สำนักตระกูลเซียนที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงต้าหลีมากที่สุด ตำหนักฉางชุน
การป้องกันเป็นไปอย่างเข้มงวด
องค์ชายซ่งเหอกำลังยืนอยู่บนยอดเขากับมารดาของเขา ยิ้มถามว่า “เสด็จอาคิดจะชิงบัลลังก์อย่างนั้นหรือ?”
แต่ไม่นานตัวซ่งเหอเองก็ส่ายหน้า “แต่จำเป็นต้องทำให้ยุ่งยากขนาดนี้ด้วยหรือ? แค่ลอบฆ่าก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่หรือไง? นักรบเดนตายของต้าหลี กากเดนราชวงศ์ก่อนของราชวงศ์สกุลหลูต่างก็ทำได้ไม่ใช่หรือ? ท่านแม่ ข้าเดาว่าตอนนี้อย่าว่าแต่กองทัพชายแดนต้าหลีเลย ต่อให้เป็นในราชสำนักก็คงมีคนไม่น้อยที่สนับสนุนให้เสด็จอาขึ้นครองราชย์กระมัง คนที่เอนเอียงมาทางข้ากับท่านแม่ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นขุนนางบุ๋นที่ไม่มีประโยชน์”
สตรีแต่งงานแล้วของต้าหลีที่สูญเสียอำนาจทั้งหมดไปยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เหอเอ๋อร์ อย่าได้ดูแคลนเสด็จอาของเจ้าเช่นนี้ เขาเป็นคนจิตใจทะเยอทะยานนักล่ะ ไม่เห็นบัลลังก์มังกรตัวนั้นอยู่ในสายตาหรอก”
ซ่งเหอไม่ค่อยเชื่อเท่าใดนัก
ไม่เห็นอยู่ในสายตาก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ราชวงศ์ในโลกมนุษย์ ใครเล่ารังเกียจที่จะนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรตัวนั้น?
สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยปลอบใจ “ในราชสำนักของต้าหลี จิตใจชาวบ้านนำมาใช้ประโยชน์ได้”
ซ่งเหอหันหน้ากลับมา “จิตใจชาวบ้าน? ท่านแม่ ท่านพูดมาโดยตลอดไม่ใช่หรือว่าคนพวกนั้นคือมดตัวน้อยที่โง่เง่าไม่รู้ความ?”
สตรีแต่งงานแล้วปิดปากหัวเราะคิก “คำพูดพวกนี้ พวกเราแม่ลูกพูดคุยกันย่อมไม่เป็นอะไร แต่หากไปอยู่ที่อื่นต้องจำไว้ว่า รู้แล้วก็คือรู้แล้ว อย่าได้พูดมันออกมา วันหน้ารอให้เจ้าได้เป็นเจ้าเหนือหัวผู้ปกครองทั้งทวีปเมื่อไหร่ก็ต้องหัดเรียนรู้ที่จะแกล้งโง่ กับเสด็จอาเทพสงครามผู้องอาจเป็นเช่นนี้ กับขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนักก็เป็นเช่นเดียวกัน”
ซ่งเหอเอ่ยถาม “แล้วกับคนบนภูเขาล่ะ?”
สตรีแต่งงานแล้วลังเลเล็กน้อย
ซ่งเหอกล่าว “อันที่จริงข้าคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ เหตุใดเสด็จพ่อถึงต้องคอยงัดข้อกับเทพเซียนพวกนั้นด้วย หากเปลี่ยนมาเป็นข้าที่เป็นผู้ฝึกลมปราณ โดยเฉพาะเมื่อขอบเขตสูงแล้ว ใครเล่าจะยินดีถูกกษัตริย์ของโลกมนุษย์คนหนึ่งคอยพันธนาการมือเท้า? หากวันหน้าข้าได้เป็นฮ่องเต้จริงๆ แล้วคิดจะเปลี่ยนแปลงนโยบายแคว้นที่กำหนดมาไว้แล้ว ท่านว่าจะมีขั้วอำนาจหรือตระกูลเซียนเข้ามาสวามิภักดิ์กับข้าเพิ่มขึ้นหรือไม่ แต่ละคนจะพากันมาโอบล้อมอยู่รอบบัลลังก์มังกรของข้าหรือไม่? ไม่แน่ว่าข้าอาจสามารถอาศัยสิ่งนี้ค่อยๆ ควบคุมราชครูและเสด็จอาก็ได้นะ?”
สตรีแต่งงานแล้วที่สวมชุดชาววังมีเรือนกายเล็กเตี้ยแต่กลับอวบอิ่มน่าหลงใหล ถอนหายใจกล่าวว่า “เหอเอ๋อร์ คำพูดโง่ๆ เช่นนี้วันหน้าอย่าได้พูดอีก ทางที่ดีที่สุดก็อย่าคิดเลยจะดีกว่า”
ซ่งเหอร้องอ้อหนึ่งที “ก็ได้ ข้าเชื่อฟังท่านแม่”
สตรีแต่งงานแล้วยิ้มหวาน
ในเรื่องนี้เหอเอ๋อร์ของนางน่ารักที่สุด เป็นเด็กดีว่านอนสอนง่าย เป็นเหตุให้ไม่ว่าจะเรื่องใด แม่ลูกก็ล้วนสนิทสนมร่วมใจกันได้เสมอ
ส่วนบุตรอีกคนนั้น
นางจงใจไม่ให้ตัวเองไปคิดถึง
……
สำนักกระบี่หลงเฉวียน
หร่วนซิ่วยืนอยู่ในลานบ้านของตัวเอง กินขนมที่ซื้อมาจากตรอกฉีหลง
ในลานบ้าน ลูกเจี๊ยบเติบโตกลายเป็นแม่ไก่ แล้วก็ให้กำเนิดลูกฝูงใหม่อีกครั้ง แม่ไก่และลูกเจี๊ยบจึงเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
หมาพันธ์พื้นบ้านที่สติปัญญาเปิดโล่งมีแววว่าจะยึดครองภูเขาเป็นราชา ยามอยู่ในภูเขาใหญ่แถบตะวันตกมันทำตัวดุร้ายเอาแต่ใจไปทั่ว โชคดีที่เคยเจอกับความยากลำบากมาก่อนจึงไม่กล้ากำเริบเสิบสานเกินไปนัก เวลาเจอคนในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดก็ยังทำตัวว่าง่ายแต่โดยดี
หร่วนซิ่วกินขนมหมดแล้วก็เก็บผ้าเช็ดหน้า ปัดมือ
พุ่งทะยานร่างขึ้นไปเบื้องบน
มาเยือนหน้าผาที่สลักตัวอักษรใหญ่สี่คำว่า ‘สวรรค์สร้างเสินซิ่ว’ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นฝีมือใคร นางมาหยุดอยู่บนยอดเขาของหน้าผาแล้วเดินลงไปเบื้องล่าง
จากนั้นก็เดินจากด้านล่างหน้าผาย้อนกลับมาทางเดิม
……
วันนี้เฉินผิงอันพาหลี่เป่าผิงและเผยเฉียนไปเดินเที่ยวเล่นในเมืองหลวงต้าสุย
ชุยตงซานยืนอยู่ในห้องหนังสือของตัวเอง ชำเลืองตามองม้วนภาพตระกูลเซียนที่วางกองกันไว้อย่างไม่ใส่ใจ แล้วค่อยมองไปยังตำราสองสามเล่มที่เฉินผิงอันยืมมาจากหอเก็บตำรา
บนโต๊ะยังมีแผ่นไม้ไผ่สองสามแผ่นและมีดแกะสลักของเฉินผิงอัน บนแผ่นไม้ไผ่ล้วนเป็นตัวอักษรที่เขาคัดลอกมาจากตำราเหล่านั้น ซึ่งถูกวางทิ้งไว้ยังไม่ได้เก็บเอาไป
ชุยตงซานรู้สึกอารมณ์ดีนิดๆ
หลี่เป่าผิง เผยเฉียนและหลี่ไหวต่างก็เห็นที่นี่เป็นถิ่นของตัวเอง
แล้วเฉินผิงอันจะไม่คิดแบบนี้เหมือนกันได้อย่างไร?
แต่ถึงอย่างไรวันนี้อารมณ์ของชุยตงซานก็ยังไม่เบิกบานเต็มที่ เพราะความรู้สึกที่มากกว่านั้นคือความจนใจ
สิ่งที่ทำได้ ไม่ว่าจะทางแจ้งหรือทางลับ เขาก็ล้วนทำไปหมดแล้ว
แต่ดูเหมือนว่าจะยังยากอยู่มาก
เขาจึงออกจากห้องหนังสือมานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงระเบียงไม้ไผ่มรกต เอาฝ่ามือยันพื้น ยิ้มบางๆ “เจ้าตัวน้อย ออกมาเถอะ”
จากนั้นชุยตงซานก็พลันยกชายแขนเสื้อสะบัด
เจ้าตัวน้อยตัวหนึ่งถูกกระชากออกมา ร่างของมันโอนเอน หัวสมองมึนงง
หลังจากคนจิ๋วดอกบัวสังเกตเห็นว่าเป็นชุยตงซานก็เตรียมจะหนีกลับลงไปใต้ดิน
ผลกลับกลายเป็นว่าไม่ว่ามันจะกระโดดอย่างไรก็ไม่สามารถทำได้ จึงคิดจะวิ่งออกไปจากระเบียง ไปลองดูที่ลานบ้าน
เพียงแต่มันเหมือนพุ่งชนกำแพงจึงเซถอยกลับเข้ามาในระเบียงอีกครั้ง
ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ “เจ้าโง่น้อย”
คนจิ๋วดอกบัวนั่งลงบนพื้น ไหล่ลู่คอตก
ชุยตงซานมองมัน
แล้วก็ให้นึกถึงตัวเอง
ปีนั้นตอนไปขอเล่าเรียน อาศัยอยู่ในตรอกเก่าโทรมกับซิ่วไฉเฒ่ายากจนที่ยังไม่ร่ำรวย แม้ว่าปีนั้นตนจะไม่ใช่ยอดฝีมืออะไร แต่อันที่จริงก็เป็นผู้ฝึกลมปราณแล้ว หากไม่เป็นเพราะตอนแรกซิ่วไฉเฒ่าตั้งกฎเกณฑ์ยิบย่อยมากมายขนาดนั้น พวกเขาสองอาจารย์และศิษย์มีหรือจะต้องใช้ชีวิตอย่างอนาถยากเข็ญปานนั้น? แม้แต่ข้าวก็ยังกินไม่อิ่ม? ต่อมาในที่สุดก็มีวันหนึ่ง เขาคิดอยากจะหาเงินกลับมาให้ได้เยอะๆ ส่วนเรื่องที่ว่าจะถูกซิ่วไฉเฒ่าขับไล่จากสำนักเพราะไม่ทำตามกฎที่วางไว้หรือไม่ เขาก็ไม่สนใจแล้ว คนเป็นจะอั้นเยี่ยวจนตายไม่ได้! เพียงแต่เมื่อเขานำเงินถุงใหญ่กลับมา ซิ่วไฉเฒ่าที่สีหน้าไร้อารมณ์กลับเอ่ยแค่สองประโยค ประโยคแรกคือนับจากนี้ไปพวกเขาจะไม่ใช่อาจารย์และศิษย์กันอีก ประโยคที่สองก็คือไม่ว่าเงินเหล่านั้นจะได้มาจากไหนก็หวังว่าเขาจะส่งกลับคืนไปที่นั่น เพราะเงินพวกนี้เป็นทรัพย์สินที่ลูกศิษย์ของเขาได้มาอย่างไร้คุณธรรม ทว่านับแต่นี้ไป เจ้าชุยฉานจะชอบหลอกลวงหรือชอบปล้นชิงทรัพย์ผู้อื่น เขาซิ่วไฉเฒ่าที่แม้แต่ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขายังสอนให้ดีไม่ได้ ยังคุมไม่อยู่ ย่อมไม่มีความสามารถมากพอจะห้ามปรามได้
ตอนนั้นชุยฉานที่ยังเด็กก็เหมือนคนจิ๋วดอกบัวในเวลานี้ที่ได้แต่ก้มหน้าไม่พูดไม่จาด้วยความอัดอั้น
สภาพจิตใจอาจจะไม่เหมือนกัน ทว่าท่าทางน่าสงสารนั้นกลับเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
ชุยตงซานจำได้ว่าชุยฉานที่ยังเป็นเด็กหนุ่มไม่ได้ร้องไห้โวยวายขอร้องซิ่วไฉเฒ่าว่าอย่าขับไล่เขาออกจากสำนัก เพราะเขาก็พูดแค่สองประโยคเหมือนกัน เงินนี้ข้าเอากลับคืนไปได้ แต่หวังว่าท่านจะเก็บเอาไว้สองก้อน เดิมทีก็เป็นเงินค่าเรียนครึ่งปีที่ติดค้างเอาไว้ ถือซะว่าชดใช้คืนให้หมดแล้ว ประโยคที่สองเด็กหนุ่มชุยฉานบอกกับซิ่วไฉเฒ่าว่าให้เอาเงินก้อนนี้ไปซื้อพู่กันดีๆ มาสักสองสามเล่ม ขนาดพู่กันที่เหลือแต่ด้ามโล้นๆ ด้ามหนึ่งยังตัดใจทิ้งไม่ลง ต่อให้ในท้องพอจะมีความรู้อยู่บ้าง แต่ท่านจะเขียนบทความออกมาได้อย่างไร
วันนั้นซิ่วไฉเฒ่าบอกให้ชุยฉานรออยู่ในห้องที่มีแต่กำแพงสี่ด้าน
ซิ่วไฉเฒ่าเดินออกจากบ้านไปแล้วก็แอบไปทอดถอนใจอยู่ในตรอกคำรบหนึ่ง สุดท้ายตีหน้าประจบไปขอยืมเงินส่วนหนึ่งมาจากเพื่อนบ้านใกล้เคียง ถูกสตรีปากร้ายที่เดิมทีก็ขัดหูขัดตากับความยากจนข้นแค้นของเขาด่าสาดเสียเทเสีย พูดประโยคหยาบคายบาดหูเป็นกระบุงโกย ซิ่วไฉเฒ่าเองก็ไม่ตอบโต้ เพียงแค่ส่งยิ้มขออภัย ซิ่วไฉเฒ่าใช้เงินทั้งหมดไปซื้อไก่ย่างครึ่งตัวที่ห่อด้วยกระดาษน้ำมันแล้วเดินอาดๆ กลับเข้ามาในห้อง ไม่พูดเรื่องที่จะขับไล่ชุยฉานไปอีก เพียงแค่กวักมือเรียกให้ชุยฉานมานั่งลงกินไก่ย่าง
คนทั้งสองนั่งตรงข้ามกันบนโต๊ะที่ผุพัง ชุยฉานกินไปได้พักหนึ่งก็ถามว่าทำไมซิ่วไฉเฒ่าถึงไม่กิน
ซิ่วไฉเฒ่าบอกว่าช่วงนี้ปวดฟัน กินของมันเลี่ยนไม่ได้
เด็กหนุ่มชุยฉานก้มหน้ากินต่อ ถามซิ่วไฉเฒ่าว่ายืมเงินมาแล้ว เอาไปซื้อพู่กันมาหรือยัง?
ซิ่วไฉเฒ่าตบท้อง บอกว่าทั้งหมดล้วนอยู่ในนี้ หนีไปไหนไม่ได้ เขียนช้าหน่อยจะเป็นไรไป แถมยังเขียนบทความได้เยอะๆ ในรวดเดียวด้วย
อันที่จริงชุยฉานรู้ดีว่าซิ่วไฉเฒ่ายากจนที่กำลังพูดจาอย่างห้าวเหิมนั้นกำลังปกปิดเสียงท้องที่ร้องดังโครกครากของตัวเอง
สุดท้ายซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยเบาๆ ว่า เสี่ยวฉาน ไก่ย่างครึ่งตัวนี้ เจ้าก็ดี อาจารย์ก็ช่าง พวกเราล้วนได้แต่ใช้เงินไปซื้อมา แต่ความรู้ในท้องของอาจารย์ไม่ที่ถูกที่ถูกเวลาเหล่านี้ เจ้าเอาไปได้เลย เอาไปได้มากเท่าไหร่ก็เท่านั้น ไม่ต้องจ่ายเงิน แน่นอนว่าดูเหมือนจะไม่มีค่านัก แต่บัณฑิตอย่างพวกเรา ขอแค่หนึ่งวันที่ยังไม่หิวตายก็ยังต้องมีหลักการเหตุผลไปหนึ่งวัน
อันที่จริงวันนั้นต่างหากที่เป็นครั้งแรกที่ชุยฉานออกห่างไปจากสายบุ๋นของเหวินเซิ่ง แม้ว่าจะเป็นเพียงชั่วเวลาสั้นๆ ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็ตาม
เพียงแต่ว่าภายหลังมีศิษย์น้องจั่วโย่วและฉีจิ้งชุนมาเพิ่ม ลูกศิษย์ในสำนักเหวินเซิ่ง ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อทุกคนต่างก็ไม่รู้เรื่องนี้
ชุยฉานไม่พูด ซิ่วไฉเฒ่าเองก็ไม่พูด
……
วันนี้ ชุยตงซานใช้นิ้วเคาะศีรษะคนจิ๋วดอกบัว ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “จะพูดเรื่องเป็นการเป็นงานกับเจ้า เกี่ยวกับอาจารย์ของข้า เจ้าอยากฟังหรือไม่?”
เจ้าตัวน้อยลังเลอยู่นานมาก แต่สุดท้ายก็พยักหน้า
ชุยตงซานจึงเอ่ยขึ้นเนิบช้าว่า “อาจารย์ของข้ามีภูเขาอยู่ลูกหนึ่งชื่อว่าภูเขาลั่วพั่ว ที่นั่นมีบ่อน้ำอยู่แห่งหนึ่ง ด้านในปลูกเมล็ดพันธ์ดอกบัวสีทอง มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นโอกาสในการบรรลุมรรคาของเจ้า ยกตัวอย่างเช่นกลายเป็นภูตตนแรกที่ฝ่าทะลุคอขวดก่อกำเนิด เลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตบนของแจกันสมบัติทวีป เมื่อถึงเวลานั้นภูเขาลั่วพั่วก็จะได้รับผลประโยชน์มหาศาลเพราะเรื่องนี้ไปด้วย สามารถรวบรวมปราณวิญญาณและโชควาสนาในจำนวนมากและทำให้พวกมันมั่นคงขึ้นโดยอาศัยเจ้า เรื่องของการฝึกตน ด่านบางด่าน คนที่มาก่อนก็ได้ก่อน หากช้าไป แม้แต่โอกาสจะไปนั่งยองในห้องส้วมก็ยังไม่มี”
คนจิ๋วดอกบัวกะพริบตาปริบๆ จากนั้นชูแขนขึ้น กำหมัดแน่น น่าจะเป็นการให้กำลังใจตัวเองกระมัง?
แต่ชุยตงซานกลับส่ายหน้า “แต่ข้ามีเรื่องหนึ่งที่อยากจะขอร้องเจ้า วันใดวันหนึ่งในอนาคต ช่วงเวลาที่อาจารย์ของข้าไม่ได้อยู่ข้างกายเจ้า แล้วมีคนพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า ส่วนเจ้าเองก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย รู้สึกว่าควรจะทำอะไรบางอย่างเพื่ออาจารย์ของข้าบ้าง…”
ชุยตงซานเพิ่มระดับเสียงให้หนักขึ้น “เจ้าห้ามทำเด็ดขาด!”
คนจิ๋วดอกบัวยิ่งสับสนไม่เข้าใจ
ชุยตงซานชี้ไปที่หัวใจตัวเอง จากนั้นค่อยชี้ไปที่เจ้าตัวจิ๋ว ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าคือแดนสุขาวดีนอกโลกในใจอาจารย์ข้า”
เจ้าตัวน้อยเอียงศีรษะ แสดงให้รู้ว่าตัวเองฟังไม่เข้าใจ
ชุยตงซานหันหน้ากลับไป เงยหน้ามองทิศไกล “เขามองเห็นทัศนียภาพที่งดงามที่สุดของฟ้าดินที่อยู่ในใจของเขาจากตัวของเจ้า อืม อย่างน้อยเจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้น จะพูดว่าอย่างไรดีล่ะ ก็เหมือนกับว่าเจ้าคือดอกไม้ดอกหนึ่งที่ผลิบานขึ้นมาบนความยากลำบากทั้งหมดที่อาจารย์ของข้าเคยประสบในวัยเยาว์ยามที่เขามองย้อนกลับไปดู เมื่อเห็นเจ้า จิตใจของอาจารย์ก็จะสงบ ที่แท้ใต้หล้านี้เขาก็ไม่ได้โดดเดี่ยว ยังมีเจ้าโง่ที่เหมือนเขาอย่างไม่ผิดเพี้ยนอยู่อีกคน แล้วก็โชคดียิ่งนักที่พวกเจ้าได้มาพบเจอกัน ถึงขั้นที่ว่าวันใดวันหนึ่งด้วยความจนใจหน่ายใจกับความซับซ้อนวุ่นวายของวิถีทางโลก อาจารย์ของข้าอาจจะเปลี่ยนไป ถ้าเช่นนั้นเมื่อถึงเวลานั้นแล้วเจ้ายังไม่เปลี่ยน จิตใจของอาจารย์ก็จะค่อนข้างสงบ เปลี่ยนไปน้อยหน่อย ช้าหน่อย”
ชุยตงซานดึงสายตากลับคืนมา “แต่หากเจ้าทำตามที่ข้าบอก เจ้าก็จะสูญเสียโชควาสนาที่ใหญ่เทียมฟ้าไป”
คนจิ๋วดอกบัวส่ายหน้าอย่างแรง
คล้ายกำลังบอกว่าไม่เป็นไร
ชุยตงซานยิ้มกว้างสดใส โน้มตัวไปด้านหน้า ยื่นนิ้วก้อยออกมา “งั้นพวกเรามาเกี่ยวก้อยกัน”
คนจิ๋วดอกบัวที่มีแขนเพียงข้างเดียวยกแขนข้างนั้นขึ้นมาเกี่ยวก้อยกับชุยตงซาน นิ้วมือของทั้งสองมีขนาดเล็กใหญ่ต่างกันมาก มองดูแล้วจึงน่าสนใจเป็นพิเศษ
ชุยตงซานค้อมตัวอยู่ตลอดเวลา เขายิ้มบางๆ กล่าวว่า “เกี่ยวก้อยร้อยปีไม่เปลี่ยน อืม หากเป็นไปได้ พันปีหมื่นปีก็ไม่เปลี่ยน”
เจ้าตัวน้อยพยักหน้ารับอย่างแรง
ชุยตงซานพลันเผยสีหน้าอำมหิตดุดัน “หากวันใดเจ้าผิดคำพูด ข้าจะตีเจ้าให้ตาย จับตัวเจ้าวางไว้บนเขียงแล้วสับๆๆ เจ้าออกเป็นชิ้นๆ จากนั้นเอาไปต้มน้ำแกง ใส่ต้นหอมโรยเกลือ…”
พูดมาได้แค่ครึ่งเดียวชุยตงซานก็หัวเราะตลกตัวเอง แล้วจึงทำหน้าผี แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่สาแก่ใจมากพอจึงเอานิ้วของมือสองข้างฉีกปากดันจมูก ทำหน้าเหมือนสัตว์ประหลาด
คนจิ๋วดอกบัวหัวเราะคิกคัก แล้วก็ทิ้งตัวนอนลงบนพื้น กางแขนขาอ้าแล้วปัดป่ายดีดดิ้นอย่างร่าเริง
ชุยตงซานเองก็หัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี
ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานหลังจากนั้น
ภูเขาลั่วพั่วก็มีภูติจิ๋วตัวนี้อาศัยอยู่ตลอดเวลา
มันไร้ทุกข์ไร้กังวล บริสุทธิ์ไร้เดียงสา
ไม่ว่าในอนาคตเฉินผิงอันจะประสบความสำเร็จมากแค่ไหน ทุกครั้งที่ออกเดินทางไกลแล้วย้อนกลับคืนมายังบ้านเกิดก็จะต้องใช้เวลาช่วงหนึ่งอยู่กับเจ้าตัวน้อยเพียงลำพังเพื่อพูดคุยเรื่องที่อยู่ในใจกับมัน
—–