ตอนนั้นซูเจ๋อถูกค้นเรือนอย่างไร ตอนนี้ก็ถึงทีของเฮ่อฟั่งบ้างแล้ว
ความโชคดีไม่ได้คงอยู่ตลอดไป ซึ่งนี่คือความยุติธรรม
เพียงแต่ตอนนั้นไม่พบหลักฐานการกระทำผิดใดๆ จากเรือนของซูเจ๋อ และตอนนี้เป็นเรื่องจริงที่เฮ่อฟั่งกระทำผิดมานับครั้งไม่ถ้วน
เขาลบล้างสิ่งเหล่านี้ไม่ได้
ผู้คนในเมืองหลวงพูดถึงเขาและเห็นแจ้งว่าน่าเชื่อถือ
เฉินเสียนกลับเข้าไปในโรงน้ำชาอีกครั้งเพื่อดื่มชา ได้ยินมาว่าบุรุษนักเล่าเรื่องนำเรื่องนี้มาเล่าอย่างยินดีปรีดาที่เห็นคนกระทำผิดถูกลงโทษ
กล่าวกันว่าวันต่อมา บุรุษนักเล่าเรื่องได้นำเรื่องของบัณฑิตซูเจ๋อมาเล่า
บัณฑิตผู้รับใช้ราชสำนักอย่างซื่อสัตย์อาจถูกขุนนางใจหมาเฮ่อฟั่งใส่ร้ายป้ายสี เฮ่อฟั่งกระทำทุจริตหาอำนาจในทางที่มิชอบ รวบรวมสมัครพรรคพวก ขุดรากถอนโคนผู้เห็นต่าง ก่อกรรมทำชั่วทุกรูปแบบ
ผู้คนฟังแล้วต่างก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผล
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าใครคือขุนนางที่ซื่อสัตย์ ใครคือขุนนางที่คดโกง
เวลานี้จักรพรรดิเพิ่งอ่านผลการพิจารณาคดีที่กรมอาญาถวายให้ แม้ว่าเฮ่อฟั่งจะยังคงให้การปฏิเสธ แต่หลักฐานทั้งหมดที่มีอยู่นั้นชัดเจนและถูกต้อง
เงินทองและจดหมายที่พบเจอในเรือนของเขาเป็นสิ่งที่เขาปฏิเสธไม่ได้โดยสิ้นเชิง
จักรพรรดิทรงพิโรธขึ้นมาอย่างฉับพลัน ไม่เพียงแต่เรื่องที่หนักหัวอยู่จะยังไม่ได้รับการแก้ไข ผลลัพธ์เช่นนี้ยิ่งทำให้พระองค์ผิดหวังในตัวเฮ่อฟั่งเป็นอย่างมาก
ปกติเฮ่อฟั่งเป็นคนที่ระมัดระวังตัวมาก เขาทำทุกอย่างเพื่อให้จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็น ไม่คิดเลยว่าภายใต้เปลือกนอกที่อ่อนน้อมเหมือนหมาเชื่อง เบื้องหลังกลับเป็นหมาป่าตาขาวที่หิวกระหาย
จักรพรรดิทอดพระเนตรเงินและทองคำแท่งที่วางเรียงอย่างเป็นระเบียบอยู่ตรงหน้า เฮ่อฟั่งเป็นผู้ที่โลภมากอย่างแท้จริง
หากเป็นในยามปกติ จักรพรรดิจะต้องรับสั่งให้ตัดศีรษะของเฮ่อฟั่งโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา
แต่ตอนนี้ไม่ใช่… เรื่องของเฮ่อฟั่งเกิดขึ้นในเวลาที่ไม่เหมาะสม เห็นได้ชัดว่ามีคนบงการอยู่เบื้องหลัง
จักรพรรดิตรัสกับนางกำนัลที่อยู่ข้างกายว่า “นำคำสั่งของข้าไปบอกกรมอาญา ยังไม่ต้องรีบร้อนตัดสินคดีของเฮ่อฟั่ง คดีของซูเจ๋อยังไม่เสร็จสิ้น หลังจากคดียุติแล้วค่อยนำคดีนี้มาพิจารณาใหม่”
ที่คุกภายในศาลยุติธรรมต้าหลี่ตกอยู่ในความสงบมาสองวัน
ผู้คุมเฝ้าห้องขังที่ซูเจ๋อถูกคุมขังอยู่โดยไม่กล้าหย่อนยาน ซูเจ๋อไม่ได้พูดอะไรเลยตลอดทั้งวัน ความเงียบจึงเข้าครอบคลุม
ผู้คุมสองคนต่างผิงไฟให้ตัวเอง บางครั้งก็นำสุราและอาหารเล็กๆ น้อยๆ มาอุ่นท้องด้วย
เปลวเพลิงในเตาถ่านคุกรุ่นส่องประกายจนทำให้เกิดเป็นเงาร่างบนผนังที่มืดสลัว แฝงไปด้วยพลังอันเต็มเปี่ยมและความเฉลียวฉลาด
ทันใดนั้นซูเจ๋อก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ทันคาดคิด เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งว่า “ดูเหมือนสองวันมานี้ใต้เท้าเฮ่อจะยุ่งมากและไม่สนใจข้าเลย”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด เมื่อซูเจ๋อพูด เขาจะมีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้ผู้คนปฏิเสธไม่ได้
น้ำเสียงของเราเรียบนิ่งน่าฟัง ไม่มีการวางมาด และดูเหมือนเป็นการพูดเรื่องทั่วๆ ไปกับผู้คุม
เมื่อผู้คุมทั้งสองคนได้ยินดังนั้นจึงมองหน้ากันและกันแวบหนึ่ง จากนั้นจึงหันไปมองซูเจ๋อและกล่าวว่า “เช่นนี้ไม่ใช่โอกาสที่จะฉวยความสุขหรอกหรือ เมื่อใต้เท้าเฮ่อไม่อยู่ ท่านเองก็ไม่ต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัว”
การเป็นบัณฑิตแห่งราชสำนัก เป็นราชครูขององค์ชายและองค์หญิง ไม่เพียงแต่จะมีความรู้อย่างลึกซึ้งในศาสตร์หลายแขนงและมีคุณธรรมสูงส่ง แต่ตามความเข้าใจของผู้คุม เขาดูไม่เหมือนคนเจ้าเล่ห์สับปลับเลยสักนิด
คนที่ไม่สนเรื่องการแก่งแย่งชิงดีและพอใจกับความสงบเรียบง่ายเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึงว่าเขาจะเป็นสายลับจากอาณาจักรเป่ยเซี่ย
เพียงแต่ว่าผู้คุมมีหน้าที่ต้องควบคุมดูแลนักโทษในคุก ไม่มีอำนาจอะไร แม้ว่าจะมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล พวกเขาก็พูดอะไรไม่ได้อยู่ดี
ซูเจ๋อกล่าวว่า “การเจ็บเนื้อเจ็บตัว ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงแค่การเจ็บเนื้อเจ็บตัว”
ผู้คุมฟังแล้วเหมือนจะเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ
ผู้คุมคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “ได้ยินมาว่าใต้เท้าเฮ่อมีคดีถูกฟ้องร้อง ตอนนี้อยู่ในคุกของกรมอาญา ตอนนี้ก็เลยไม่มีเวลามาสนใจท่าน”
ผู้คุมเองก็ได้ยินข่าวลือจากข้างนอกมาบ้างเหมือนกัน บางคนบอกว่าใต้เท้าซูผู้นี้ถูกใต้เท้าเฮ่อใส่ร้ายป้ายสีเพื่อทำลายชื่อเสียง
ซูเจ๋อกระซิบว่า “ก็เลยไม่รู้ว่าใต้เท้าเฮ่อจะยังมีโอกาสมาไต่สวนข้าหรือไม่”
“ใครจะไปรู้ รอดูผลเถิด”
เป็นเรื่องยากที่ผู้คุมจะได้ยินซูเจ๋อพูดหลายๆ ประโยคเช่นนี้ พวกเขารู้สึกชอบน้ำเสียงที่เรียบนิ่งและอ่อนโยนของเขาอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่หยิ่งทะนงเหมือนขุนนางคนอื่นๆ ทั้งยังเป็นกันเองมากกว่า
ผู้คุมถามว่า “ท่านหนาวหรือไม่ อยากดื่มสุราคลายหนาวสักหน่อยไหม”
ซูเจ๋อตอบว่า “ขอบคุณมาก ปกติข้าไม่ดื่มสุรา ถ้าเป็นไปได้ ช่วยขยับเตาถ่านมาหน่อยได้หรือไม่”
ผู้คุมเป็นคนนิสัยใจคอดี ปกติก็มักจะวางกระถางไฟไว้ตรงทางเดินข้างประตูห้องขังของเขาทุกคืน ดังนั้นเขาจึงไม่คิดว่าคำขอของซูเจ๋อนั้นมากเกินไป
เวลานี้กระถางไฟอีกอันหนึ่งยังไม่ได้ตั้งถ่าน ผู้คุมจึงนำกระถางที่พวกเขาใช้ไปไว้ที่ทางเดิน
ซูเจ๋อนั่งเอนหลังพิงประตูห้องขัง เขาเอียงศีรษะเล็กน้อยและยื่นมืออันผอมโซออกมาจากช่องว่างระหว่างประตูห้องขังเพื่อผิงไฟให้ร่างกายอบอุ่น
บนนิ้วมือของเขายังมีคราบเลือดติดอยู่ แต่การเคลื่อนไหวที่สุขุมและดูสบายๆ นั้นทำให้รู้สึกราวกับว่าแท้จริงแล้วเขาไม่ได้ถูกลงโทษให้อยู่ในคุกแห่งนี้
ผู้คุมมองเขาผิงไฟเงียบๆ และรู้สึกว่านี่คือภาพที่ดูแล้วเจริญตา สงบเงียบและไม่สะสะท้าน
ซูเจ๋องอนิ้วเล็กน้อยจนเผยให้เห็นข้อนิ้วที่เรียวยาว เขาค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ๆ ก้นของเตาถ่าน ลูบหุ่นกระบอกทั้งสองตัวที่อยู่ใต้เตาถ่านอย่างแผ่วเบา
แม้จะร้อนจนลวกมือแต่เขาก็ไม่ขยับไปไหน ราวกับว่าทำแบบนี้แล้วจะทำให้หัวใจของเขาค่อยๆ อบอุ่นขึ้น
หลังจากเกิดเรื่องกับเฮ่อฟั่ง จิตใจของเฮ่อเซียงก็เริ่มไม่เป็นสุข แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะมีประโยชน์สำหรับเฉินเสียนในการช่วยเหลือซูเจ๋อ แต่ถึงอย่างไรคนที่มีปัญหาก็คือลูกชายของเขา
สองวันมานี้เฮ่อโยวออกไปแต่เช้าและกว่าจะกลับมาก็ดึก ไม่รู้ว่ากำลังยุ่งเรื่องอะไรอยู่ แต่เวลาที่กลับมา เขาก็มักจะมีท่าทีที่มีความสุข
เฮ่อเซียงคิดในใจว่า ซูเจ๋ออยู่ในคุก เฉินเสียนเป็นผู้หญิงคนเดียวจะติดต่อกิจธุระใดๆ กับราชสำนักได้ เรื่องของเฮ่อฟั่ง พวกเขาอาจจะมีกำลังใจเหลือเฟือแต่ไม่มีกำลังมากพอ
เฮ่อเซียงมองเฮ่อโยวที่กลับมาถึงเรือนด้วยใบหน้าที่ผ่อนคลาย แล้วจิตใจของเขาก็หม่นหมองลง
เขารู้ว่าเฮ่อโยวเกลียดเฮ่อฟั่ง และตอนนี้เฮ่อโยวก็อยู่อย่างสะดวกสบายในราชสำนัก จะว่าไปก็มีโอกาสเป็นไปได้เช่นกันว่าเขาจะเป็นคนทำเรื่องนี้
เฮ่อเซียงถามเขาอย่างตรงไปตรงมาว่า “เรื่องของเฮ่อฟั่ง เจ้าเป็นคนทำใช่หรือไม่”
ตอนแรกเขาคิดว่าเฮ่อโยวจะปฏิเสธ แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะตอบว่า “ใช่ แล้วยังไงหรือ”
“เจ้า!” เฮ่อเซียงโกรธมาก “ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพี่ชายของเจ้า!”
เฮ่อโยวถามว่า “มีพี่ชายที่ไหนวางยาญาติผู้ใหญ่ในตระกูลเพื่อโยนความผิดให้น้อง? มีพี่ชายที่ไหนที่จ้างนักฆ่าโดยไม่ลังเลเพื่อฆ่าน้องชายของตัวเอง? ท่านอัครเสนาบดีของข้า คนผู้นั้นฆ่าท่านย่าของข้า เขาฆ่ามารดาของท่าน!”
เฮ่อเซียงพูดไม่ออกและรู้สึกสิ้นไร้เรี่ยวแรง
เฮ่อโยวยักไหล่และกล่าวว่า “ทุกสิ่งที่เขาประสบคือผลกรรมของเขาเอง ข้าไม่ได้ใส่ร้ายเขา ข้าเพียงแต่เปิดเผยสิ่งโสมมและน่ารังเกียจทั้งหมดที่เขาทำก็เท่านั้น”
ขณะที่เฮ่อโยวเดินผ่านเฮ่อเซียงไป เฮ่อเซียงก็ถามขึ้นมาอย่างเศร้าใจว่า “เจ้าจำเป็นจะต้องทำลายตระกูลเฮ่อด้วยหรือ”
“ตระกูลเฮ่อถูกทำลายไปนานแล้ว” เฮ่อโยวกล่าว “ท่านต้องการบุตรชายอย่างเขา หรือว่าต้องการบุตรชายอย่างข้า หากถูกลิขิตมาให้มีชีวิตอยู่ได้เพียงแค่คนเดียว ท่านก็เลือกเองเถิด แต่ไม่ว่าท่านจะเลือกใคร ข้าก็จะให้เขาตายไปโดยไร้ที่ฝังอยู่ดี”
“ลูกไม่รักดี! เจ้ามันเป็นลูกไม่รักดี!”
เฉินเสียนและฉินหรูเหลียงกลับไปที่จวนฉิน เมื่อเดินเข้าประตูไปแล้ว ฉินหรูเหลียงจึงกล่าวว่า “วันนี้ท่านได้เห็นเฮ่อฟั่งพ่ายแพ้สมใจ คืนนี้ท่านคงจะนอนหลับได้อย่างสงบ เย็นนี้จะกินอาหารที่ห้องอาหารหรือจะกินในเรือน”
“กินในเรือน”
เฉินเสียนกลับไปที่สวนสระวสันตฤดูและฉินหรูเหลียงก็ตามเธอไปที่นั่น
อวี้เยี่ยนกับแม่นมซุยกำลังวุ่นอยู่กับการทำอาหารเย็น
ทันทีที่เดินมาถึงประตูของลานบ้าน เฉินเสียนก็หันกลับไปขวางกั้นฉินหรูเหลียงให้อยู่ที่นอกลาน
ฉินหรูเหลียงเลิกคิ้ว “พอข้ามแม่น้ำได้แล้วท่านก็คิดจะทุบสะพานทิ้งเลยรึ? ข้าไปข้างนอกเป็นเพื่อนท่านมาทั้งวัน แค่เข้าไปกินข้าวให้อิ่มท้องสักมื้อก็ไม่ได้หรืออย่างไร”