ช่วงสองสามวันมานี้ ผู้คนในวังหลังต่างพากันตื่นตระหนก ไม่ง่ายนักที่ทุกคนจะส่งเสียงร้องเป็นเสียงเดียวกัน คือต้องการให้ขับไล่เฉินเสียนออกจากพระตำหนักไท่เหอ
การอยู่หรือไปของเฉินเสียน ไม่ได้มีผลกระทบต่อองค์จักรพรรดินีเท่าไรนัก และเพราะเหตุนี้องค์จักรพรรดินีจึงต้องทำตามเสียงเรียกร้องของผู้คนส่วนใหญ่ เสด็จไปพบองค์จักรพรรดิเพื่อพูดถึงเรื่องนี้
องค์จักรพรรดินีตรัส “ในฐานะที่หม่อมฉันเป็นถึงองค์จักรพรรดินี ซึ่งมีหน้าที่ในการจัดการความเรียบร้อยต่าง ๆ ในวังหลัง องค์หญิงจิ้งเสียนไม่ได้เป็นคนของวังหลัง ก็ไม่ควรที่จะประทับพักอาศัยอยู่ในวังหลวงเป็นเวลานาน ซึ่งไม่ถูกกฎระเบียบ หม่อมฉันได้ยินมาว่าภูเขาลู่ การขึ้นไปเป็นเรื่องง่าย แต่การจะลงเขามาได้เป็นเรื่องยากลำบาก สำหรับนางแล้วนับว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะสมมากเพคะ”
องค์จักรพรรดิเรียกเฮ่อโยวให้เข้ามาหา และตรัสถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “พระที่วัดฮู่กั๋วนี่ยังไงกัน! ทำไมพอมาถึงก็เพ่งเล็งไปที่เฉินเสียน!”
มหาปุโรหิตเข้ามาวังหลวงเพียงแค่ครั้งเดียว แต่กลับโยนความผิดมาให้เฉินเสียน ยิ่งทำให้คนขี้สงสัยอย่างองค์จักรพรรดิอดคิดไม่ได้
สีหน้าของเฮ่อโยวดูว่างเปล่าและตื่นตระหนก พร้อมกับกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงพระปรีชา เมื่อครั้งที่หม่อมฉันไปที่ภูเขาลู่ มีกงกงคอยติดตาม หม่อมฉันไม่ได้พูดเรื่องที่เกี่ยวกับองค์หญิงจิ้งเสียนเลยแม้แต่นิดเดียว ส่วนเรื่องที่มหาปุโรหิตพูดขึ้นให้ตกใจนั้น หม่อมฉันไม่ได้รับรู้เลยจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”
ก่อนหน้านี้ เฮ่อโยวก็ไม่เคยไปที่วัดฮู่กั๋ว เมื่อครั้งที่ไปวัดฮู่กั๋ว ก็ยังต้องสอบถามเส้นทางกับชาวบ้านตามตีนเขา ถึงจะรู้เส้นทางในการขึ้นภูเขาไปได้
เรื่องของเฉินเสียนคนเดียว องค์จักรพรรดิจึงไม่อาจเพิกเฉยต่อสุขภาพและพระอาการประชวรของสมเด็จพระราชชนนีได้ สองสามวันมานี้ก็ได้แต่คิดเรื่องนี้ และตรัสถามว่า “งั้นเจ้าคิดว่า ที่ตั้งของภูเขาลู่เป็นอย่างไรบ้าง?”
เฮ่อโยวกล่าว “ในภูเขาอันตราย หิมะตกหนักปิดขวางทาง อากาศหนาวเหน็บ ในช่วงฤดูนี้ การขึ้นเขาลงเขาเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเห็นองค์จักรพรรดิส่งเสียงครวญครางเงียบ ๆ เฮ่อโยวจึงพูดอีกว่า “หม่อมฉันมีความเห็นเห็น ไม่ทราบว่าควรไม่ควรพูดออกมาพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าพูดมา”
“หม่อมฉันเห็นว่า ไม่เหมาะที่จะกักขังองค์หญิงจิ้งเสียนและพระโอรสของพระองค์ให้อยู่ด้วยกัน ควรจะให้พวกเขาแยกกันอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิรอให้เขาเล่าต่อ เขาก็กล่าวต่อว่า “ตอนนี้พระโอรสขององค์หญิงจิ้งเสียนยังเล็กอยู่ สามารถสั่งสอนได้ง่าย จะเป็นการดีที่ไม่ให้เขาได้รับอิทธิพลจากองค์หญิงจิ้งเสียน
อีกทั้งหากให้องค์หญิงจิ้งเสียนและพระโอรสอยู่ด้วยกัน ทำให้องค์หญิงจิ้งเสียนรู้สึกมีที่พึ่งและไม่เกรงกลัวอะไร เพียงแค่ให้พวกเขาแม่ลูกแยกออกจากกัน ก็จะทำให้องค์หญิงจิ้งเสียนไม่กล้าขยับเคลื่อนไหว
เท่าที่หม่อมฉันทราบมา เด็กคนนั้นคือสิ่งที่มีค่ามากที่สุดขององค์หญิงจิ้งเสียนพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่อโยวยังกล่าวอีกว่า “หม่อมฉันเห็นว่า ไม่เช่นนั้นก็ทำตามความประสงค์ของทุกคน นำตัวองค์หญิงจิ้งเสียนไปกักขังไว้บนภูเขาลู่ และนำกำลังทหารจำนวนมากไปเฝ้า ให้พระองค์ท่องบทสวดพระคัมภีร์ บำเพ็ญเพียรพ่ะย่ะค่ะ”
โดยจะมีทหารส่งตำราบทสวดที่ต้องท่องในแต่ละวันมาให้องค์จักรพรรดิให้เห็น แบบนี้องค์จักรพรรดิก็จะสามารถรับรู้ได้ว่านางทำอะไรบ้างตอนอยู่ที่วัด
ไม่แน่อาจจะทำให้นางจิตใจสงบลงได้บ้าง หากในอนาคตจะบวชชีเดินตามรอยพระพุทธศาสนา ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี
องค์จักรพรรดิเกิดความเข้าใจขึ้นมาในทันที ในอนาคตหากเฉินเสียนจะบวชชีเดินตามรอยพระพุทธศาสนา ยังช่วยผ่อนเบาปัญหาของเขาลงได้
จะว่าไปแล้ว สมเด็จพระราชชนนีก็พูดถูก ก็แค่เปลี่ยนสถานที่กักขังเฉินเสียนก็เท่านั้น ภูเขาลู่เหมาะสมมากที่สุดแล้ว ส่งนางไปบนภูเขานั่นก็ดี
องค์จักรพรรดิส่งคนไปที่เชิงภูเขาลู่เพื่อซักถามต่าง ๆ เพราะวัดฮู่กั๋วอยู่ห่างไกลและลี้ลับ และที่ตั้งก็สูงชัน ผู้แสวงบุญที่จะขึ้นไปบนภูเขาก็มีน้อยเหลือเกิน
ความหนาวเหน็บบนภูเขานั้นจะคงอยู่ราว ๆ เกือบครึ่งปี ทางขึ้นและทางลงภูเขามีเพียงแค่ทางเดียว หากถูกพายุหิมะถล่มปิดทาง การเดินทางก็จะยิ่งเพิ่มความลำบากมากขึ้น
เฮ่อโยวที่นำคนขึ้นไปบนภูเขา ตลอดทางก็หกล้มไถลลื่นไม่รู้กี่หน และหลาย ๆ ครั้งก็เกือบได้รับอันตราย
เฮ่อโยวพูดถูก เพียงแค่เก็บเด็กคนนี้ไว้และบีบให้แน่น ก็ไม่ต้องกลัวว่าเฉินเสียนจะทำผิดกฎ
ตั้งแต่ที่เฉินเสียนกลับเข้าเมืองหลวง ความรู้สึกที่องค์จักรพรรดิมีต่อเธอคือเธอเป็นเพียงผู้หญิงที่คอยปกป้องลูกชายเท่านั้น เธอเป็นคนธรรมดา ไม่มีความรู้ความสามารถ ยอมทำเพื่อลูกชายทุกอย่าง รู้จักแต่การร้องไห้และก่อความรบกวน
องค์จักรพรรดิเริ่มผ่อนคลายการระมัดระวังต่อเธอ แต่จะไม่ยอมให้เธอหลุดพ้นไปจากมือได้
ในที่สุดองค์จักรพรรดิก็ตกลงตามพระประสงค์ของสมเด็จพระราชชนนีและพระสนมทั้งหลายในวังหลัง ตัดสินใจนำเฉินเสียนไปส่งที่วัดฮูกั๋วบนภูเขาลู่เพื่อปฏิบัติธรรมตาม และตามข้อกำหนดที่ว่า คัดลอกพระคัมภีร์และสวดมนต์ต่อหน้าพระพุทธเจ้าทุกวัน
ที่ตีนเขาและภายในวัด มีกองกำลังองครักษ์คอยเฝ้าเวรยามอยู่ตลอดเวลา
และตอนนี้กองกำลังองครักษ์ก็ถูกส่งไปแล้ว และได้ตั้งด่านตรวจที่เชิงเขาลู่ พระราชโองการก็ถูกแพร่กระจายไปยังวัดฮู่กั๋ว
องค์จักรพรรดิเรียกให้เฉินเสียนเข้าพบ และมีคำสั่งให้เธอออกเดินทางจากวังเพื่อไปวัดฮู่กั๋ว
เฉินเสียนเงยหน้าขึ้นและถามว่า “แล้วลูกชายของหม่อมฉันจะทำยังไงเพคะ?”
“เขาก็ยังอยู่ที่พระตำหนักไท่เหอ”
“ไม่ ไม่ได้เพคะ” เฉินเสียนกล่าว “หม่อมฉันไม่อาจแยกจากลูกชายของหม่อมฉันได้ หากหม่อมฉันไปแล้วมีคนมารังแกเขาจะทำอย่างไรเพคะ? เขาไม่มีพ่อแล้ว แต่เขาจะไม่มีแม่ไม่ได้เพคะ!”
ยิ่งเฉินเสียนปฏิเสธ องค์จักรพรรดิก็ยิ่งต้องการส่งเธอออกไป และตรัสอย่างรำคาญ “จิ้งเสียน นี่คือพระราชโองการ เจ้าไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ”
ไม่พูดเปล่า องค์จักรพรรดิสั่งให้ขันทีเข้ามาควบคุมตัวเธอออกไป และออกคำสั่งให้คนในพระตำหนักไท่เหอจัดเตรียมของให้เฉินเสียน พรุ่งนี้เช้าต้องออกเดินทางไปจากวังหลวง
เฉินเสียนรู้สึกตื่นตระหนก แต่องค์จักรพรรดิไม่ได้สนใจเธอเลย เธอถูกขันทีลากตัวออกมา
เมื่อออกมาที่ประตู ก็เห็นเฮ่อโยวที่อยู่ในชุดเครื่องแบบขุนนาง กำลังเดินขึ้นบันไดมา เพื่อเตรียมเข้าพบองค์จักรพรรดิ
เขาและเฉินเสียนเดินชนกันที่หน้าประตู
นานมากแล้วที่ไม่ได้เห็นเขา เฮ่อโยวในชุดเครื่องแบบ ดูเป็นทางการมาก และตอนนี้เขาดูมีเสน่ห์และโฉบเฉี่ยวมาก
เฉินเสียนจ้องมองไปที่เขา เขาพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ
เฉินเสียนยืนขวางอยู่ที่หน้าประตู ทำให้เฮ่อโยวไม่ได้เข้าไปข้างในเสียที เขาจึงกล่าวว่า “องค์หญิงโปรดได้ทรงหลีกทางให้หม่อม หม่อมฉันต้องเข้าไปพบองค์จักรพรรดิพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนดวงตาแดงก่ำ กล่าวว่า “เป็นเจ้าใช่ไหมที่ออกความเห็นให้ส่งข้าออกไป?”
เฮ่อโยวขยับแขนเสื้อ และกล่าวว่า “องค์หญิงเข้าใจผิดแล้ว มหาปุโรหิตแห่งวัดฮู่กั๋วบอกว่าภายในร่างกายขององค์หญิงมีวิญญาณดุร้ายอยู่ ควรที่จะไปอยู่ในวัดเพื่อนั่งสมาธิสงบจิตสงบใจ หม่อมฉันคิดว่าก็เป็นการดีเหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนกำมือทั้งสองแน่น เมื่อเห็นใบหน้าที่ไม่สะทกสะท้านของเขา จู่ ๆ เธอก็ยกเท้าขึ้นมาถีบไปบนลำตัวของเฮ่อโยวเหมือนคนบ้า
เฮ่อโยวไม่ทันได้ระวังตัว ล้มลงและพลิกกลิ้งไปตามขั้นบันได และหยุดลงที่พื้นอย่างน่าอับอาย
หากไม่ใช่เพราะขันทีดึงเฉินเสียนไว้ เฉินเสียนยังคงจะเดินหน้าเข้าไปรุมถีบเอาอีก
เขาลุกขึ้นนั่งลงที่พื้น ไม่ได้โกรธเคืองอะไร และกล่าวว่า “องค์หญิงจนตรอกหมดหนทางแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนกล่าวด้วยความโมโห “เฮ่อโยว! ข้ารู้ว่าเป็นเจ้า เจ้าคนเลว เจ้าไม่ต้องการให้ข้าเป็นสุข! เพราะเจ้าที่ทำให้ข้ากับลูกของข้าต้องแยกจากกัน ข้าจะไม่ยอมปล่อยเจ้า!”
เฮ่อโยวลุกขึ้น และมองเห็นว่าขันทีกำลังลากตัวเฉินเสียนออกไป เขาพูดตามหลัง “หากองค์หญิงดูแลตัวเองให้ปลอดภัย ลูกชายของท่านก็จะไม่มีอะไรให้เป็นห่วง”
เฉินเสียนโกรธเฮ่อโยวจนเข้ากระดูก เธอถีบเขาที่หน้าท้องพระโรงขององค์จักรพรรดิ แหกกฎขนบประเพณี
เฮ่อโยวเดินเข้ามาในท้องพระโรง ถึงแม้จะจัดระเบียบเสื้อผ้าให้ดีแล้วนั้น แต่รอยช้ำที่แขนก็ยังปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน หลังจากเสร็จธุระองค์จักรพรรดิจึงให้เขาไปพบหมอหลวงเพื่อทำแผล
เฉินเสียนถูกคุมตัวกลับพระตำหนักไท่เหอ ขันทีประกาศราชโองการ ให้นางกำนัลช่วยเฉินเสียนจัดเตรียมสิ่งของเพื่อออกเดินทางในวันพรุ่งนี้
ทันทีที่ ขันทีปล่อยมือ เฉินเสียนก็ล้มลงกับพื้นด้วยความโล่งใจเล็กน้อย เธออ่อนแอเกินกว่าจะดุด่าอาละวาด เรี่ยวแรงจะปฏิเสธก็แทบไม่มี
อวี้เยี่ยนและเสี่ยวเฮรีบเข้ามาพยุงเธอกลับเข้าไปในห้อง
หลังจากที่ขันทีคนสนิทขององค์จักรพรรดิกลับออกไป ก็คลายอารมณ์ที่ตีโพยตีพายออกไปและถามอย่างใจเย็นว่า “เจ้าน่องน้อยล่ะ?”
อวี้เยี่ยนกล่าว “อยู่ในห้องตำราเพคะ”
เฉินเสียนกล่าว “เก็บของเถอะ” แล้วเธอก็เดินไปห้องตำรา