ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 865 กำแพงบทกลอน

จางเว่ยอวี่มุ่งหน้าไปทางตะวันตก แต่หลี่ว์ซู่ไม่รู้ว่าเขาจงใจมุ่งหน้าไปทางเหนือก่อนจะไปทางอื่นหรือไม่ พื้นที่ทางตะวันตกเป็นเขตแดนของจอมทัพสวรรค์บูรพา ตวนมู่หวงฉี่ จางเว่ยอวี่จะไปถึงที่นั่นหลังจากข้ามเนินเขาและเเม่น้ำ

 

 

จางเว่ยอวี่เคยบอกหลี่ว์ซู่ว่า ในอดีต ทาสหญิงที่อาศัยอยู่ในบ้านชาวนาใกล้เคียง จะไปอาบน้ำในแม่น้ำ ซึ่งพวกเธอเหล่านี้มีหน้าตางดงามกว่าพวกชนชั้นสูงมากมายนัก

 

 

หลี่ว์ซู่เข้าใจได้ ด้วยเหตุผลบางอย่าง จางเว่ยอวี่ดูจะไม่ค่อยชอบพวกชนชั้นสูง ก็เหมือนในเรื่องไซอิ๋วที่ตัวละครเดินทางไปแดนตะวันตก และเมื่อพวกเขาไปถึง พวกเขาก็ได้รับการทักทายว่า ‘ยินดีต้อนรับสู่เถี่ยหลิ่ง’ …พวกเขาเดินไปผิดทาง! พวกเขาเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง!

 

 

ที่นี่ไม่มีเส้นแบ่งเขตที่ชัดเจน เมืองต่างๆ ถูกนำมาใช้แทน หลังสงคราม หากเมืองใดถูกยึด นั่นหมายความว่าพวกเขาจะสูญเสียพื้นที่ๆ ยึดครองโดยเมืองนี้

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกว่า ไม่ว่าจางเว่ยอวี่จะทำอะไร นั่นก็ไม่สำคัญ คนคนนี้แปลกมาก หลี่ว์ซู่ค้นพบว่าแม้แต่ทาสที่ไม่ได้รับการฝึกฝน อย่างน้อยก็ต้องมีพละกำลังที่มากกว่าคนธรรมดาในโลกมนุษย์สามถึงสี่เท่า แต่จางเว่ยอวี่ไม่ใช่แบบนั้น หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเขาอ่อนเเอกว่ามนุษย์ธรรมดาเสียอีก

 

 

นี่เป็นสถานะที่ผิดปกติ ราวกับว่าเรื่องนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลัง แต่อย่างไรเรื่องเหล่านี้ก็ไม่เกี่ยวกับเขา สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือเขาต้องก้าวขึ้นสู่ระดับห้าอย่างมั่นคงและรวดเร็ว

 

 

เมื่อเขาฝึกในตอนเช้า จู่ๆ เขาก็เกิดความคิดว่าต่อให้เขาได้กินแค่ขนมปัง แต่ในที่สุดแล้วเขาก็จะหาทางฝึกฝนได้เมื่อเวลามาถึง เขาใช้กิ่งไม้เขียนลงบนพื้นดินว่า วันหนึ่ง ฉันจะทำความฝันให้เป็นจริงให้ได้!

 

 

ตัวอักษรเหล่านั้นทั้งหนาและแข็งแรงเนื่องจากแฝงไว้ด้วยพลังแห่งกระบี่

 

 

หากคนที่ฝึกฝนท่วงท่าวิชากระบี่ได้เห็นตัวอักษรเหล่านี้บนพื้น พวกเขาก็อาจจะเข้าใจอะไรบางอย่าง ในครั้งนี้กิ่งไม้ไม่ได้หักคามือหลี่ว์ซู่ ราวกับว่าพลังทางกายของเขาสามารถทำให้ทุกอย่างที่เขาต้องการเป็นไปได้ ท่วงท่าวิชากระบี่ของเขากำลังค่อยๆ พัฒนา

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกค่อนข้างมีความสุข เพราะยิ่งท่วงท่าวิชากระบี่ของเขาดีขึ้นมากเท่าไหร่ อัตราที่โลกให้คลื่นพลังจิตวิญญาณกับเขาก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เขาต้องการเพียงแค่ยี่สิบวันแทนที่จะเป็นหนึ่งเดือนเพื่อไปให้ถึงระดับสี่

 

 

ในขณะที่เขากำลังฝึก เสียงควบม้าดังมาให้ได้ยินจากปลายถนน พวกเขามาถึงตามที่คิดไว้

 

 

ครั้งนี้เขาจะได้อะไรเป็นของขวัญ…

 

 

เขามองออกไปและเห็นหญิงสาวที่ชื่ออวี่เตี๋ยมาด้วยตนเอง

 

 

อวี่เตี๋ยหยุดม้าของเธอที่ข้างๆ หลี่ว์ซู่ เธอมองลงมาที่เขา “ชาวนาคนนี้ ฉันจำเป็นต้องมาที่นี่ด้วยตัวเองก่อน นายถึงจะเต็มใจยอมรับคำเชิญของฉันงั้นเหรอ”

 

 

ด้วยท่วงท่าวิชากระบี่ในมือ หลี่ว์ซู่ยิ่งดื้อดึง “ถึงแม้คุณจะมาด้วยตัวเอง ผมก็อาจจะไม่ยอมรับคำเชิญอยู่ดี”

 

 

ในตอนนั้นเองอวี่เตี๋ยสังเกตเห็นคำที่หลี่ว์ซู่เขียนบนพื้น นั่นทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจมาก

 

 

หลี่ว์ซู่มองกลับไปที่คำที่เขาเขียน อวี่เตี๋ยเข้าใจคำเหล่านี้จริงๆ เหรอ หรือเขาจะกลายเป็นกวีอมตะในโลกใบนี้ หลังจากนั้นเขาจะสามารถดึงดูดให้ชนขั้นสูงมาเป็นผู้ติดตาม และไปถึงจุดสูงสุดของชีวิตได้หรือไม่ จากนั้นผู้คนก็จะหาอาหารมาให้เขาทุกวัน แล้วเขาก็จะสามารถฝึกได้อย่างปลอดภัยและไปถึงระดับหนึ่งได้ก่อนที่จะเป็นอิสระ!

 

 

ในโลกใบนี้ ปัญญาชนได้รับการยกย่องโดยชนชั้นสูงว่าเป็นผู้ที่มีความสำคัญ จากที่จางเว่ยอวี่เคยเล่า ทาสที่สามารถสอนหนังสือได้มีค่าเท่ากับฟาร์มปศุสัตว์ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่ามาก

 

 

นอกจากนี้ ทาสที่สามารถสอนหนังสือได้ก็จะได้รับการยกย่องว่าสำคัญจากหัวหน้าตระกูลเช่นกัน พวกเขาจะได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่าทาสคนอื่นๆ เป็นอย่างมาก และชาวนาบางคนอาจจะได้รับยกย่องให้เป็นแขกคนสำคัญเพราะความรู้ของพวกเขา นี่เป็นแนวทางการปฏิบัติที่ตั้งขึ้นโดยราชาแห่งทวยเทพองค์เก่า

 

 

ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติตามแบบอย่างของผู้บังคับบัญชา หากราชาแห่งทวยเทพองค์เก่าให้ความสำคัญกับผู้มีปัญญา คนอื่นๆ ก็จะทำแบบนั้นเช่นกัน ในอดีต ครอบครัวของนายทาสกลายเป็นชนชั้นสูงเพราะลูกชายของพวกเขาเฉลียวฉลาด ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในชนชั้นทางสังคมนี้เป็นที่ดึงดูดใจมาก

 

 

นอกจากนี้จางเว่ยอวี่ยังเคยบอกอีกว่า ผู้มีปัญญาจะได้รับการต้อนรับอย่างดีในซ่อง บทกลอนที่ดี ถึงแม้จะไม่สมบูรณ์ ก็สามารถช่วยให้กวีได้ดื่มกินอาหารดีๆ ในซ่องได้เป็นเดือน

 

 

เมื่อหลี่ว์ซู่ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกว่าโลกใบนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น…

 

 

หลี่ว์ซู่ยืนอย่างภาคภูมิใจ เขาต้องการทำให้ตนเองดูเหมือนนักกวีทั่วๆ ไป ทันใดนั้น อวี่เตี๋ยก็พูดขึ้นว่า “ฉันไม่คิดว่านายก็ชอบบทกลอนของราชาแห่งทวยเทพองค์เก่าเหมือนกัน”

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกประหลาดใจ

 

 

เดี๋ยวก่อนนะ ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ เขาอยากจะทำตัวให้เหมือนนักกวีอมตะ แต่ยังมีคนที่ไร้ยางอายมากกว่าเขาอยู่อีกหรือ!

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกงงงวยเล็กน้อย “คุณชอบบทกลอนบทไหนของเขามากที่สุด”

 

 

อวี่เตี๋ยตอบอย่างตื่นเต้นว่า “ฉันไม่คิดเลยว่าจะได้เจอคนที่รู้เรื่องบทกลอนในเมืองนี้! ฉันชอบ ‘หรูเมิ่งลิ่ง’ พวกเราพายเรือ! พวกเราพายเรือ! ทำให้นกนางนวลและนกกระสาที่อยู่บนชายหาดตกใจ!”

 

 

“ฮ่าๆ” สีหน้าของหลี่ว์ซู่มืดครึ้มลง ตัวเขาคัดลอกบทกลอนมาจากทั้งนักกวีชายและหญิง แต่ราชาแห่งทวยเทพองค์เก่ามีขอบเขตที่กว้างกว่านั้น เขาไม่ให้โอกาสคนอื่นเลย…

 

 

ช่างไร้ยางอายเสียจริง!

 

 

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาทำให้ภาษาเป็นปกติและการเขียนเป็นมาตรฐาน เพื่อให้ทุกคนสามารถอ่านกลอนของเขาได้! ประวัติศาสตร์นี้ไม่สมเหตุสมผลด้วยซ้ำ ทำไมถึงยังยืนกรานที่จะลอกเลียนแบบอยู่อีก

 

 

 

 

อวี่เตี๋ยดูตื่นเต้นมากราวกับว่าเธอได้พบกับใครสักคนที่เข้าใจเธอ “ทาสที่หยาบคายเหล่านี้ไม่มีใครสักคนที่เข้าใจพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังบทกลอนเหล่านี้ นายฉลาดจริงๆ!”

 

 

หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดและพูดว่า “ผมรู้แค่เล็กน้อยเท่านั้น คุณมีบันทึกรวมบทกลอนของราชาแห่งทวยเทพองค์เก่าหรือเปล่า ผมอยากจะดูสักหน่อย”

 

 

เขาพูดเช่นนั้นเพราะอยากรู้ว่าราชาแห่งทวยเทพองค์เก่าได้พลาดสิ่งใดที่เขาจะสามารถทำขึ้นมาทดแทนได้ไปหรือไม่ หากเขาได้รู้ว่าราชาองค์เก่าคัดลอกบทกลอนใดมาบ้างแล้ว บทกลอนของพวกเขาจะได้ไม่ซ้ำซ้อนกัน

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามฉันไปที่พระราชวังสิ” อวี่เตี๋ยพูดอย่างตื่นเต้น “มันคงไม่สะดวกที่จะต้องขนกำแพงทั้งกำแพงที่เต็มไปด้วยบทกลอนกลับไปกลับมา”

 

 

เมื่อหลี่ว์ซู่ได้ยินคำว่า ‘กำแพงที่เต็มไปด้วยบทกลอน’ เขาก็เริ่มรู้สึกสิ้นหวัง…

 

 

ราชาแห่งทวยเทพองค์เก่ามีชีวิตอยู่มานานแค่ไหนกัน หรือเขาจะเบื่อเพราะอยู่มานานเกินไปใช่ไหม

 

 

ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็รู้สึกว่า เมื่อความยืนยาวของชีวิตไม่ได้มีความสำคัญต่อราชาแห่งทวยเทพองค์เก่า ชีวิตของเขาก็คงเป็นเหมือนเกมๆ หนึ่ง เพราะเขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดแถมยังมีชีวิตที่ยืนยาว เช่นนั้นเขาก็คงเล่นสนุกได้ตามแต่ใจปรารถนา

 

 

“ตกลง ผมจะเดินทางไปที่พระราชวังกับคุณ แต่ผมขอพูดก่อนว่า ผมจะไม่ขายตัวเองเป็นทาส” หลี่ว์ซู่พูดอย่างใจเย็น จู่ๆ เขาก็ต้องการทำความเข้าใจราชาแห่งทวยเทพองค์เก่า

 

 

ในทางกลับกัน ดูเหมือนว่าอวี่เตี๋ยได้เปลี่ยนทัศนคติของเธอไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว “จากนี้ไป นายคือเพื่อนของฉัน อย่าพูดถึงเรื่องทาสอะไรนั่นอีกเลย!”

 

 

หลี่ว์ซู่ครุ่นคิด หากเขาได้รับประโยชน์จากราชา…ไม่จำเป็นต้องพูดเลย จู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับราชาแห่งทวยเทพองค์เก่า เขาเคยเป็นผู้นำของโลกนี้ แต่เขาช่างธรรมดาเหลือเกิน เขาเคยโกรธเคืองโสเภณีที่อยู่ที่ซ่อง และถึงขนาดเคยลอกบทกลอน…

 

 

น่าสนใจ นี่คือคำวิจารณ์ของหลี่ว์ซู่

 

 

แต่หลี่ว์ซู่ยังคงสงสัยอีกเล็กน้อย ทำไมราชาแห่งทวยเทพองค์เก่าถึงได้มีจุดจบ ชีวิตของเขาสิ้นสุดลงตามธรรมชาติ หรือเกิดอุบัติอะไรขึ้นกันแน่

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset