หลี่ว์ซู่มองเหล่าทาสที่ใช้แส้กระตุ้นม้าออกไป เขาถอนหายใจและพูดว่า “ผมคิดว่าเราน่าจะกินได้อีกสักสองสามวัน”
จางเว่ยอวี่รู้สึกว่าตั้งแต่เด็กหนุ่มคนนี้ปรากฏตัว ชีวิตของเขาก็เหมือนเข้าไปอยู่ในโลกนิยาย ทุกสิ่งล้วนแปลกประหลาด ไม่ใช่เพียงแค่มีติ่มซำมาส่ง แต่ยังมีแม้กระทั่งขาหมูอีกด้วย
นอกจากนี้ เด็กหนุ่มคนนี้ยังได้รับเชิญให้ไปเยือนบ้านของคนพวกนั้น! เรื่องแบบนี้หาได้ง่ายๆ ที่ไหน!
ลืมไปได้เลย แต่หลังจากหลี่ว์ซู่ปฏิเสธข้อเสนอ พวกทาสยังบอกอีกว่าอวี่เตี๋ยบอกพวกเขาแล้ว เพราะหลี่ว์ซู่หน้าตาดี ดังนั้นเธอจะปล่อยเขาไปก่อน!
จางเว่ยอวี่มองหลี่ว์ซู่อย่างตกใจ “ฉันคิดมาตลอดว่าคนที่มีพลัง มักจะเอาชีวิตรอดด้วยทักษะของพวกเขา แต่นายกับเอาชีวิตรอดด้วยหน้าตา!”
หลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างถ่อมตัว “ผมไม่มีทางเลือก สวรรค์ก็แค่ประทานอาหารให้ผมกิน”
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +481!]
ด้วยวิธีนี้ หลี่ว์ซู่ค่อยๆ ผสานร่างเข้ากับกระบี่ตามข้อแนะนำอย่างอดทน โชคดีที่เขาไม่ต้องปลูกพืชผักอีกต่อไป เพราะในทุกๆ วัน จะมีคนนำอาหารมาให้เขา จางเว่ยอวี่รู้สึกมึนงง หรือนี่จะเป็นเรื่องราวที่ลูกสาวจากตระกูลที่ร่ำรวยมาตกหลุมรักเด็กหนุ่มยาจก
เรื่องราวดังกล่าวเล่าถึงความรักที่ต้องก้าวข้ามชนชั้นในแบบที่ค่อนข้างสุรุ่ยสุร่าย ราวกับว่านี่เป็นเพียงรูปแบบเดียวของความรัก
นอกจากนี้ยังดูเหมือนว่าผู้นำตระกูลอวี่อาจจะอ่านหนังสือมากเกินไป เธอถึงได้เชื่อเรื่องแนวๆ นี้
ในวันที่หนึ่ง หลี่ว์ซู่ให้ติ่มซำกับจางเว่ยอวี่ แต่เขาไม่ได้กินมัน
ในวันที่สอง หลี่ว์ซู่ให้ติ่มซำกับจางเว่ยอวี่อีก แต่เขาก็ไม่ได้กินมัน
ในวันที่สาม หลี่ว์ซู่ทำอาหารที่มีเนื้อหมูให้จางเว่ยอวี่ และเขาก็กินอย่างมีความสุข
มันเป็นเรื่องยากสำหรับหลี่ว์ซู่ในการทำอาหารจานนี้ เพราะนอกจากเกลือแล้ว ก็ไม่มีเครื่องปรุงอื่นใดในพื้นที่ทุรกันดารนี้
โดยปกติแล้ว ผู้คนจะฆ่าหมูเฉพาะในวันปีใหม่ หรือไม่ก็ในเทศกาลอื่นๆ และขายเนื้อหมูให้พวกนายทาสและเหล่าชนชั้นสูง จากนั้นพวกเขาจะใช้ไขมันจำนวนเล็กน้อยเพื่อสกัดเอาน้ำมันหมูออกมา ซึ่งพวกเขาแทบจะรอไม่ไหวที่จะได้ใช้น้ำมันนี้ในการทำอาหาร และถ้าพวกเขาตะกละมาก ก็จะผสมน้ำมันจำนวนเล็กน้อยลงไปในอาหารของพวกเขาด้วย
ในขณะที่จางเว่ยอวี่กินเนื้อหมู เขาพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ฉันจะบอกอะไรให้นะ เนื้อหมูนี้ไม่ใช่อาหารที่ดีที่สุด ครั้งหนึ่งฉันเคยกินไก่ย่างชุ่มน้ำมันที่พระราชวัง นั่นถึงจะเป็นอาหารที่เยี่ยมยอด!”
หลี่ว์ซู่ชำเลืองมองจางเว่ยอวี่ “คุณเคยไปที่พระราชวังด้วยเหรอ”
จางเว่ยอวี่ไม่พูดและกินต่อไป
พระราชวังตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างคฤหาสน์ของจอมทัพสวรรค์ทั้งสี่ เขตแดนของพวกเขาถูกจัดแบ่งอย่างเรียบร้อยเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส
แต่นั่นเป็นเรื่องในอดีต หลายปีหลังสงคราม เขตแดนต่างๆ ก็ไม่ชัดเจนอีกต่อไป
ทุ่งที่หลี่ว์ซู่และจางเว่ยอวี่อาศัยอยู่ๆ ภายใต้การควบคุมของจอมทัพสวรรค์ทักษิณ เหวินไจ้โฝ่ว แต่ห่างออกไปสามสิบกิโลเมตรทางตะวันตกเป็นเขตแดนของจอมทัพสวรรค์บูรพา ตวนมู่หวงฉี่
ไม่แปลกใจเลยที่จางเว่ยอวี่เคยบอกว่า ถ้าหากมีสงครามเกิดขึ้นหลี่ว์ซู่จะต้องหนีไปกับเขา เพราะพื้นที่นี้อยู่ในแนวชายเเดน ถ้ามีสงครามเกิดขึ้นจริง สถานที่แรกที่จะได้รับผลกระทบก็คือพื้นที่ทุ่งของพวกเขา
“พระราชวังเป็นยังไงเหรอ” หลี่ว์ซู่ถาม
จางเว่ยอวี่เช็ดปาก “ทุ่งของพวกเราแย่มากเมื่อเทียบกับพระราชวัง ที่นั่นบ้านเรือนถูกจัดระเบียบเป็นแถวแน่นขนัด นายทาสที่อยู่ที่นั่นก็ไม่กล้าพูดจาเสียงดัง ถ้านายฉีดน้ำที่นั่น นายอาจจะทำให้บางพื้นที่เปียกได้โดยบังเอิญ พื้นที่นั่นปูไว้ด้วยอิฐหินปูน ลูกๆ ของนายทาสสามารถวิ่งเล่นไปตามท้องถนนได้ และถึงขั้นมีคนคอยสอนร้องเพลง ครอบครัวที่ร่ำรวยจะมีประตูที่กว้างและโอ่อ่า และถึงขั้นมีโคมแดงอยู่ที่ประตูแต่ละด้าน รวมทั้งมีทาสคอยเฝ้าบ้านด้วย”
“ในตอนนั้น ตามท้องถนนเต็มไปด้วยผู้คนในช่วงเทศกาล นายทาสทั้งหลายก็จะออกไปที่ถนน ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะมีแค่ช่วงเวลานั้นที่พวกเขาจะได้เห็นหญิงชนชั้นสูงว่าพวกหล่อนหน้าตาเป็นยังไง ฮี่ๆ” จางเว่ยอวี่หัวเราะอย่างกักขฬะ “ในอดีต ฉันคิดว่าหญิงชนชั้นสูงทุกคนคงดูเหมือนกับเทพธิดา แต่หลังจากที่ฉันได้เห็นพวกเธอ ฉันก็เริ่มตั้งคำถามถึงการมีอยู่ของตัวเอง ทำไมพวกเธอถึงน่าเกลียดจัง”
หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้และพูดว่า “หรือคุณกลัวว่าจะไม่ถูกเลือกเพราะครอบครัวเชื่อมโยงกันโดยการแต่งงาน”
จางเว่ยอวี่ยกนิ้วให้หลี่ว์ซู่ “ฉันไม่ได้คาดหวังว่าทาสอย่างนายจะมีความรู้ที่จะมีความคิดแบบนั้น!”
“ไปให้พ้น” หลี่ว์ซู่พูด
ตอนนี้จางเว่ยอวี่ต้องพึ่งพาอาหารจากหลี่ว์ซู่ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ทำตัวก้าวร้าวเหมือนที่ผ่านมา หลี่ว์ซู่จึงพูดคุยกับเขาได้เหมือนเพื่อน
จู่ๆ จางเว่ยอวี่ก็พูดขึ้นมาว่า “พรุ่งนี้ฉันต้องไปเยี่ยมญาติ ช่วยฉันดูแลพืชผลด้วย”
“ไม่” หลี่ว์ซู่ไม่แม้แต่จะคิดก่อนตอบ “พืชเหล่านั้นจะเป็นเหมือนเดิมถึงแม้จะไม่มีใครดูแล มันก็แค่วันเดียวเอง พืชเหล่านั้นจะโตได้สักแค่ไหนกันเชียว”
จางเว่ยอวี่ตะโกน “อย่าหลงคิดว่าตระกูลอวี่ส่งอาหารดีๆ มาให้แล้วนายจะไม่ต้องทำอะไรนะ รอจนกว่าพวกเขาเบื่อนาย พอถึงตอนนั้นนายก็จะต้องหันมาพึ่งพืชผลของฉันเพื่อมีชีวิตรอด”
“ถึงคุณจะพูดแบบนั้นผมก็จะไม่ทำอยู่ดี” หลี่ว์ซู่ปฏิเสธอย่างไร้อารมณ์
เขาอยู่ที่นี่มาเกือบครึ่งเดือนแล้ว และตอนนี้เขาก็เกือบจะไปถึงระดับห้าแล้ว และในตอนที่เขาไปถึงระดับสี่ เขาก็จะสามารถเดินไปตามข้างทุ่งได้
ในท้องทุ่งแห่งนี้ คนที่แข็งแกร่งที่สุดคือชนชั้นสูงที่อยู่ระดับสาม แต่หลี่ว์ซู่รู้ดีว่าถึงแม้พวกชนชั้นสูงจะอยู่ในระดับสูง แต่พวกเขาขาดทัศนคติและวิธีการ ถึงแม้ตัวเขาจะอยู่เพียงระดับสี่ เขาก็มั่นใจว่าจะสามารถฆ่าคนที่อยู่ระดับสามได้
แต่จู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกว่าการเดินทางของจางเว่ยอวี่ในครั้งนี้ คงไม่ได้ง่ายเหมือนการไปเยี่ยมญาติเฉยๆ แน่ ตัวเขามีเรื่องราวลึกลับมากเกินไป มันดูราวกับว่าประชาชนคนธรรมดา จู่ๆ ก็จะไปที่พระราชวังซึ่งอยู่ห่างไปหลายพันกิโลเมตร พวกเขาจะไปที่นั่นได้อย่างไร และจะกลับมาอย่างไร ในเมื่อที่นี่ไม่มีเครื่องบินหรือรถไฟ!
จางเว่ยอวี่ไม่ได้เลี่ยง แต่ก็เลือกที่จะไม่พูดถึงรายละเอียด
แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา เขาก็แค่แขกผู้มาเยือนของโลกใบนี้ สุดท้ายแล้วเขาก็จะจากไปหลังจากหาทางได้
ในช่วงเวลาเดียวกันที่ร้านหม้อไฟในฉวนโจว พยัคฆ์จื๋อเช็ดปากที่มันเยิ้มของเขาและพูดว่า “ผ้าขี้ริ้วนี่ยอดเยี่ยมจริงๆ แค่ปรุงในน้ำร้อนและเติมน้ำมัน น้ำส้มสายชู และกระเทียมบด แต่กลับอร่อยมาก แม้แต่ไก่ย่างไฟในพระราชวังยังเทียบไม่ได้เลย”
“หลังจากมาที่นี่ ฉันก็เข้าใจแล้วว่าทำไมราชาแห่งทวยเทพองค์เก่าถึงได้ชอบมาที่นี่นัก” คลาวน์อีถอนหายใจ “มันเป็นโลกที่แตกต่างในแง่ของอาหารการกิน”
“ฉันรู้สึกว่าเป็นเพราะเครื่องปรุง วิธีการใช้เครื่องปรุงที่นั่นแย่มาก…” พยัคฆ์จื๋อถอนหายใจ “แต่เธอไม่กังวลเหรอว่าอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาตอนอยู่ที่นั่น เขาจะไม่โกรธเหรอถ้ารู้ว่าพวกเราอยู่ที่นี่แล้วได้ทั้งดื่มและกินแต่ของดีๆ”
คลาวน์อีครุ่นคิดอยู่นาน “ราชาแห่งทวยเทพองค์เก่ายังมีอาวุธลับอีกมากมายอยู่ที่นั่น หากพวกมันถูกนำมาใช้ ก็มั่นใจในความปลอดภัยของเขาได้เลย ตอนนี้พวกเรากลับมาที่ระดับหนึ่งแล้ว หากเราอยากจะเดินทางผ่านประตูดารา พวกเราจำเป็นต้องลดระดับลง ซึ่งประตูดาราถูกทิ้งไว้เบื้องหลังโดยราชาแห่งทวยเทพองค์ก่อน เพื่อให้พวกเราสามารถมากินอาหารที่นี่ได้ เขาสามารถมาและไปได้ตามแต่ใจปรารถนา แต่พวกเราทำแบบนั้นไม่ได้ ถ้าพี่ใหญ่ไม่บอกเรา พวกเราอาจจะไม่รู้แม้กระทั่งว่าประตูอยู่ที่ไหน…ตอนนี้ พวกเราใช้ผลไม้ที่ราชาแห่งทวยเทพทิ้งไว้ให้หมดแล้ว หากเราฝืนลดระดับของพวกเราอีก เราอาจจะไม่สามารถกลับไปได้อีกเลย!”
พยัคฆ์จื๋อเกาหัว “ถ้างั้นพวกเราควรทำยังไง ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของฉันไม่ทำงานแล้ว”
คลาวน์อีครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ “หรือเราควรบอกเสี่ยวอวี๋ว่าประตูอยู่ที่ไหน เลือดของเธอสามารถใช้เปิดประตูได้…”
“เป็นความคิดที่ดี” พยัคฆ์จื๋อตาเป็นประกาย “เธอยังไปไม่ถึงระดับหนึ่ง แต่เธอมีพลังต่อสู้ของระดับหนึ่ง นั่นก็ดีเหมือนกัน!”
“ไตแกะสุกแล้ว ระวังพริกไทยที่อยู่ข้างในด้วยล่ะ”
“น้อง เอาผ้าขี้ริ้วมาอีกจาน!”