พ่อบ้านก้าวเท้ามาที่ด้านหน้าห้องตำราอย่างนุ่มนวล เคาะประตูอยู่สองครั้ง เมื่อได้ยินเสียงซูเจ๋ออนุญาตให้เข้าไปได้ เขาจึงก้าวเท้าเข้าไป
ไม้กฤษณาในกระถางธูปได้เย็นตัวลงนานแล้ว แม้ว่าจะเปิดหน้าต่างออกไปสองบาน ห้องตำราก็ยังคงมีกลิ่นหอมเย็นๆลอยอบอวนอยู่
ซูเจ๋อที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่าง มองออกไปในป่าไผ่ที่มืดสนิทเป็นเวลานาน
เมื่อพ่อบ้านเข้ามาแล้ว เขาจึงหันหลังกลับไป ภายใต้แสงสีเหลืองอันอบอุ่นของดวงไฟ ทำให้มองเห็นถึงสีหน้าอันเหนื่อยล้าของเขา การสวมใส่เสื้อผ้าอย่างสบายๆ เส้นผมถูกปล่อยลงมาบนเสื้อดูไม่ค่อยเรียบร้อย
พ่อบ้านกล่าว “ใต้เท้า ตามโดยที่ใต้เท้าเฮ่อเซียงเป็นแกนนำ เหล่าขุนนางเก่าได้เจอกันอย่างลับๆ เพื่อหารือกันเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวในราชสำนัก เชื่อว่าเมื่อถึงเวลาที่จำเป็น พวกเขาก็คงไม่สามารถที่จะอยู่เฉยๆได้ ในที่สุดใต้เท้าก็สามารถวางใจได้แล้ว ”
ซูเจ๋อถาม “แล้วพระองค์หล่ะ?”
พ่อบ้านพูดขึ้นอย่างสีหน้าเศร้าว่า “ บ่าวได้ไปถามข่าวมาได้ความว่า อาการขององค์หญิงจิ้งเสียนยังไม่ถึงกับชีวิต แต่ว่ายังคงนอนหลับไหลไม่ฟื้น ไม่มีหมอคนไหนรักษาได้ ”
ซูเจ๋อกลับมานั่งประจำที่โต๊ะ บนโต๊ะหนังสือของเขาสะอาดและกว้างใหญ่ นอกจากพู่กัน กระดาษ และจานฝนหมึก ก็ไม่มีสิ่งของอย่างอื่น
เขาวางกระดาษลง หยิบพู่กันจุ่มน้ำหมึก แล้วเริ่มเขียนลงไปบนกระดาษนั้น ตัวอักษรที่เขาเขียนลงไปเหมือนมีจิตวิญญาณ เขียนด้วยประสบการณ์มากมาย และจังหวะการลงพู่กันอย่างแปลกประหลาด
นั่นก็เพราะว่าเขาไม่ต้องการให้ผู้ใดมองออกว่านี่เป็นลายมือของเขา
ถ้าไม่ได้ดูเขาเขียนด้วยตาตัวเอง ลายมือของเขาที่เปลี่ยนไปมาอย่างแปลกประหลาด ก็ไม่มีใครสามารถมองออกได้ว่าเป็นลายมือของเขา
ซูเจ๋อยังถามต่อว่า “สามารถยื้อชีวิตได้นานสุดอีกกี่วัน?”
พ่อบ้านตอบ “ห้าถึงสิบวัน”
เขาย่นคิ้วอันเรียวยาว เมื่อคลายนิ้วออกแล้วจึงวางปากกาลง พูดขึ้นว่า “ข่าวคราวของเป่ยเซียมาถึงเมื่อไร?”
“ก็น่าจะไม่กี่วันนี้”
ซูเจ๋อลุกขึ้นแล้วพับแผ่นกระดาษนั้นที่เขียนด้วยหมึกที่ผึ่งลมแห้งแล้วส่งให้กับมือของพ่อบ้าน แล้วพูดว่า “นำสิ่งนี้ไปให้หมอที่กระท่อมยาแล้วเชิญเขาให้ไปรักษาอาเสียน”
พ่อบ้านรับคำสั่ง แล้วกำลังจะออกจากบ้านไปทำเรื่องที่ซูเจ๋อวานให้ไปทำ เมื่อไปยืนอยู่ที่ประตู เขาหันหลังกลับมามองซูเจ๋อยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ เหมือนกำลังนั่งวาดรูปอยู่ แต่จิตใจนั้นไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร
พ่อบ้านส่งเสียงว่า “ใต้เท้ายังไงก็ต้องดูแลสุขภาพร่างตัวเองด้วย อากาศเย็นรีบเข้าไปพักผ่อนเถิด”
ซูเจ๋อตอบกลับมาเบาๆ ว่า “ข้ารู้”
“ไม่อย่างนั้นเมื่อช่วยชีวิตองค์หญิงจิ้งเสียนได้แล้ว ใต้เท้าจะเป็นคนที่ล้มป่วยไปเสียเอง”
เมื่อพูดถึงเฉินเสียน ซูเจ๋อมีปฏิกิริยาที่แตกต่างออกไป น้ำเสียงดูอ่อนโยนลง เขาเอ่ยว่า “เจ้าไปเถิด ข้าอยู่สักครู่เดี๋ยวข้าจะกลับไปพักข้างในห้องแล้ว”
แต่เขาอยู่คนเดียวโดยไม่รู้ว่าเวลานี้คือเวลาใด ครุ่นคิดกับเรื่องต่างๆมากมายอย่างลึกซึ้ง นั่งอยู่ในห้องตำราอย่างน่าเบื่อหน่ายจนเวลาล่วงนานไป
อาการป่วยของฉินหรูเหลียงนั้นยังไม่ดีขึ้น นอนหลับไม่ได้สติอยู่หลายวัน นอกจากนี้เฉินเสียนก็ยังคงนอนอยู่ในสระวสันตฤดูอย่างไม่ได้สติ แม้ว่าที่จวนนั้นจะถึงคราวตกต่ำ แต่ก็ไม่สามารถที่จะเกียจคร้านได้ ทุกคนต่างไม่ลดละความพยายามให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ทุกวันๆจะต้มยาและเชิญหมอเข้าในจวนอย่างไม่ขาดสาย
ทั้งจวนนี้เหมือนราวกับว่าถูกอบอวนไปด้วยกลิ่นยาและโรคภัยเต็มไปหมด
ไม่กี่วันต่อมา ฉินหรูเหลียงก็ลืมตาขึ้น ราวกับนอนฝันไปแล้ววันนี้เพิ่งตื่นขึ้นมาอย่างฉับพลัน
เป็นเรื่องที่ทำให้ทุกคนในจวนต่างก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง
อาการของเฉินเสียนนั้นกลับแย่ลงขึ้นทุกวันๆ อวี้เยี่ยนไม่มีทางอื่นจึงพาร่างกายตัวเองที่บาดเจ็บไปที่เรือนหลัก เมื่อเห็นฉินหรูเหลียงนอนพิงอยู่ที่หัวเตียง นางจึงนั่งคุกเข่าลงอย่างแรง
ฉินหรูเหลียงถามด้วยจิตใต้สำนึกว่า “เฉินเสียนเป็นอะไรรึ?”
อวี้เยี่ยนร้องไห้ “องค์หญิงท่าน……ถูกคนทำร้าย อาการหนักขึ้นทุกวัน บ่าวไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว เลยมาหาท่านแม่ทัพ ขอท่านแม่ทัพได้โปรดช่วยชีวิตองค์หญิงด้วยเถิด……”
ฉินหรูเหลียงที่เพิ่งฟื้นขึ้นมา ที่จริงควรจะอยู่พักรักษาตัว แต่กลับลุกขึ้นจากเตียงแล้วไปที่สวนสระวสันตฤดู
บ่าวใช้ในเรือนหลักที่กำลังยกยามาให้นั้นห้ามไว้ไม่อยู่ ได้เพียงแต่หยิบเสื้อมาคลุมให้กับฉินหรูเหลียง ร่างกายเขาเต็มไปด้วยบาดแผล ก้าวเท้าออกไปอย่างบุ่มบ่ามเดินอย่างฉับไวและโซเซไปมา อวี้เยี่ยนถึงเดินตามไม่ทันได้แต่เดินตามอยู่ด้านหลัง
เมื่อเข้ามาในสวนสระวสันตฤดู แม่นมซุยเห็นอวี้เยี่ยนก็ถอนหายใจยาวออกมา
พ่อบ้านก็รีบเดินเข้ามาหาอวี้เยี่ยนด้วยความโกรธอย่างจนปัญญา พูดขึ้นว่า “ท่านแม่ทัพกว่าจะฟื้นขึ้นมาได้ เจ้าไปหาท่านแม่ทัพท่านสามารถช่วยเหลืออะไรได้ เมื่อท่านแม่ทัพรู้เรื่องอาการขององค์หญิงแล้ว ท่านจะอยู่รักษาตัวให้สบายใจได้อย่างไร หรือว่าถ้าท่านแม่ทัพล้มป่วยลงไปอีก เจ้าถึงจะดีใจหรอ!”
แม่นมซุยลากอวี้เยี่ยนเข้าไปในห้อง แล้วพูดขึ้นว่า “ตอนนี้สวนสระวสันตฤดูก็วุ่นวายมากพอแล้ว เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนรักษาตัวเองเถิด”
ดวงตาของอวี้เยี่ยนที่เต็มไปด้วยน้ำตา นางเม้มปากพูดว่า “ข้ารู้ว่าอาการของท่านแม่ทัพไม่ค่อยจะดี แต่ว่าเวลาขององค์หญิงก็เหลือน้อยเต็มทีแล้ว”
พ่อบ้านพูด “แล้วอาการของท่านแม่ทัพในตอนนี้ เจ้าคิดว่าท่านจะสามารถช่วยเหลืออะไรองค์หญิงได้หรือ? ใต้เท้ายังช่วยตัวเองไม่ได้ ท่านจะสามารถช่วยองค์หญิงให้ดีขึ้นได้หรอ?”
อวี้เยี่ยนพูดอย่างดื้อรั้นว่า “ เมื่อก่อนองค์หญิงรังเกียจที่สุดในการอยู่ใกล้ชิดกับท่านแม่ทัพ ข้าเพียงคิดว่า ถ้าเกิดท่านแม่ทัพมาเฝ้าองค์หญิงอยู่สักพักแล้วได้พูดคุยกับพระองค์ พระองค์จะทรงโกรธแล้วก็จะฟื้นขึ้นมาได้……”
แม่นมซุยและพ่อบ้านต่างไม่มีคำพูดอะไร
ในความทรงจำของฉินหรูเหลียง ตอนที่เขาไม่สบายอยู่นั้นเฉินเสียนยังดีอยู่เลย เพียงแต่ผ่านไปไม่กี่วัน ทำไมถึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้
ฉินหรูเหลียงรู้ว่า องค์จักรพรรดิจะต้องคิดหาวิธีที่จะกำจัดเฉินเสียนอย่างแน่นอน แต่เขาไม่คิดว่ามันจะมาเร็วขนาดนี้ มาโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัวและเขาไม่กำลังที่จะสามารถปกป้องนางไว้ได้
ฉินหรูเหลียงนั่งลงข้างเตียงของเธอ แล้วกุมมือเธอขึ้นมา มือของเธอนั้นเย็นเฉียบ
เส้นผมสีดำของเธอแผ่อยู่เต็มหมอนที่หนุน สีหน้าขาวไม่มีเลือดฝาด
“เฉินเสียน”
ฉินหรูเหลียงตะโกนเรียกชื่อเธอ เธอก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ เขากุมมือเธอเอาไว้แน่นแล้วยกขึ้นมาแตะที่หน้าผากของตัวเองแล้วเลื่อนไปที่ริมฝีปาก เธอก็ไม่มีความรู้สึกอะไร
ฉินหรูเหลียงพูด “เฉินเสียน ข้าเหมือนกับฝันไป ฝันเห็นว่าท่านอยู่ในบ้านหลังนี้ บ้านที่ทุกวันมีแต่เสียงหัวเราะ ฝันว่าท่านไม่ได้จากไปไหน พวกเราใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันตลอดไปยาวนาน ข้าไม่กล้าที่จะคิดเพ้อฝัน แต่ในใจของข้านั้นมันกลับเฝ้าปรารถนา ”
“ข้าจะไม่ดำรงตำแหน่งแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่แล้ว ข้ารู้แล้วว่ามันไม่มีอะไรไม่ดี ในใจของข้าไม่มีภาระสิ่งใดแล้ว สามารถที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างตามที่ข้าต้องการอยากจะทำได้ สามารถไปปกป้องคนที่ข้าอยากจะปกป้องได้ แต่เมื่อข้าฟื้นขึ้นมาแล้ว ทำไมเป็นท่านที่ยังนอนหลับไหลอยู่”
เขาพรมจูบลงไปที่มือของเฉินเสียน แล้วพูดเสียงต่ำว่า “เฉินเสียน ข้าไม่อนุญาตให้ท่านหลับแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ท่านต้องตื่นขึ้นมาให้ข้าเห็น”
น้ำเสียงต่อว่าเหล่านั้นของเขามันแฝงไปด้วยคำทุกข์ทรมานใจอย่างยิ่ง “ท่านไม่ได้บอกว่าท่านสามารถดูแลตัวเองได้ไม่ใช่รึ ข้าไม่อยู่ดูแลท่านเพียงไม่กี่วัน ทำไมท่านถึงได้พาตัวเองเปลี่ยนไปเช่นนี้? ตอนแรกท่านควรจะฟังข้า วางแผนกลยุทธ์ให้ตัวเองได้ออกไปก่อน”
พ่อบ้านอยู่ในสวนสระวสันตฤดูได้ไม่นาน ก็ออกไปที่หน้าประตูจวนเพื่อไปต้อนรับหมอคนใหม่ที่มาถึง
หมอเดินเข้าเดินออกมารักษากันอยู่หลายกลุ่ม แต่ไม่ใครที่จะรักษาได้ผลเลยสักคน
หลังจากนั้นก็มีสาวน้อยที่ยังเยาว์วัยปรากฏขึ้นมา สวมใส่เสื้อผ้าอย่างเรียบง่าย ยืนอยู่ด้านหน้าจวนพยายามมองเข้าไปรอบๆข้างในจวน เมื่อเห็นคนเดินออกมาเธอจึงพูดขึ้นว่า “ข้ามาออกตรวจคนไข้แทนพ่อของข้า ได้ยินมาว่าบ้านพวกท่านมีคนป่วย เงินตอบแทนค่ารักษาก็มากมาย ดังนั้นข้าจึงจะมาลองรักษาดู”