องค์จักรพรรดิกล่าวว่า“ได้ยินมาว่าระหว่างเดินทางพวกเจ้าได้พบการลอบสังหารอยู่หลายครั้ง บัณฑิตเป็นขุนนาง จิ้งเสียนเป็นองค์หญิง แล้วหลบซ่อนกันอย่างไรหรือ?”
พระองค์ส่งนักดาบหลวงออกไปสองครา ทั้งหมดล้วนไปแล้วไม่กลับมา และซูเจ๋อกับเฉินเสียนเป็นผู้ที่มีแรงน้อยขนาดแรงมัดไก่ยังไม่มีเลย เหตุใดจนถึงตอนนี้ยังปลอดภัยไร้การถูกทำร้ายเล่า
นี่เป็นสิ่งที่องค์จักรพรรดิไม่เข้าใจเลย
เฮ่อโยวสีหน้าปกติ กล่าวว่า “พวกกระหม่อมพบเจอการลอบสังหารทั้งหมดสามครั้งพ่ะย่ะค่ะ ครั้งแรกระหว่างเร่งเดินทางไปเขตชายแดน เพื่อที่จะช่วยพวกกระหม่อมกลุ่มทหารคุ้มกันทั้งหมดแพ้ย่อยยับ ทำให้พวกกระหม่อมหนีรอดพ้นพ่ะย่ะค่ะ ครั้งที่สองบริเวณใกล้กับราชนิเวศน์ของเย่เหลียง เวลานั้นสถานการณ์ตกอยู่ในอันตราย โชคดีที่องครักษ์หลวงของเย่เหลียงมาทันเวลา ถึงได้สังหารนักฆ่าจนหมด ครั้งที่สามระหว่างเดินทางกลับมาตอนใกล้จะถึงเมืองหลวง เกี้ยวของพวกกระหม่อมตกแต่งหลอกตานักฆ่า เวลาต่อมาไปหลบในภูเขาสองวัน ถึงได้พอถูๆไถๆหลบได้พ่ะย่ะค่ะ เวลานั้นองค์หญิงจิ้งเสียนพลัดจากกัน สุดท้ายเป็นองค์หญิงที่กลับมาเมืองหลวงก่อนเพียงลำพัง”
องค์จักรพรรดิไตร่ตรองเป็นเวลานาน พอฟังแล้วคล้ายดั่งไม่มีความผิดปกติอันใด แววตามาดร้ายต้องการฆ่า กล่าวขึ้นว่า“เช่นนั้นบัณฑิตล่ะ ผลสุดท้ายแล้วเหตุใดถึงได้นำสามคูเมืองไปเป็นเงื่อนไขแลกเปลี่ยนเจรจาสันติภาพกับเย่เหลียงได้สำเร็จ?”
เฮ่อโยวกล่าวว่า “ตอนที่กองทัพต้าฉู่กับเย่เหลียงตั้งค่ายสู้กัน บัณฑิตลากองค์หญิงจิ้งเสียนไปจนกระทั่งถึงหน้าสนามรบ ใช้ผลประโยชน์จากฐานะขององค์หญิงมาเป็นโอกาสในการเจรจาสันติภาพ ต่อมาถึงราชนิเวศน์ของเย่เหลียง บัณฑิตใช้ผลประโยชน์จากฐานะขององค์หญิงเช่นเดิม ประจวบเหมาะกับที่เป่ยเซี่ยให้ความสำคัญกับจดหมายขององค์หญิง เย่เหลียงก็เลยไม่กล้าหุนหันพลันแล่น บวกกับเย่เหลียงไม่เหมาะแก่การทำสงครามนาน ด้วยเหตุนี้ตอนท้ายถึงได้ฝืนใจยอมรับเงื่อนไขเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิเคยคิดว่าจะสังหารจิ้งเสียนในเขตแดนเย่เหลียง วางแผนใช้ชีวิตจิ้งเสียนมาแลกเปลี่ยน เป็นผลของการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว แต่ทว่าคาดไม่ถึงว่าซูเจ๋อจะใช้ประโยชน์ตรงจุดนี้ มาบรรลุผลการเจรจาสันติภาพ
พระองค์ดูแคลนซูเจ๋อเกินไปแล้วเสียจริง
องค์จักรพรรดิมองไปทางเฮ่อโยวแล้วกล่าวว่า “เจ้าทำดีมาก”
เฮ่อโยวคารวะทันที แล้วกล่าวขึ้นว่า“สามารถเป็นม้ารับใช้องค์จักรพรรดิ เป็นสิ่งที่ราษฎรผู้ต่ำต้อยควรจะทำพ่ะย่ะค่ะ เวลานี้ราษฎรผู้ต่ำต้อยได้รับความไว้วางใจขององค์หญิงจิ้งเสียนและบัณฑิตแล้ว เพียงแค่องค์จักรพรรดิรับสั่ง ราษฎรผู้ต่ำต้อยนี้จะพยายามอย่างสุดความสามารถ ตายหมื่นครั้งก็ไม่ถอยพ่ะย่ะค่ะ!”
ท้องพระโรงมีเสียงสะท้อนกลับคำพูดของเฮ่อโยว สั่นสะเทือนกินใจคนเป็นอย่างมาก
องค์จักรพรรดิหัวเราะแล้วกล่าวขึ้นว่า “เฮ่อเซียงมีลูกชายอายุน้อยสองคนเช่นนี้ วาสนาดีเสียจริง ข้าจำได้เมื่อก่อน คุณชายเฮ่อเป็นคนกินเล่นเที่ยวไปวันๆ ไม่ร่ำเรียน เหตุใดตอนนี้ต้องการมาตอบแทนบุญคุณข้าเล่า?”
เฮ่อโยวกัดแก้มแน่น กล่าวขึ้นว่า“เพราะว่าราษฎรผู้ต่ำต้อยต้องการให้ตำแหน่งขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะว่าท่านพ่อของราษฎรผู้ต่ำต้อยเฮ่อเซียงดูถูกไว้ ราษฎรผู้ต่ำต้อยผู้นี้ถึงอยากจะให้เขาใช้สายตาอีกมุมหันมอง พี่ใหญ่ทำได้ราษฎรผู้ต่ำต้อยก็ทำได้แน่นอน และต้องมีสักวันหนึ่งที่จะต้องทำได้ดีกว่าพี่ใหญ่! ”
องค์จักรพรรดิหัวเราะเสียงดังลั่น กล่าวขึ้นว่า “ดีที่อยากจะมีตำแหน่งขึ้นอย่างรวดเร็ว เจ้าซื่อสัตย์จริงใจ หากคนหนึ่งในใจไม่มีความทะเยอทะยานอันร้อนแรง สุดท้ายก็ยากที่จะสำเร็จเรื่องใหญ่หลวง ข้าก็อยากจะดู สรุปว่าเจ้าเก่งกาจ หรือว่าพี่ใหญ่ของเจ้าเก่งกาจ ต่อไปอยู่ต่อหน้าข้า เจ้าไม่ต้องกล่าวอ้างเรียกตัวเองว่าเป็นราษฎรผู้ต่ำต้อยแล้ว ครั้งนี้ทางใต้กับเย่เหลียงเจรจาต่อรองกัน เจ้าเป็นรองท่านทูตมีผลงานที่ยิ่งใหญ่ ตอนนี้ฝ่ายพิธีการยังมีหนึ่งตำแหน่งที่ว่าง พรุ่งนี้เจ้าไปรายงานตัวที่ฝ่ายพิธีการ ดำรงตำแหน่งรองขุนนางขั้นสี่ ”
เฮ่อโยวรีบทำความเคารพทันที กล่าวขึ้นว่า“กระหม่อมขอบพระทัยองค์จักรพรรดิผู้มีพระคุณพ่ะย่ะค่ะ”
“ออกไปเถิด วันนี้พระราชโองการจะส่งไปที่จวนอัครเสนาบดี”
เฮ่อโยวลุกขึ้นยืนอย่างเคารพนอบน้อม ประสานมือคารวะแล้วถอยหลัง ถอยจนถึงประตูท้องพระโรง หมุนตัวอย่างระมัดระวังแล้วออกไป
องค์จักรพรรดิหรี่ตา ราวกับว่าลูกชายของเฮ่อเซียงทั้งสองคนสามารถทำงานเพื่อพระองค์ได้ทุกอย่าง ก็ยังพอนับได้ว่าเป็นเรื่องที่ดีหนึ่งเรื่อง
องค์จักรพรรดิกล่าวกับกงกงที่ใกล้ชิดว่า“เจ้าว่า เขาพูดสิ่งเหล่านี้ กี่ส่วนที่เป็นจริงและกี่ส่วนที่เป็นเท็จ?”
กงกงกล่าวตอบอย่างเคารพนอบน้อมว่า “สิ่งนี้กระหม่อมไม่กล้าที่จะบุ่มบ่ามตัดสินชี้ขาดพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิหัวเราะอย่างเยือกเย็น กล่าวว่า “จริงหรือเท็จ พอลองดูก็รู้แล้ว”
ทันทีหลังจากนั้นองค์จักรพรรดิก็พานางกำนัลออกไปจากท้องพระโรง
เจ้าน่องน้อยถูกจัดให้อยู่ในพระราชอุทยานแห่งหนึ่งที่โดดเดี่ยว คล้ายกับมีการส่งนางกำนัลที่เกี่ยวข้องมาดูแล
เจ้าน่องน้อยสุขภาพไม่ดี ยาหม้อเข้ามาไม่ขาดสาย เขาสามารถดื่มลงไปได้น้อยมาก ระหว่างทางได้ยินนางกำนัลคุยกัน เฉินเสียนก็หัวใจบีบรัดแน่นแล้ว
โชคดีที่ทำให้เฉินเสียนทอดถอนหายใจอย่างเงียบๆคือ แม้ว่าเจ้าน่องน้อยจะสุขภาพไม่ดี แต่ยังไม่ถึงขั้นมีพระราชโองการบอกว่าป่วยหนัก
แต่เธอยังมีความตื่นตระหนกกังวลทั้งหมดอยู่บนใบหน้า ระหว่างทางร้องไห้อย่างหนักหน่วง
ฉินหรูเหลียงปลอบใจนางด้วยการกุมมือ แล้วกล่าวว่า “ท่านไม่ต้องเป็นกังวลมาก ผู้คนมากมายใส่ใจดูแลอย่างดี เขาไม่เป็นอะไรหรอก”
ถึงพระราชอุทยาน เจ้าน่องน้อยอยู่ในห้อง เมื่อครู่มีนางกำนัลกำลังยกยาหม้อมาเพื่อเตรียมป้อนเขา
แต่เขาเป็นคนที่ดื้อรั้น ไม่ร้องโวยวาย แต่ทว่าไม่ยอมอ้าปาก ตอนที่นางกำนัลแต่ละคนป้อนยา เปลืองแรงอยู่มากโข
เฉินเสียนยืนอยู่หน้าประตูห้อง หยุดชะงักฝีเท้า ร่างกายหยุดนิ่งที่หน้าประตู
เธอหลุบตาขึ้นเห็นเด็กน้อยที่โอนอ่อนนั่งอยู่บนเตียงนอน ใบหน้าขาวผ่องนุ่มนิ่ม ดวงตาดำขลับคู่นั้นที่ฝักลึกยาวเรียวและเล็กแต่ทว่าสวยงามเป็นพิเศษ
เขาสวมใส่ชุดสีสันสวยงาม ห่อหุ้มจนอบอุ่นและหนา อายุน้อย สีหน้าท่าทางดื้อรั้นราวกับคนเย็นชา
นางกำนัลที่อยู่ด้านข้างเกลี้ยกล่อมอยู่พักหนึ่ง เขาถึงได้ยอมอ้าปากฝืนใจดื่มยาหนึ่งคำ
ยาหม้อมีรสขม ขอเพียงแต่เขากลืนลงไป เขาก็ไม่มีทางร้องไห้ออกมาเลย
นานมากที่ไม่ได้เจอ เจ้าน่องน้อยของเธอเติบโตแล้ว และก็สูงด้วย
เฉินเสียนยืนอยู่หน้าประตูราวกับร่างกายถูกสาป นานมากที่ก้าวไปข้างหน้าไม่ได้
ตอนที่เธอเห็นเจ้าน่องน้อย อดไม่ได้ที่ดวงตาจะแดงก่ำ ความรู้สึกตื้นตันใจไหลล้นขึ้นมาจากคอ เทียบไม่ได้กับที่เธอร้องไห้อยู่ที่ท้องพระโรงอย่างกำเริบเสิบสานไม่เกรงกลัว เพราะครั้งนี้ถือเป็นการอดกลั้นที่ไม่ได้แสดงมันออกมาอย่างแท้จริง
เจ้าน่องน้อยเงยหน้าขึ้นเงียบๆ ดวงตาที่แบ่งแยกความผิดถูกได้อย่างชัดเจนมองเฉินเสียน
ท่าทางแสดงออกของเขาตั้งแต่ต้นจบจบไร้การเปลี่ยนแปลง งดงามราวกับตุ๊กตาเครื่องปั้นดินเผา
เฉินเสียนจำวันนั้นได้วันที่เธอเดินทางไป เจ้าน่องน้อยร้องไห้อยู่ด้านหลังเธออย่างหนักหน่วง เธอเด็ดเดี่ยวไม่แม้แต่หันมองเขาเลย และวันนี้ผ่านไปครึ่งปีแล้ว เจ้าเด็กน้อยนี่ยังจำได้ไหมว่าเธอคือท่านแม่ของเขา?
เจ้าน่องน้อยราวกับไม่มีการตอบสนองเฉินเสียนเลยแม้แต่น้อย แต่ปากเล็กๆเม้มช้าๆ แววตาที่แยกออกถูกผิดก็มีความชื้นแทรกซึม
เขานิ่งเหมือนเดิม แต่ทว่าเล่นแง่อยู่
ต่อมานางกำนัลป้อนยา ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ยอมกิน
นางกำนัลที่นำทางมากล่าวขึ้นทันทีว่า“องค์หญิงจิ้งเสียนเสด็จมาแล้ว”
นางกำนัลที่ป้อนยาได้วางยาลงแล้วลุกขึ้นทำความเคารพ หลังจากนั้นถอยไปอีกด้าน
น้ำเสียงของฉินหรูเหลียงแผ่วเบาอย่างไม่ตั้งใจ กล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าอยากมาดูเขาหรือ ตอนนี้มาถึงหน้าประตูแล้ว แต่ทว่าเหตุใดไม่เข้าไปเล่า?”
เวลานี้เฉินเสียนเลยได้ยกฝีเท้าก้าวเข้าไป นั่งลงข้างเตียงของเจ้าน่องน้อยอย่างช้าๆ
ตอนที่เธอเอื้อมมือไปลูบเจ้าน่องน้อย เขาหลบบ้างเล็กน้อย เพียงแต่หลบไม่พ้น เขาถูกเฉินเสียนจับได้ กอดไว้ในอ้อมอก
เวลานั้นเธอรู้สึกเปล่งประกายอีกครั้งอย่างแปลกประหลาด ราวกับทำให้เธอเพลิดเพลินเหมือนบ้าคลั่ง
ถึงอย่างไรวันนี้เฉินเสียนร้องไห้จนมากพอแล้ว เธอถือโอกาสให้ตัวเองร้องไห้ออกมาเสียเลย โอบกอดร่างกายนุ่มนิ่มไว้ ลูบอย่างบางเบาที่ผมของเขา แล้วร่ำไห้อยู่ตลอดเวลา
เธอร่ำไห้จนเจ้าน่องน้อยกระวนกระวายใจ
ราวกับเมื่อก่อนท่านแม่ของเขาไม่เคยกอดเขาแล้วร่ำไห้เช่นนี้เลย