โหลวลั่วไม่รู้หรอกว่าปกติแล้วเด็กคนนี้เป็นอย่างไร
แค่เวลาที่เธอดูคลิป ก็จะได้เห็นภาพคนเท่ระคนร้ายกาจที่กล้องจับภาพโดยบังเอิญ
เมื่อได้คุยกันในเวลานี้ก็รู้สึกว่าเป็นเด็กดี ทำให้เธอคีบอาหารให้อีกฝ่ายอยู่ด้านข้างเป็นระยะๆ อย่างอดไม่ได้ ไม่สนใจคุณป๋อเลย
ป๋ออิ่นนั่งอยู่ตรงนั้น รอยยิ้มที่มุมปากยังไม่หายไป ทว่านัยน์ตากลับเฉยชากว่าปกติ โดยเฉพาะเมื่อมองป๋อจิ่วที่กินอย่างเอร็ดอร่อย
ส่วนลูกสาวย่อมสังเกตเห็นสายตาของพ่อ เรียวปากบางหยักโค้ง หันไปยิ้มให้คนเป็นแม่ “อร่อยจัง”
“อร่อยก็กินเยอะๆ นะคะ” หากดูจากการแต่งตัวและออร่าของโหลวลั่ว ดูไม่ออกเลยว่าเป็นคนคีบอาหารให้คนอื่นเป็นด้วย
จ้าวซานพั่งรู้สึกเช่นกันว่าเดี๋ยวนี้ก็มีสาวสวยลุคท่านประธานคนเก่งเป็นแฟนคลับเกมเมอร์อย่างพวกเขาด้วย เหลือเชื่อจริงๆ
บอกได้แค่ว่าหน้าของเจ้าแบล็กหลอกสาวได้เยี่ยมมาก
ยิ้มเมื่อกี้พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ขายภาพลักษณ์ว่าเป็นเด็กดีสุดๆ
อันที่จริงป๋อจิ่วไม่ได้จงใจ แต่นานมากแล้วที่ไม่กินข้าวกับครอบครัว ดังนั้นทุกอากัปกิริยาจึงเหมือนตอนเป็นเด็กตามอัตโนมัติ
การได้กินข้าวแบบนี้ก่อนแข่ง ได้เห็นคุณพ่อผู้โหดหน้ายิ้มที่อยากแย่งแม่กับเธอแท้ๆ ทว่าทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ได้แต่นั่งสง่าอยู่กับที่ ป๋อจิ่วจึงหัวเราะไปตามธรรมชาติ
เธอมีความสุขมาก ราวกับหัวใจได้รับการเติมเต็ม ฟองแห่งความสุขลอยเต็มไปหมด
คงเพราะไม่มีอะไรที่โชคดีไปกว่าการมีคนที่รักตัวเองที่สุดอยู่รายล้อมแล้ว
พอป๋อจิ่วอารมณ์ดีก็กินเยอะกว่าเดิม
นี่ถ้าประธานคนสวยไม่ได้อยู่ด้วยล่ะก็ จ้าวซานพั่งหรือไม่ก็หลินเฟิงต้องเล่นงานเธอแล้ว พวกเขาไม่เข้าใจจริงๆ เป็นผู้หญิงแท้ๆ ต่อให้เท่กว่าพวกเขาก็ไม่น่ากินเยอะอย่างนี้
หลินเฟิงไม่มีอารมณ์จะคิดว่าทำไมหัวหน้าถึงไม่สมกับเป็นหัวหน้า อนุญาตให้คนอื่นคีบอาหารให้เจ้าแบล็กอยู่ได้
ตอนนี้เขาคิดแต่จจะคีบเนื้อตามปกติเท่านั้น
โหลวลั่วก็รู้สึกได้เช่นเดียวกัน จึงเอ่ยอย่างมีมารยาท ทำนองว่าการที่เธอมาด้วยเป็นการรบกวนการกินอาหารของพวกเขา
หลินเฟิงยอมรับว่าตัวเองช่วยแก้ปัญหาให้ครอบครัวมาไม่น้อย ทั้งยังมีออร่านักธุรกิจเช่นกัน
แต่หากเทียบกับคนตรงหน้า เขารู้สึกว่าสู้เธอไม่ได้จริงๆ
บุคลิกเธอดูเป็นผู้ทรงอิทธิพล ขนาดกินข้าวอยู่ เขาก็ยังเอาแต่มองเธอ
โหลวลั่วนิ่งสงบตลอด ก็เหมือนนาฬิกาเงินบนข้อมือของเธอที่อวดบารมีได้เต็มที่
ในฐานะที่เป็นผู้จัดการทีม เฟิงอี้ตรวจสอบสถานะของเธอมาแต่แรกแล้ว ตอนที่จะรายงานให้คุณชายฉินทราบ ชายหนุ่มกลับบอกว่าไม่เป็นไร ซึ่งต่างไปจากเมื่อก่อนจริงๆ
แต่ท่านประธานโหลวที่ลือกันในวงการธุรกิจว่าเป็นเทพแห่งความตาย กลับไม่ให้ความรู้สึกเช่นนั้นเมื่อได้พบหน้ากัน แถมแฟนที่เธอพามายิ่งดูลึกลับ
เพราะอย่างไรไม่น่าจะมีคนเกาะผู้หญิงกินที่เมื่อเงยหน้ามองพวกเขา แววตาก็ยังคงนิ่งไม่หวั่นไหว ท่าทีสง่างามอย่างร้ายกาจ เหมือนเป็นคนที่ทำงานอยู่ในโลกมืด สิ่งสำคัญคือท่าทีของคุณชายฉินที่ราวกับเห็นอีกฝ่ายเป็นญาติผู้ใหญ่?
เฟิงอี้ยิ่งงงหนักขึ้น
ฉินมั่วออกปากเตือนเป็นครั้งที่สองว่า ถ้าเธอยังไม่กินเองอีก คุณอาป๋อจะคิดบัญชีกับเธอแล้ว
ป๋อจิ่วหัวเราะเสียงเบาตอบกลับ เขายังไม่ได้หม่ามี้มาอย่างเป็นทางการ จะแย่งจากฉันไปได้ยังไง
ต่อให้เสียงจะเบาแค่ไหน คนเป็นพ่อก็ยังคงได้ยิน หันมามองด้วยแววตาเย็นชานิดๆ
แต่ลูกสาวหรือจะสนใจ ยังคงกินเนื้ออย่างมีความสุข
โหลวลั่วชะงักมือเมื่อได้เห็น เศษภาพเล็กน้อยๆ วาบผ่านในสมอง รูปเด็กน้อยสวมชุดนอนเสือน้อยกำลังเอียงคอกินสเต็ก ทำตาโตอย่างเด็กน้อยไร้เดียงสา ใต้ดวงตามีไฝเสน่ห์เหมือนเด็กคนนี้
……………………………………..
“มีอะไรเหรอ?” ป๋ออิ่นจับจ้องเธอด้วยเห็นว่าอีกฝ่ายพลันหยุดชะงัก
โหลวลั่วจึงค่อยได้สติ “เปล่าค่ะ”
แม้ปากจะพูดอย่างนั้น แต่หัวใจกลับหลอกตัวเองไม่ได้
ทำไมถึงมีภาพเหล่านั้นลอยอยู่ในหัวของเธอ?
โหลวลั่วบริหารบริษัทใหญ่ เธอมักพินิจทุกอย่างด้วยความใจเย็น วันนี้ก็เช่นกัน
มีบางเรื่องที่ไม่เหมาะจะพูดในตอนนี้
การกินข้าวไม่ได้ล่วงเลยจนดึกมากมาย
หลังจากที่คนในทีมกลับไป ยังต้องพักผ่อนให้เต็มที่ เพราะที่นี่ไม่เหมือนในประเทศจีน
ความแตกต่างเรื่องเวลาทำให้ลำบากในบางครั้ง
ในขณะที่จะกลับไป ป๋อจิ่วยืนอยู่ใต้แสงไฟริมถนน รั้งตัวคนไว้อย่างหลักแหลม “พรุ่งนี้ต้องแข่งนัดแรก เครียดจัง”
เมื่อได้ยินคำว่าเครียดจากปากของท่านจิ่ว คุณป๋อที่นั่งถือร่มสีดำอยู่ด้านหนึ่งยิ้มเย็นชาตรงมุมปาก
ทว่าป๋อจิ่วไม่สน นัยน์ตาดำขลับวาววับ อ้อนเต็มที่ว่า “อยากให้คนไปดูแข่งจังเลย”
โหลวลั่วนึกถึงภาพที่เห็นเมื่อครู่ สายตาจับจ้องไฝเสน่ห์อีกฝ่าย กำลังคิดว่าจะทิ้งงานไว้ก่อนชั่วคราวดีไหม
เสียงนั้นก็ดังต่อมาว่า “หนูกลัวแพ้ ถ้าแพ้แล้ว ต้องมีคนหัวเราะเยาะแน่ๆ เลย”
นี่คงเป็นคำพูดที่ไม่น่าเชื่อถือที่สุดเท่าที่คุณป๋อเคยได้ยินมา
กลัวแพ้?
ท่านจิ่วเก่งด้านใช้มุกนี้ต่อหน้าผู้คนมาตั้งแต่เด็กจนโตจริงๆ
โหลวลั่วเคยเห็นคลิปการแข่งของเธอ นึกถึงนัดที่เธอแพ้ซึ่งยืนไปคอตกอยู่หน้าจอ พูดอะไรไม่ออก หัวใจก็แสนเวทนา
เธอที่สวมรองเท้าบูทส้นสูงสีดำยื่นมือไปลูบศีรษะป๋อจิ่ว “วางใจเถอะ พรุ่งนี้มีคนอยู่เป็นเพื่อนหนูตั้งมากมาย ฉันก็จะไปดูหนูเหมือนกัน”
“งั้นหนูจะรอนะ” ป๋อจิ่วยิ้ม ออดอ้อนสุดฤทธิ์
โหลวลั่วตอบรับสั้นๆ “ค่ะ”
ป๋อจิ่วไม่รบเร้าเซ้าซี้ออีก
สองตามองตามคนสองคนที่เดินจากไป ผ่านไปพักหนึ่งก็หันมากอดเอวฉินมั่ว “ฉันรู้ว่าพวกเขาต้องไม่เป็นอะไร”
“ฉันก็รู้เหมือนกัน” กระทั่งแรงที่กอดยังเพิ่มหนักขึ้น เสียงเหมือนจะสั่นเครือ ความรู้สึกของเธอในตอนนี้ ไม่มีใครรู้ซึ้งเท่าเจ้าตัว
นี่เป็นภาพที่เธอไม่กล้าฝันถึงมาหลายปี แต่มันกลับปรากฏตรงหน้าแล้วในเวลานี้
มุมปากของป๋อจิ่วยังคงหยักยิ้ม เธอดีใจเหลือเกิน ความสุขที่เกิดขึ้นเหมือนไม่ใช่ของจริง
ฉินมั่วปล่อยให้ป๋อจิ่วกอดตัวเองไป ใบหน้าหล่อเหลาสูงส่งอ่อนโยนขึ้นท่ามกลางความมืด
เขาวางบนมือศีรษะของเธอ ก่อนจะลูบครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนตอนที่เขากล่อมเธอนอนเมื่อยังเป็นเด็ก
เขาไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่พ่อแม่เธอดูไม่แก่ลงเลย เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่สำคัญเท่ากับ
สิ่งสำคัญคือทั้งสองคนยังมีชีวิตอยู่
อีกด้านหนึ่ง สองคนเดินเคียงกัน หิมะยังไม่ตกลงมา
ป๋ออิ่นกางร่มเดินข้างเธอ
โหลวลั่วหันไปมอง สายตาจับจ้องยังไฝเสน่ห์ของอีกฝ่าย “ลูกสาวของเราก็มีไฝเสน่ห์เหมือนกันเหรอ?”
ป๋ออิ่นไม่ตอบแต่ถามกลับ “คุณจำได้แล้วเหรอ?”
โหลวลั่วไม่ได้ตอบตรงๆ แต่พูดเพียงว่า “เมื่อไรคุณจะพาฉันไปเจอเขา?”
“ท่าทางจะยังจำไม่ได้” ป๋ออิ่นยิ้มร้าย “ไม่ต้องรีบร้อน เขาก็มีไฝเสน่ห์เหมือนกัน”
โหลวลั่วได้ยินแล้วอึ้งไป เอ่ยขอร้องเพียง “คุณเล่าให้ฉันฟังเยอะๆ หน่อยสิคะ”
“อะไรเหรอ” ป๋ออิ่นเอียงคอมอง
โหลวลั่วช้อนสายตามอง “ก็เรื่องของลูกไงคะ…”
…………………………………………………