เฉินเสียนหลุบตาขึ้น จ้องเขม็งใส่องค์ชายหกตาไม่กระพริบ ในแววตามีอานุภาพที่น่าเกรงขามมาก กล่าวขึ้นว่า “ดูเหมือนว่าเจ้านี่กวนตีนจริงๆนะ”
องค์ชายหกตกใจกล่าวขึ้นว่า “แววตาของท่านน่ากลัวมาก ข้าทำอะไรผิดแล้วหรือนี่? ”ในแววตาที่ดูไร้ความผิดปรากฎให้เห็นการหัวเราะเยาะแวบหนึ่ง
ซูเจ๋อเข้ามามองเห็นว่าเฉินเสียนก็อยู่ด้วย สายตามองจอกเหล้าที่อยู่ข้างมือเธอ หยุดชั่วประเดี๋ยวเดียวแล้วกล่าวขึ้นว่า “ที่แท้องค์หญิงก็อยู่ด้วย”
องค์ชายหกยิ้มตาหยี กล่าวว่า “ใต้เท้าซู เชิญนั่ง”
โต๊ะนี้นั่งสี่คน สองคนนั่งด้านเดียวกัน องค์ชายหกกับท่านอ๋องของเป่ยเซี่ยนั่งฝั่งตรงข้าม ตอนนี้มีเพียงแค่ที่นั่งข้างเฉินเสียนที่ยังว่างอยู่
ซูเจ๋อจำใจต้องสะบัดชุดแล้วนั่งลงข้างเฉินเสียน
ในพระตำหนักรับรองนี้ องค์ชายหกและท่านอ๋องของเป่ยเซี่ยต่างคนต่างพาคนของตัวเองมาไม่น้อย ใช้ชีวิตในพระตำหนักรับรองก็ไม่ต้องใช้นางกำนัลของต้าฉู่มาปรนนิบัติรับใช้เลย
เข้ามาที่พระตำหนักรับรอง โดยภาพรวมไม่เห็นคนของต้าฉู่
องค์ชายหกเทเหล้าลงในจอกที่อยู่ตรงหน้าซูเจ๋อโดยทันที แล้วได้กล่าวขึ้นว่า “ใต้เท้าซูมาสาย จำเป็นต้องลงโทษตัวเองสามจอก”
ซูเจ๋อมองเหล้าที่อยู่ในจอกอย่างราบเรียบ แล้วกล่าวขึ้นว่า “ทำให้องค์ชายหกลำบากเดินทางมาตั้งไกล เหล้านี้ กระหม่อมซูสมควรที่จะดื่มพ่ะย่ะค่ะ”
แต่เขากำลังเอื้อมมือไปยก นิ้วมือยังไม่ทันได้สัมผัส ทันใดนั้นก็ถูกมือข้างหนึ่งของเฉินเสียนกดอยู่บนจอกเหล้าแล้ว
เฉินเสียนจ้ององค์ชายหกแล้วกล่าวว่า “ตั้งแต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่ดื่มเหล้า”
องค์ชายหกกล่าวอย่างชอบใจว่า “แต่ใต้เท้าซูเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักต้าฉู่ วงการของชนชั้นขุนนางคบค้าสมาคมมันยากที่จะหลีกเลี่ยง ความสามารถในการดื่มเหล้าน้อยอย่างไรก็สามารถดื่มได้สักกี่จอกอยู่นะ หรือว่าองค์หญิงเจ็บปวดใจ?”
เฉินเสียนหยิบจอกเหล้านั้นมา เงยหน้าแล้วกระดกดื่มลงไป ตามด้วยการนำจอกเหล้าโยนไปด้านนอกประตูแตกละเอียดยับเยิน แล้วกล่าวว่า “เอาน้ำชามาให้เขา”
ซูเจ๋อเหล่ตามองเฉินเสียน ในแววตามีความสว่างไสวอย่างราบเรียบ ซ่อนอยู่ลึกๆราวกับยามค่ำคืน
องค์ชายหกกล่าวว่า “เมื่อก่อนตอนที่อยู่เย่เหลียง ข้าเคยได้ยินว่าเหล่าขุนนางบังคับเขาดื่มเหล้า ท่านเป็นผู้ที่ปกป้องเขา พอวันนี้พบเจอ องค์หญิงยกตนข่มท่านอย่างแท้จริง”
ใต้โต๊ะ เฉินเสียนใช้ขาข้างหนึ่งเหยียบที่เท้าขององค์ชายหก บดละเอียดอย่างโหดเหี้ยม
ที่งานเลี้ยงพระราชวังเขาจงใจกลั่นแกล้งเฉินเสียนกับซูเจ๋อ อีกทั้งตอนนี้เขาพยายามบังคับซูเจ๋อดื่มเหล้า ฝ่าเท้านี้อยากจะมอบให้เขาตั้งนานแล้วแหละ
เฉินเสียนใช้แรงระดับเจ็ดในสิบที่มี ถึงแม้ว่าจะเป็นผิวที่นุ่มละมุนขององค์ชายหก เธอก็ไม่ได้เกรงใจเลยสักนิดหนึ่ง ในเวลานั้นสีหน้าขององค์ชายหกที่สง่าได้เปลี่ยนเป็นปีศาจร้ายร้อยแปดพันเก้า
“ท่าน…….”องค์ชายหกเจ็บจนเกร็ง อยากจะด่าก็ด่าออกมาไม่ได้
เฉินเสียนเหยียบบดละเอียดอีก แล้วกล่าวขึ้นว่า “พูดไร้สาระให้น้อยหน่อย เจ้าลองกล้าบังคับเขาดื่มเหล้าดูสิ”
องค์ชายหกตบลงที่โต๊ะ เจ็บจนร้องเสียงดัง “มานี่หน่อย!เอาน้ำชามา!”
ทันทีหลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มลงมือกินอาหาร
เฉินเสียนมุ่งมั่นขลุกอยู่กับการกินของตัวเอง ได้ยินน้ำเสียงที่แผ่วเบาของซูเจ๋อกล่าวว่า “ท่านดื่มมากแค่ไหนแล้ว?”
เฉินเสียนไม่ได้มองเขา ตอบกลับว่า “ไม่เท่าไหร่”
คำพูดนี้องค์ชายหกได้ยิน เลยกล่าวว่า “ตอนที่ท่านยังไม่มา พวกเราก็ดื่มกับองค์หญิงจิ้งเสียนเล็กน้อย ไม่ได้ดื่มเท่าไหร่หรอก ก็ไหนั้นมากกว่าครึ่งไหได้นะ”
ซูเจ๋อมองไหเหล้าขนาดใหญ่โตที่อยู่ด้านนั้น เลยกระตุกคิ้วขึ้น
องค์ชายหกยันคางเอาไว้แล้วกล่าวหยอกล้ออีกว่า “องค์หญิงจิ้งเสียน ครั้งก่อนตอนที่เขาได้รับบาดเจ็บ ท่านตึงเครียดเป็นกังวลเขาอย่างไร ข้าเห็นด้วยตาตัวเองทั้งหมด ครั้งนี้เหตุใดถึงได้ปิดเป็นความลับเช่นนี้เล่า?”
เฉินเสียนที่ถือตะเกียบชะงักงัน กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “องค์ชายหก ข้าแนะนำเจ้าพูดให้คิดด้วย”
“ข้าพูดไม่คิดอย่างไร ข้าสร้างสถานการณ์โอกาสให้กับพวกท่านอย่างชัดเจน ท่านควรที่จะขอบคุณข้า คนที่ท่านหมายปองก็คือใต้เท้าซูที่อยู่ด้านข้างผู้นี้ โดยพื้นฐานไม่ใช่แม่ทัพใหญ่อะไรเลย พวกเราล้วนรู้กัน พวกท่านไม่ต้องเสแสร้งแล้ว”
ท่านอ๋องของเป่ยเซี่ยกล่าวว่า “องค์ชายหก ท่านพูดน้อยลงหน่อยเพื่อความเหมาะสม ”
ไม่รู้ว่าองค์ชายหกเจตนาหรือไม่เจตนา กล่าวอย่างดื้อดึงว่า “เรื่องนี้คนในราชนิเวศน์เย่เหลียงล้วนรู้กัน อาจจะเป็นทางต้าฉู่ด้านนี้ที่ไม่รู้ องค์หญิงท่านว่าใช่หรือไม่?”
ตามความเป็นจริง ที่อยู่ราชนิเวศน์เย่เหลียงช่วงนั้น เรื่องของเธอกับซูเจ๋อ อยู่ที่เย่เหลียงมิใช่ความลับอะไร
เวลานั้นซูเจ๋อบาดเจ็บหนัก โดยพื้นฐานเธอไม่สามารถรักษาระยะห่างกับเขาได้
ในเมื่อองค์ชายหกรู้ เรื่องนี้ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบัง แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะอยากพูดก็พูดได้นะ
ท่านอ๋องของเป่ยเซี่ยกล่าวเพื่อให้จบลงด้วยดีว่า “องค์ชายหก เขาดื่มมากแล้ว”
ซูเจ๋อหรี่เปลือกตาเล็กแคบลง แม้ว่ามองดูแล้วองค์ชายหกมีท่าทางที่เมา แต่ความกระจ่างแจ้งในแววตานั้นยังมีอยู่
องค์ชายหกกล่าวอย่างเจื้อยแจ้วว่า “องค์หญิง ถึงอย่างไรตอนนี้ท่านก็มีอิสระของตัวเอง ในที่สุดตอนนี้ก็สามารถตามหารักแท้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าต้าฉู่รู้เรื่องราวความสัมพันธ์ของพวกท่านทั้งสองแล้วต่อไปมันจะเป็นอย่างไร เช่นนั้นแม่ทัพใหญ่ก็น่าสงสารเสียจริง ทุกคนล้วนคิดว่าองค์หญิงรักเขามากมายอย่างลึกซึ้ง ที่แท้เขาเป็นเพียงส่วนเกินนั้น…….”
เฉินเสียนวางตะเกียบลง ควันสีขาวในหม้อลอยขึ้นเป็นเกลียว เธอมองไปทางองค์ชายหกแล้วกล่าวว่า “เจ้าลองพูดมากอีกคำหนึ่งดูสิ”
เฉินเสียนต้องการดื่มเหล้า ซูเจ๋อกุมมือเธอไว้ หยิบจอกเหล้าออกมาวาง กล่าวว่า “องค์ชายหกดื่มเยอะ ท่านก็จะทะเลาะกับเขาที่ความรู้สติไม่ชัดเจนหรือ อาเสียน ที่นี่คือพระตำหนักรับรอง”
องค์ชายหกกล่าวว่า “ท่านดู เขายังไม่ถือสาที่ข้าพูดเลย ข้าพูดแล้วอย่างไร”
จิตใต้สำนึกของเฉินเสียนดึงออกมาจากมือเขา แล้วกล่าวว่า “พระตำหนักรับรองก็กำลังได้จังหวะเลย ข้าอยากตีเขามานานมากแล้ว เขาคิดว่าข้าไม่กล้าตีเขา”
เฉินเสียนลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นซูเจ๋อกุมมือเธอไว้ได้ กล่าวขึ้นว่า “คืนนี้ไม่ควรดื่มเหล้า”
เฉินเสียนหายใจเข้า เห็นชัดเจนว่าเธอชอบที่เขาจูงมือชอบมากเหลือเกิน แต่เธอจะรับมันอย่างสบายใจไร้การกังวลได้อย่างไร
เกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ค่ำคืนที่ยาวนานความฝันมากมาย เป็นตามความจริงไร้ความปลอม
วันที่ออกจากงานเลี้ยงพระราชวังตอนเย็นได้ใกล้ชิดสนิทสนมกันอยู่ในโรงเรียนไท่นั้น ก็เพิ่งจะผ่านไปได้ไม่กี่วัน
เธอต้องการเวลามาสงบจิตสงบใจ มาคิดให้กระจ่างว่าควรจะเข้าใจซูเจ๋ออย่างไร เธอไม่อยากจะตัดแล้วผลักเขาออกไปอย่างเหี้ยมโหด แต่เธอก็ไร้หนทางที่จะเข้าใกล้ชิดเหมือนอย่างก่อนหน้าแล้ว
เฉินเสียนกล่าวว่า “ท่านอย่ายุ่งกับข้าได้หรือไม่ ให้ข้าตีเขา”
ซูเจ๋อปล่อยมือ แล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นท่านตีเถิดนะ”
องค์ชายหกยังลำพองใจเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าเฉินเสียนจะมาคว้าที่ปกเสื้อของเขาแน่นแล้วก็ลากออกไป
องค์ชายหกทอดถอนหายใจออกมา กล่าวว่า “องค์หญิงจิ้งเสียน ใช้กำลังทุบตีไม่ดีเลย…….”
เฉินเสียนยกมือขึ้นแล้วนำเขาทิ้งออกนอกประตู เดินไปทีละก้าวๆ คว้าองค์ชายหกขึ้นตีจนได้รับบาดเจ็บภายนอก
องค์ชายหกเห็นเฉินเสียนเอาจริง ร้องเสียงดังโวยวาย ทั้งสองคนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ในหิมะ ราวกับเด็กน้อย ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมแพ้
เรี่ยวแรงกับการเคลื่อนไหวขององค์ชายหกเทียบกับเฉินเสียนไม่ได้เลย สุดท้ายถูกเฉินเสียนกดลงที่พื้น เฉินเสียนตบหน้าเขาฉาดหนึ่งเสียงดังก้องกังวาน ชั่วพริบตาเดียวก็ตีเขาย่อยยับแล้ว
องค์ชายหกจะเคยได้รับความอัปยศอย่างนี้ได้อย่างไร ไม่นึกเลยว่าเขาจะถูกผู้หญิงคนหนึ่งตบหน้า
แต่เขายังไม่ทันได้โมโหโวยวาย ก็ถูกเฉินเสียนคว้าปกเสื้อหิ้วเขาขึ้นมาแล้ว ทันใดนั้นเขาใกล้เขา แววตาเยือกเย็นเฉียบแหลมราวกับสิ่งที่เคลือบรอบตัวล้วนเป็นเกล็ดหิมะ ขับให้ทั้งตัวของเธอความสามารถแสดงความเยือกเย็นราวกับช่องแช่แข็งออกมาอย่างเด่นชัด
เฉินเสียนมององค์ชายหกอย่างดูถูกเหยียดหยาม กล่าวออกมาทีละคำว่า “ข้าจะเตือนสติเจ้า เจ้ากล้าวุ่นวายยั่วเขาอีก เอาเขามาล้อเล่น ข้าสามารถทำให้เจ้าร่ำไห้กลิ้งกลับไปเย่เหลียงได้เลยล่ะ”
องค์ชายหกเฉื่อยชาไร้จิตวิญญาณชั่วขณะ แล้วถูกเฉินเสียนทิ้งลงบนพื้น
องค์ชายหกได้สติกลับมา กลับนอนหัวเราะอย่างไม่สะทกสะท้านอยู่ในพื้นหิมะ แล้วกล่าวว่า “ท่าน หญิงผู้นี้ ที่อายุมากกว่าข้าเล็กน้อย หยาบคายดุดันกล้าหาญพอสมควร แต่ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยคือสวยงามเป็นอย่างมาก ท่านกับเขาไม่สามารถคบหากันอย่างเปิดเผยต่อสาธารณะชนได้ ไม่ดีเท่ากับท่านมาคบหากับข้าหรอก ถึงอย่างไรตอนนี้ท่านก็โสดอยู่ ข้าไม่รังเกียจที่ท่านแต่งงานมาก่อนแล้ว เป็นอย่างไร”
ซูเจ๋อได้ยินแล้วมีสีหน้าเย็นชา ดื่มชาหนึ่งกลืนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น สีหน้าที่ถอยห่างอ้างว้างนั่นราวกับว่าพูดไปเป็นอย่างๆ จะอย่างไรพระองค์ก็ไม่มีสิทธิ์นั้นหรอกนะ