณคิดไปเองว่าใช่”
“ไม่ใช่” หลิงเวยส่ายหน้า เธอรักเขา “ตาย ถ้าหากว่าตายไปแล้ว ฉันก็จะไม่ได้เห็นคุณอีก….
“แต่ว่าคุณตายไปแล้ว ผมก็จะจดจำคุณได้ คุณมีชีวิตอยู่ ผมก็ไม่มีทางรักคุณตลอดกาล คุณรักผมมากไม่ใช่หรือ ไม่อยากให้ผมจำคุณ
ได้หรือ” น้ำเสียงของเจียงโม่หานที่แทบจะไร้ความรู้สึกนั้น ทำให้หลิงเวยหวาดกลัว “คุณช่วยฉันได้ไหมคะ”
เจียงโม่หานราวกับได้ฟังเรื่องขบข้นมาก ทิ้งคำพูดเย็นชาเอาไว้ว่า “ฝันไปเถอะ!”
“หนานเฉิง” เจียงโม่หานหมุนตัวไป “ผมต้องการให้เธอตาย!”
หนานเฉิงรีบก้มหน้า เอ่ยว่า “บางทีเธออาจจะถูก…”
เจียงโม่หานตวัดสายตาโหดเหี้ยมมองมา หนานเฉิงก็หุบปากทันที “ผมทราบแล้วครับ”
หลิงเวยนึกว่าเขามาเยี่ยมเธอ มาเพื่อช่วยชีวิตเธอ แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่า การมาเยือนของเขาจะทำให้เธออยู่ห่างจากความตายใกล้ไป
อีกก้าวหนึ่ง
เธอไม่เข้าใจ คิดไม่ออกว่าเจียงโม่หาน รู้ได้อย่างไร?
เป็นหลินลุ่ยซีหรือ
เธอเป็นใครกันแน่?
หรือว่าจะเป็น…จงเหยียนซี?
ไม่ เธอไม่เชื่อ
เห็นอยู่ชัดๆว่าเธอตายในกองเพลิง
ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้
เป็นไปไม่ได้!
เธอไม่ยอมที่จะเชื่อว่าจงเหยียนซีอาจจะยังมีชีวิตอยู่!
นั่นเป็นคนที่ตัวเองเกลียดมากที่สุด เป็นเธอที่แย่งคนที่ตัวเองรักไป
เมื่อออกมาจากสถนีตำรวจ หนานเฉิงก็มองเจียงโม่หาน “อาศัยเพียงแค่ไม่กี่ประโยคของผู้ชายคนนั้น คุณก็เชื่อว่าหลิงเวยฆ่าคนแล้ว
หรือครับ”
เจียงโม่หานไม่ได้ตอบคำถามแต่กลับเอ่ยว่า “ส่งกุญแจรถมาให้ผม”
เจียงโม่หานเป็นกังวล “คุณจะไปไหนหรือ ผมจะไปส่งคุณ”
อารมณ์ของเขาดูเหมือนจะไม่ดี จึงไม่วางใจให้เขาอยู่คนเดียว
“เอามาให้ผม!” เขามีโทสะขึ้นมากะทันห้น หลังจากนั้นก็รู้ตัวว่าตัวเองไม่ควรจะระบายโทสะใส่เขา “อารมณ์ผมไม่ดี”
หนานเฉิงยื่นกุญแจรถส่งให้เขา “ถ้าหากว่าคุณไม่สบายใจ ผมจะดื่มเป็นเพื่อนคุณแก้วหนึ่ง?”
เจียงโม่หานเหลือบตาขึ้นมองเขา
หนานเฉิงเอ่ย “คุณตัวคนเดียว ไม่สู้ให้ผมอยู่เป็นเพื่อนคุณ ผมรู้จักร้านหนึ่งที่ไม่เลวเลย เงียบสงบมาก จะไม่มีใครไปรบกวน”
“ผมอยากอยู่คนเดียว” เขากดปุ่มปลดล็อกแล้วขึ้นรถไป
รถถูกขับออกไปอย่างรวดเร็ว
หนานเฉิงถอนหายใจ รู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้กะทันหันเกินไป อีกทั้งเรื่องราวภายในนั้นก็ยังมีจุดที่เขาไม่เข้าใจอยู่มากมาย
หลิงเวยถูกควบคุมตัวเป็นผู้ต้องสงสัยโทษฐานฆ่าคนตาย เรื่องหนึ่งปีก่อน ทำไมถึงได้ถูกเปิดเผยออกมาในคราวเดียว? อีกทั้งทางตำรวจ
ก็มีหลักฐานว่าเธอฆ่าคนทั้งหมดแล้วควบคุมตัวเอาไว้?
เขาตัดสินใจไปทำความเข้าใจเรื่องนี้ ให้ชัดเจน เมื่อเดินไปถึงริมถนน เขาก็เรียกรถแล้วจากไป
โรงแรม
จงเหยียนซีได้รับข้อความที่จวงเจียเหวินส่งมา
(เรื่องที่เธอให้ฉันตรวจสอบ ได้ผลลัพธ์แล้ว]
เธอรีบตอบกลับไปทันที ก่อนที่คุณอากวนจะแต่งงานเคยมีแฟนสาวไหม เป็นคนแบบไหน ตอนนี้อยู่ที่ไหนหรือ]
เธอโอบกอดความตื่นเต้นเอาไว้ขณะรอคำตอบ แต่เมื่อผ่านไปนานก็ไม่มีการตอบรับ
เธออดไม่ได้ที่จะส่งไปอีกหนึ่งข้อความว่า (ทำไมถึงไม่พูดล่ะ]
[ตอนนี้คุณอากวนเป็นคนที่มีครอบครัวแล้ว ทำไมถึงต้องตรวจสอบเรื่องในอดีตว่าเขาเคยมีแฟนสาวหรือไม่ ไม่กลัวว่าเรื่องในอดีตจะ
ทำให้ครอบครัวของเขาร้าวฉานหรือ]
นี่คือคำถามที่เป็นข้อเท็จจริง
ถ้าหากว่ากู้เสียนมีความเกี่ยวข้องกับคุณอากวน จริงๆ เช่นนั้นจะต้องพัวพันกับความรู้สึกแน่นอน
เธอขาดการพิจารณาไปจริงๆ
[ถ้าอย่างนั้นนายตรวจเจออะไรไหม] เธอถาม
เธอยังอยากจะรู้ แม้ว่าเธอจะไม่บอกกู้เสียนชั่วคราวก็ตาม
(ไม่อย่างนั้น เธอไปถามเขาด้วยตัวเอง?]
(หมายความว่าอะไร]
[ความจริงแล้วใจเธอเองก็เข้าใจ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ จะปิดบังเอาไว้ได้อย่างไร ไม่มีใครไปกระทุ้งมันก็เพราะว่าเป็นห่วงเธอ กลัวว่าเธอจะไม่
สามารถเผชิญหน้ากับพวกเราได้ แต่ว่าช้าเร็วอย่างไรเธอก็ต้องเผชิญหน้า? หรือว่าจะหลบหนีไปชั่วชีวิต?]
จงเหยียนซีรู้ เธอสามารถเข้าบริษัทรุ่นเหม่ได้อย่างราบรื่น เธอก็เริ่มสงสัยแล้ว สิ่งที่เธอคิดจะทำทั้งหมดล้วนราบรื่นเกินไปแล้ว
จะไม่มีความรู้สึกได้อย่างไร?
เพียงแค่เธอจงใจละเลยมัน ไม่ยินยอมที่จะยอมรับเท่านั้นเอง
ถัดมาก็มีข้อความมาอีกหนึ่งข้อความ (พ่อล้างเท้าให้แม่มาปีหนึ่งแล้ว ตอนนี้ยังไม่ให้อภัยเขา ก็เพราะในปีนั้นพูดว่าเจียงโม่หานจะตกหลุม
รักเธอ ตอนนี้แม่ยังไม่สนใจเขาเลย]
ตอนนั้นสถานะของเจียงม่หานไม่ได้เป็นความลับ เรื่องนี้จงจิ่งห้าวกับหลินซินเหยียนล้วนรู้เช่นกัน และเป็นเพราะว่ารู้ถึงได้ไม่เห็นด้วยที่
พวกเขาจะแต่งงานกัน เรื่องที่จงเหยียนซีชอบเจียงโม่หาน พวกเขาก็รู้เช่นกัน
ตอนนั้นจงเหยียนซีมีท่าทีแน่วแน่ อีกทั้งยังไม่สนใจความเห็นของคนในครอบครัว ท่าทีแข็งข้อจนอยากจะให้คนดสักครั้ง!
แต่ไม่มีใครกล้าอัดจริงๆ
ในภายหลังต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่ก้นอยู่นาน เป็นจงจิ่งห้าวที่เอ่ยกับหลินซินเหยียนว่า “เขาจะต้องตกหลุมรักลูกสาวของพวก
เราแน่นอน”
ทั้งยังเต็มไปด้วยความมั่นใจ
มีความมั่นใจในตัวลูกสาวของตนเองมาก
สุดท้ายเขาก็คำนวณผิดไป
ทั้งยังเกือบจะทำให้จงเหยียนซีเสียชีวิตเพราะเรื่องนี้
หลินซินเหยียนจึงไม่พูดจากับเขามาโดยตลอดเพราะเรื่องนี้
จงเหยียนซีซุกตัวอยู่บนโซฟา ตอบว่า (นายกำลังไปเยี่ยมพวกเขาหรือ]
[อืม]
[สุขภาพของคุณแม่ยังดีไหม]
[พวกเราล้วนรู้ดีว่าเรื่องในครั้งนั้น สร้างอาการบาดเจ็บให้กับร่างกายคุณแม่ ทว่าคุณพ่อดูแลเธอดีมาก ไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้เธอต่างหาก
ที่ทำให้คนเป็นห่วง]
จงเหยียนซีหลุบตาลง
[รออีกสักหน่อย]
เรื่องที่เธอทำยังไม่สำเร็จ เธอไม่อยากจะไปพบกับพวกเขา
ยังคิดไม่เรียบร้อยดีว่าจะเผชิญหน้าอย่างไร
[โอเค] จวงเจียเหวินก็ไม่ได้ฝืนใจเธอ
จงเหยียนซีเอ่ยถึงหัวข้อแรกสุดอีกครั้ง
(นายเล่าสิ่งที่นายตรวจพบกับฉัน ฉันจะไม่สร้างปัญหาให้กับคุณอากวนสุ่มสี่สุ่มห้า ฉันเพียงแค่อยากรู้]
ก๊อกๆ…
จู่ๆก็มีเสียงคนเคาะประตูดังขึ้น เธอจึงวางโทรศัพท์มือถือแล้วลุกขึ้นไปเปิดประตู