เฉินเสียนนั่งอยู่ด้านในตรงมุม มือทั้งสองข้างโอบกอดเข่า เม้มริมฝีปากแน่นดึงดันไม่ตอบรับเขา
ซูเจ๋อรออยู่สักพักหนึ่ง ถึงได้กล่าวอยู่บริเวณผ้าม่านกับเธอว่า“ไม่ง่ายที่จะก้าวเดินมาถึงวันนี้ ข้าจะให้ท่านทอดทิ้งอาณาประชาราษฎร์ไม่สนใจได้เยี่ยงไรกันเล่า ท่านน่าจะรู้จักข้านะ”
เฉินเสียนรู้ เธอรู้มาโดยตลอด
เพียงแต่ยังคงพูดคำเหล่านั้น
เฉินเสียนกัดหลังมือไม่ได้มีเสียงต่อต้านเลย
“ในขณะนี้ภารกิจเร่งรีบต้องจัดการ ต้องนำอาณาประชาราษฎร์เข้าไปในเมืองจัดหาที่พักให้เรียบร้อย ในเมื่อไม่สามารถใช้อำนาจบีบบังคับจากด้านนอกเข้าไปในเมืองได้ ก็ทำได้เพียงให้ด้านในเปิดประตูเมืองออกมา พรุ่งนี้ข้าจะพูดคุยกับผู้ลี้ภัยให้เข้าใจอย่างชัดเจน ให้พวกเขารอไม่กี่วัน ประตูเมืองนี้จะต้องเปิดให้พวกเขา”
“พรุ่งนี้ท่านพาเฮ่อโยวกับฉินหรูเหลียงพวกเขาเข้าไปในเมืองนะ ข้าอยู่รักษาการณ์ด้านนอกเมือง สามารถปลอบขวัญผู้ลี้ภัยได้”
เฉินเสียนตื่นตระหนก ทนไม่ไหวที่จะอุตลุดไม่สบอารมณ์แล้ว กล่าวถามขึ้นว่า“ท่านจะอยู่?”
น้ำเสียงของซูเจ๋อแผ่วเบาราวกับทอดถอนหายใจ กล่าวขึ้นว่า“ใช่สิ ข้าต้องอยู่ ครั้งนี้เขื่อนหนานเจียงซัดพังพันลี้ ฝ่ายชลประทานอาจจะขาดตกบกพร่องจริง หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำตกเป็นที่ต้องสงสัยการเบียดบังผลประโยชน์ใส่ตัว หลังจากเข้าเมืองแล้ว ท่านสามารถลงมือทางนี้ได้”
เขาอธิบายอย่างละเอียดอีกว่า“ในเมืองมีใต้เท้าท่านหนึ่งใต้เท้าเจิ้ง เจิ้งเหรินโฮ้ว เป็นขุนนางที่ดี รับผิดชอบควบคุมและเร่งรัดฝ่ายชลประทาน เขาทางด้านนั้นมีสมุดบัญชีบางอย่างที่ไม่เหมาะจะถูกเปิดเผยอยู่”
เพื่อที่จะไม่ได้เกิดเรื่องไม่คาดคิด อาจจะให้หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำล่วงหน้าไปก่อน ค่อยนำสมุดบัญชีนั้นมีเปิดเผยต่อสาธารณะชน ทันทีหลังจากนั้นใช้นามองค์หญิงของท่านเปิดประตูเมืองออก จัดการหาที่พักผู้อพยพให้เรียบร้อย
“ตามที่ข้ารู้มาทั้งหมด หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำของเจียงหนานเป็นขุนนางที่กินสินบนอย่างแท้จริง อาเสียน ท่านรู้ว่าควรจะจัดการอย่างไรหรือไม่? ”ซูเจ๋อถาม
แน่นอนว่าเฉินเสียนรู้
ตั้งแต่หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำกล้าเผชิญหน้าเธอ ใช้มือธนูข่มขู่ผู้ลี้ภัย เธอก็รู้แล้วว่าเขาไม่ใช่ขุนนางที่ดี
จัดการรับมือกับขุนนางกินสินบนน่ารังเกียจนี้ โดยปกติเธอไม่มีทางใจอ่อน
ครู่ใหญ่ๆ เฉินเสียนถึงกล่าวขึ้นว่า“แล้วท่านล่ะ ต้องการรอหลังจากข้าเปิดประตูเมืองได้แล้วถึงจะเข้ามาใช่หรือไม่?”
“ตามสถานการณ์ในเวลานี้ ก็มีเพียงเช่นนี้แล้ว”
เธอได้ยินตัวเองถามอย่างรวดเร็ว“หากว่าข้าทำไม่สำเร็จล่ะ ล่าช้าไม่เปิดประตูเมือง ผู้ลี้ภัยด้านนอกเมืองเข้าตาจนไม่มีทางไป ต้องการเอาท่านมาประหารชีวิตจะทำอย่างไร?”
ซูเจ๋อกล่าวขึ้นว่า“ข้าเชื่อใจท่าน ไม่มีทางทอดทิ้งพวกเขาหรอก และก็ไม่มีทางพลั้งปากพูดต่อพวกเขาด้วย”
เขาเชื่อทั้งหมด และก็เพียงแค่หัวใจดวงนั้นที่เฉินเสียนปฏิบัติต่อคนธรรมดาอาณาประชาราษฎร์
เห็นชัดเจนว่าเธอรักเหล่าอาณาประชาราษฎร์ เป็นเขาที่ฝึกอบรมกับปั้นขึ้นมาทีละก้าวๆ แต่ถึงอย่างไรเขาก็มีความจิตตกหดหู่
ความรู้สึกอย่างนั้น คล้ายกับนำสิ่งที่รักมากมายของตัวเอง สิ่งของที่ใจดวงหนึ่งรักมากต้องการยึดใช้เพียงลำพังและเสพสุขเพียงลำพังตัดแบ่งมันมอบให้กับผู้อื่น
บางทีอาจจะโดยส่วนใหญ่เลย
หลังจากนี้เป็นต้นไป เธอก็มีเหตุผลครั้งหนึ่งที่จะไม่ทำเพื่อเขาอีก
สิ่งนี้สำหรับเขาแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่โหดเหี้ยมไหนเลย
เพียงแต่ความโหดเหี้ยมอย่างนี้ เป็นตัวเขาเองที่ยินยอมสมัครใจยัดมันมาบนตัวของตัวเอง
“ไม่มีทางทอดทิ้งพวกเขา ไม่มีทางพลั้งปากต่อพวกเขา”เฉินเสียนละเมอพูดเสียงแผ่วเบา“หากมีวันหนึ่ง ข้าไม่มีทางเชื่อใจท่านอีกล่ะ จะทำอย่างไร?”
ซูเจ๋อกล่าวอย่างสง่างามว่า“ไม่ทำอย่างไร ข้ายังคงเชื่อใจท่านเหมือนเดิม”
เฉินเสียนพิงกับรถม้า เงยหน้าเล็กน้อย มองไปทางท้องฟ้ามืดมิดที่ว่างเปล่า
นานมากซูเจ๋อรอไม่ไหวให้เธอพูดอีก เคลื่อนไหวฝีเท้า แล้วกล่าวขึ้นว่า“ดึกมากแล้ว ท่านรีบพักผ่อนเถิด ข้าไม่รบกวนแล้วล่ะ”
“ซูเจ๋อ”
ซูเจ๋อหยุดร่างกายไว้นิ่ง
เฉินเสียนกล่าวขึ้นว่า“บางทีขอให้ท่านคิดเพื่อตัวเองบ้าง ได้หรือไม่?”
ซูเจ๋อตอบกลับว่า“ได้ ข้าจะพยายามนะ”
วันต่อมาหลังจากฟ้าสาง เฉินเสียนทำตามที่ซูเจ๋อกล่าวไว้เมื่อคืนนี้ ตั้งใจจะเข้าเมือง และทิ้งคำพูดไว้ให้ผู้ลี้ภัย ให้พวกเขาอยู่ด้านนอกเมืองอดทนรอเธอสามวัน
เธอจะพยายามคิดหาวิธีเปิดประตูเมืองออกอย่างแน่นอน สามารถทำให้ทุกคนเข้าไปได้
สั่งให้ซูเจ๋อรักษาการณ์อยู่ด้านนอกเมือง และฉินหรูเหลียงกับเฮ่อโยวตามเธอเข้าเมืองพร้อมกันด้วย เช่นนี้ทุกคนล้วนแล้วสบายใจ
เพียงแต่ฉินหรูเหลียงกับเฮ่อโยวยากที่จะหลีกเลี่ยงความรู้สึกประหลาดใจ แต่เห็นสีหน้าของซูเจ๋อปกติ คาดว่าน่าจะมีการวางแผนมาดีแล้ว
เมื่อวานตอนดึกดื่นซูเจ๋อยืนพูคุยอยู่ข้างรถม้าของเฉินเสียน ฉินหรูเหลียงกับเฮ่อโยวล้วนมองเห็นแล้ว
แต่การจัดการเยี่ยงนี้ ฉินหรูเหลียงกับเฮ่อโยวมีความรู้สึกว่าชัดเจนไม่ใช่ว่าดีที่สุด
หากว่าเฉินเสียนยืนกรานต้องการเข้าเมือง สั่งให้ซูเจ๋อเข้าไปกับเธอด้วย ถึงจะเหมาะสมที่สุด ซูเจ๋อนับว่าเป็นคนจำนวนหนึ่งในนี้ที่มีความอดทนและมีข้อคิดเห็นที่สุด
คาดว่าเป็นเพราะความสัมพันธ์ของฉินเสียนกับซูเจ๋อช่วงนี้ค่อนข้างมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน เพราะฉะนั้นทั้งสองคนถึงได้แยกกันจัดการภารกิจ สุดท้ายเฉินเสียนถึงได้วางแผนนำผู้ที่ควรจะพาไปด้วยที่สุดอยู่ด้านนอก
ฉินหรูเหลียงเป็นบุคคลแรกที่ไม่เห็นด้วย ขมวดคิ้วมองซูเจ๋อ แล้วกล่าวขึ้นว่า“เขาอยู่ก็ไม่มีวิธีแสดงความสามารถออกมา ไม่ดีเท่ากับให้ข้าอยู่”
เฮ่อโยวกล่าวขึ้นว่า“ข้าก็รู้สึกว่าบัณฑิตเข้าไปกับท่านค่อนข้างดีนะ ไม่ดีเท่ากับให้ข้ากับแม่ทัพฉินอยู่ที่นี่แลกเปลี่ยนกับพวกเขาหรอก ที่นี่ผู้อพยพมากมาย คนคนเดียวไม่แน่นอนว่าจะดูแลได้”
เฉินเสียนคาดไม่ถึงเลยว่าให้ซูเจ๋ออยู่ที่นี่จะได้รับการต่อต้านจากฉินหรูเหลียงกับเฮ่อโยว
ทั้งสองคนนี้ไม่ใช่ว่าทนมองดูซูเจ๋อไม่ได้หรือ
ไม่รอเฉินเสียนตอบตกลงหรือปฏิเสธ ฉินหรูเหลียงกับเฮ่อโยวก็บีบบังคับอยู่ที่นี่ ซูเจ๋อถูกผลักบีบบังคับไปอยู่ข้างกายเฉินเสียน
ฉินหรูเหลียงยังกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“หากท่านไม่ปกป้องนางให้ดี ท่านก็รอยอมรับผิดและขอโทษเถิดนะ”
“อย่างนี้ก็ดี”ซูเจ๋อโฉมหน้าเรียบเฉย กล่าวขึ้นว่า“อาเสียน หากท่านถือสา…..”
เฉินเสียนจับหน้ากล่าวอย่างจริงจังว่า“ข้ารู้ ข้ายังสามารถอดกลั้นอย่างเหมาะสมได้ ภารกิจที่ต้องทำในเวลานี้ ข้าไม่ถึงกับว่าแยกแยะไม่ได้ ไม่มีแบบแผนหรอก!”
ซูเจ๋อทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกระตุกริมฝีปากขึ้น “ข้าก็หมายความว่าเช่นนี้แหละ”
หลังจากรอประกาศผลัดกะกันของทหารคุ้มกันเมืองบนศาลาบนประตูเมืองแล้ว หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำขึ้นมาศาลาบนประตูเมืองด้วยตัวเอง หัวเราะแล้วกล่าวกับเฉินเสียนขึ้นว่า“องค์หญิงจิ้งเสียน เป็นไปตามที่คิดไว้ว่าคิดได้แล้ว อย่างนี้ก็ถูกแล้วไหมล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำไม่สนใจว่าเฉินเสียนจะให้ผู้ใดอยู่นอกเมือง เพียงแค่เธอเข้ามาก็เพียงพอแล้ว
ถึงอย่างไรราชโองการนั้นก็มีเพียงเร่งรีบให้องค์หญิงจิ้งเสียนกลับเมืองหลวง
เฉินเสียนกับซูเจ๋อกล่าวลาผู้ลี้ภัยที่อยู่ด้านนอก ทหารใหม่เหลือไว้ให้ฉินหรูเหลียงควบคุม เธอกับซูเจ๋อก็บุกเดี่ยวเข้าเมือง
ตอนนี้มีท่านแม่ทัพใหญ่กับรองท่านทูตและผู้ลี้ภัยอยู่ด้านนอกเมืองด้วยกัน เหล่าผู้ลี้ภัยเชื่อใจองค์หญิงจิ้งเสียนว่าต้องกลับมาอย่างแน่นอน
หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่แน่นอน อยู่ที่ศาลาบนประตูเมืองมือธนูจี้ไปที่ตัวเรียบร้อยแล้ว เพียงแค่ครั้งนี้ผู้ลี้ภัยไม่ได้วู่วามเหมือนครั้งก่อนแล้ว
จุดมุ่งหมายของพวกเขาคือส่งเฉินเสียนกับซูเจ๋อเข้าเมือง ทันทีหลังจากนั้นประตูเมืองได้ปิดลงอย่างช้าๆ
ภายในเมืองบ้านเรือนขนาดไม่ต่างกันมาก ถนนหนทางกว้างขวางมีระเบียบ ตอนนี้ถึงแม้ว่าจะเงียบเหงาวังเวง แต่ก็ปกคลุมความจริงที่เคยเจริญรุ่งเรืองไม่ได้
ไม่มีพ่อค้าที่เดินทางไปค้าขายต่างถิ่นในเมือง เมืองที่ว่างเปล่า เหตุใดถึงไม่สามารถบรรจุให้ผู้ลี้ภัยเข้ามาพักชั่วคราวได้?
หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำลงมาจากศาลาบนประตูเมือง ลูบที่เสื้อคลุมยาวแล้วเดินมาด้านหน้า
ท้องโตพุงพลุ้ยนั่น ทั้งหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทำให้คนรู้สึกสบายได้ได้เลยเสียจริง
หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำยิ้มตาหยี ทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วพินิจพิเคราะห์เฉินเสียนอย่างละเอียด“นี่ก็เป็นองค์หญิงจิ้งเสียนแล้วล่ะ เดินทางมาอย่างยากลำบาก ตอนนี้นับว่าได้เข้าเมืองแล้ว กระหม่อมคำนับทักทายองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนแสยะริมฝีปาก แล้วกล่าวขึ้นว่า“ข้ามาถึงด้านนอกประตูเมืองนานแล้ว ใต้เท้าไม่ใช่ว่าไม่รู้ เวลานี้เหตุใดต้องพูดคำแสดงความที่เกรงใจเช่นนี้”