เสียงของเธอที่ดังขึ้นและขาดหายไปเป็นบางครั้งบางคราว ที่เหมือนกับกำลังพูดพึมพำ : “ซูเจ๋อ……”
ซูเจ๋อที่หลับตานิ่งสงบ เขาชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น หันไปมองเฉินเสียนเงียบๆ
ฉินหรูเหลียงเองก็ได้ยิน เขาลืมตาขึ้นมาดู และค่อนข้างเสียความรู้สึก
อาจจะเป็นเพราะเฉินเสียนรู้สึกหนาว เธอจึงนอนขดตัวกลม
ซูเจ๋อจึงถอดเสื้อคลุมชั้นนอกของตัวเองออก เพื่อจะนำไปห่มบนตัวเฉินเสียน
จู่ๆ ฉินหรูเหลียงก็พูดขึ้นว่า : “รู้สึกว่าเรื่องพวกนี้ไม่จำเป็นต้องถึงมือท่านนะ”
ซูเจ๋อเขี่ยกองไฟอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ถ้าหากข้าให้ท่านทำ ข้าเองก็จะรู้สึกไม่สบายใจ เมื่อครู่นี้ชื่อที่นางเรียกคือชื่อของข้า”
ฉินหรูเหลียงเม้มปาก แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ท่านคงดีใจจนลืมเนื้อลืมตัวสินะ?”
“ท่านว่าใช่ก็ใช่”
ไม่ว่าฉินหรูเหลียงจะพูดอะไร เขาก็ไม่ยอมให้ซูเจ๋อไปห่มเสื้อให้เฉินเสียนอยู่ดี และซูเจ๋อเองก็ไม่ยอมให้ฉินหรูเหลียงไปห่มเสื้อให้เฉินเสียนด้วยเช่นกัน
แต่ก็ไม่ควรทิ้งให้เฉินเสียนนอนหนาวอยู่แบบนี้นี่นา
จากนั้นทั้งคู่ก็เหลือบสายตามองไปยังเฮ่อโยวที่นอนหลับสบายอยู่
เฮ่อโยวที่ถูกหิ้วขึ้นมาก็ตกใจสีหน้าเต็มไปด้วยความมึนงง ซูเจ๋อและฉินหรูเหลียงต่างพากันยัดเสื้อคลุมของตัวเองให้กับเฮ่อโยวพร้อมๆ กัน แล้วสั่งให้เฮ่อโยวเอาไปห่มให้กับเฉินเสียน
ก็แค่ห่มเสื้อ เฮ่อโยวที่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ง่ายมาก จึงไปห่มเสื้อให้กับเฉินเสียนด้วยความสะลึมสะลือ จากนั้นก็สะลึมสะลือกลับมานอนต่อ
พึ่งจะหลับตาลง เฮ่อโยวถึงเพิ่งรู้สึกตาสว่างขึ้นมาจริงๆ เขาจึงพูดขึ้นว่า : “หา? ทำไมถึงให้ข้าไปทำ? พวกท่านทั้งสองไม่มีมือไม่มีขาหรอกหรือ?”
ฉินหรูเหลียงจึงพูดขึ้นว่า : “เจ้าทำก็ทำไปแล้ว จะมาพูดพร่ำทำไม”
เฮ่อโยวพูดขึ้นด้วยความอัดอั้นตันใจ : “สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดก็คือการที่ถูกคนอื่นใช้ไปทำโน่นทำนี่ในตอนที่ข้ายังไม่ได้สติ”
พึ่งจะพูดเสร็จเพียงครู่เดียว ข้างนอกที่เงียบสงบนั่น จู่ๆ ก็มีเสียงอะไรบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวดังขึ้นอย่างไม่ชอบมาพากล
เสียงนั่นดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ และดูเหมือนว่ากำลังตรงมาทางนี้
ซูเจ๋อและฉินหรูเหลียงต่างก็พากันหยุดชะงัก สีหน้าเข้มขรึมขึ้นมาทันที
ซูเจ๋อหรี่นัยน์ตาที่เรียวยาวนั่นลง ลมหายใจที่อบอุ่นจู่ๆ ก็เย็นลงฉับพลัน ในขณะที่เฮ่อโยวกำลังจะบ่นพวกเขาทั้งคู่ ซูเจ๋อก็ยกนิ้วชี้ขึ้นมาทาบปาก เพื่อจะแสดงสัญลักษณ์ให้เฮ่อโยวเงียบปากก่อน
ถึงแม้ว่าระดับความเฉียบแหลมและความว่องไวต่อสัมผัสของเฮ่อโยวจะเทียบไม่ได้กับฉินหรูเหลียงและซูเจ๋อ แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศไม่ชอบมาพากล
เขารีบเงียบปาก ในใจหนักหน่วงขึ้นมาทันที
เมื่อทุกคนเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ฉินหรูเหลียงพูดขึ้นเสียงเบาว่า : “มากันแล้ว”
ในขณะที่พูดคำนี้ออกมา ซูเจ๋อเองก็เริ่มดับไฟ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “แยกกันออกเดินทางไปทางหลังเขา”
“เฉินเสียนล่ะ?” ฉินหรูเหลียงเม้มปากแล้วถามขึ้น
ซูเจ๋อพูดขึ้นว่า : “เฉินเสียนไปกับข้า”
ฉินหรูเหลียงที่รู้สึกไม่พอใจ แต่ก็เหมือนกับรอบก่อนตามเคย ไร้ซึ่งทางให้เลือก
เฮ่อโยวจึงพูดขึ้นว่า : “ให้เฉินเสียนไปกับท่านบัณฑิตเถอะ แบบนี้จะปลอดภัยกว่า”
ก่อนไฟจะดับลง เฉินเสียนเองได้ตื่นขึ้นมาแล้ว เธอนั่งอยู่ในมุมมุมหนึ่ง ดวงตาคู่นั้นของเธอทอดมองไปยังแสงที่กระทบโดนหิมะข้างนอกนั่น สว่างรำไรจนรู้สึกตัวมากยิ่งขึ้น
เธอไม่ได้พูดอะไรออกมา
เธอไปกับซูเจ๋อ ไม่เพียงแต่จะทำให้เธอและซูเจ๋อปลอดภัย แต่แบบนี้ยังจะทำให้ฉินหรูเหลียงและเฮ่อโยวปลอดภัยขึ้นมากกว่าเดิมอีกด้วย
คนที่องค์จักรพรรดิแห่งต้าฉู่อยากจะกำจัดทิ้งมากที่สุดก็คือเธอและซูเจ๋อ หากแยกกันเดินทางกับฉินหรูเหลียงและเฮ่อโยว จะทำให้พวกเขาไม่เป็นเป้าหมาย
และก่อนที่คนพวกนั้นจะมาถึง ฉินหรูเหลียงและเฮ่อโยวก็ได้ออกเดินทางไปยังทิศทางหลังเขาทันที ซูเจ๋อเองก็ได้รีบจูงมือของเฉินเสียนแล้วออกเดินทางไปยังทางหลังเขาโดยทันที
ขณะที่แยกทางกัน เฉินเสียนเองที่ไม่วายจะเป็นห่วง จึงรีบพูดขึ้นว่า : “เฮ่อโยว หากต้องเผชิญหน้ากับพวกเขาจริงๆ จำไว้ว่าต้องหนีอ้อมกลับไป อย่าไปแข็งสู้กับพวกเขา ชีวิตสำคัญที่สุดเข้าใจหรือเปล่า!”
ตอนนี้ทั้งเฮ่อโยวและฉินหรูเหลียงไม่ใช่คู่ปรับของพวกมันทั้งคู่ พวกเขาทำได้แค่หนีและหลบหลีกเท่านั้น
เฮ่อโยวพยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ข้ารู้แล้ว”
ฉินหรูเหลียงหันกลับไปมองเฉินเสียนด้วยแววตาที่ลุ่มลึกอีกครั้ง เขาเม้มปากพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “เฉินเสียน ระวังตัวให้มากที่สุด!”
เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “หากทุกคนยังปลอดภัยดี ก็กลับมาเจอกันที่บ้านไม้ตีนเขาแห่งนี้”
พูดจบ ฉินหรูเหลียงและเฮ่อโยวก็ได้วิ่งไปยังอีกทิศทางหนึ่ง ส่วนเฉินเสียนและซูเจ๋อเองก็ได้วิ่งไปอีกเส้นทางหนึ่งเช่นกัน
เมื่อคนกลุ่มนั้นไปถึงกระท่อมไม้หลังนั้น พวกเขาก็เห็นว่าไฟที่เพิ่งถูกดับไปยังมีความร้อนหลงเหลืออยู่ จึงรีบตามขึ้นเขาไปทันที
คนที่สามารถตามมาจนถึงที่แห่งนี้ได้ ถือว่าฝีมือไม่ธรรมดาแล้ว
เฉินเสียนจู่ๆ ก็นึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งก่อน ตอนที่ถูกซุ่มโจมตีที่อาณาจักรเย่เหลียงในครั้งนั้น หากคนกลุ่มนี้เป็นเหมือนครั้งที่แล้ว ที่แต่ละคนต่างก็เป็นนักฆ่าฝีมือแกร่งกล้าจากวังหลวง และหากเธอและซูเจ๋อต้องปะทะกับพวกเขาจริงๆ ก็คงจะกินแรงเป็นอย่างมาก
ทางขึ้นเขาเดินทางค่อนข้างลำบาก ในป่าที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะในช่วงกลางวันที่ผ่านมา
เมื่อเข้าสู่ป่าแล้ว รอบๆ ก็เต็มไปด้วยความมืดสนิท จนไม่สามารถมองเห็นด้วยซ้ำไป
เธอทำได้แค่เพียงตามซูเจ๋อไป วิ่งโดยที่ไม่รู้ทิศทางเลยแม้แต่นิดเดียว
เฉินเสียนเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เหยียบย่ำบนหิมะตามมาจากทางด้านหลัง
ไม่รู้ว่าถึงที่ไหนแล้ว จู่ๆ ซูเจ๋อก็ชะงักฝีเท้าลง
เฉินเสียนชนแผ่นหลังของเขาเข้าอย่างจัง
ซูเจ๋อหันกลับมาพูดกับเธอว่า : “อาเสียน ท่านหลบอยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะล่อพวกมันไปทางอื่น”
ที่ซูเจ๋อจู่ๆ ก็หยุดลง เพราะเขาเจอเข้ากับถ้ำถ้ำหนึ่ง ปากถ้ำถูกปกคลุมไปด้วยกิ่งไม้และต้นหญ้าที่ตายแล้ว บนกิ่งไม้ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะอีกที ซึ่งไม่สามารถสังเกตเห็นได้ง่ายๆ
และเขาเองก็ค่อนข้างมีความคุ้นเคยกับป่าบนเขานี้เป็นอย่างดี
เมื่อก่อนที่แห่งนี้ก็ถูกใช้เพื่อหลบหลีกหนีศัตรู ตอนนี้เวลาผ่านไปนานมากแล้ว ถ้ำแห่งนี้ก็ยังคงอยู่
ไม่รอให้เฉินเสียนได้โต้ตอบอะไร ซูเจ๋อก็ดึงเฉินเสียนตรงไปยังถ้ำแห่งนั้น
ในถ้ำถึงแม้ว่าอากาศจะค่อนข้างหนาวเย็น แต่รอบๆ เป็นหินทั้งหมด จึงค่อนข้างสะอาด
ซูเจ๋อพูดขึ้นว่า : “ท่านรอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจัดการพวกมันเสร็จแล้ว จะกลับมาหาท่าน อาเสียน ห้ามไปไหนอย่างเด็ดขาด ข้าจะกลับมาโดยเร็ว”
ในถ้ำมืดสนิท เฉินเสียนมองไม่เห็นใบหน้าของเขา และไม่อาจมองเห็นสีหน้าของเขาด้วย
แต่เสียงคำพูดของเขานั้น ถูกขยายดังก้องอยู่ในถ้ำ เต็มไปด้วยความอบอุ่นและความรู้สึกปลอดภัย
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็โน้มตัวลงมาหาริมฝีปากของเฉินเสียน จูบประทับแผ่วเบา ราวกับแมลงปอเล่นน้ำก็ไม่ปาน ที่เพียงเดี๋ยวเดียวก็จากไปอย่างรวดเร็ว เขาพูดขึ้นอีกครั้งว่า : “รอข้า”
พูดจบ เขาก็หมุนตัวแล้วเดินจากไปทันที
แต่ชายเสื้อกลับหนักหน่วง
ซูเจ๋อหันกลับไปดู จึงเห็นว่าเฉินเสียนกำลังจับชายเสื้อของเขาอยู่
เธอพูดขึ้นเสียงเบาว่า : “แค่นี้หรือ ท่านคิดจะทิ้งข้าไปหรือ?”
“ข้าจะกลับมาอย่างแน่นอน”
“หากท่านไม่กลับมาล่ะจะทำยังไง?” เฉินเสียนถามขึ้น
ซูเจ๋อจึงตอบกลับไปว่า : “ขอเพียงแค่รู้ว่าท่านปลอดภัยดี ข้าจึงจะไร้ซึ่งความกังวลและความกลัวใดๆ ข้าไม่ตายหรอก ข้ายังใช้ชีวิตไม่พอเลย”
เฉินเสียนสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วจึงค่อยๆ คลายมือออก พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ข้ารู้แล้ว ท่านให้ข้ารอ ข้าก็จะรอ หากข้าติดตามท่านไปด้วย จะเกะกะขวางทางและเป็นภาระท่านเสียเปล่า ซูเจ๋อ ท่านไปเถอะ ข้าจะอยู่ที่นี่ ไม่ไปไหนทั้งนั้น”
คนกลุ่มนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หากล่าช้ากว่านี้แม้แต่นิดเดียวก็จะไม่ทันกาล ดังนั้นซูเจ๋อจึงหันหน้ากลับไปแล้วออกจากถ้ำไปในทันที
เขาได้ขยับต้นไม้ที่ตายแล้วมาปิดอำพรางปากถ้ำอีกที เมื่อออกมาข้างนอกแล้ว เขาก็สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แล้วเหยียบขาทั้งสองข้างลงบนต้นไม้ เพื่อเขย่าหิมะที่อยู่บนต้นไม้ให้ร่วงหล่นลงมาปกปิดรอยเท้าในที่แห่งนี้
ซูเจ๋อเหลือบตามองไปยังปากถ้ำอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังอีกทิศทางทันที
เขาตั้งใจผ่อนฝีเท้าลง เพื่อดึงดูดความสนใจให้คนพวกนั้นไล่ตามเขามา
เฉินเสียนยืนอยู่ในถ้ำเนื้อตัวเย็นเฉียบ มือของเธอกำแน่นในแขนเสื้อนั่น ฟังเสียงฝีเท้าที่วุ่นวายค่อยๆ ไกลออกไปเรื่อยๆ จนเปลี่ยนทิศทางไปทางอื่น
ซูเจ๋อไม่อยากให้เธอได้รับอันตรายใดๆ แต่เธอเองก็ไม่ได้อยากจะให้ซูเจ๋อได้รับความอันตรายเช่นกันนี่นา