ซูเจ๋อพูด “ท่านไม่อยากจะลบร่องรอยที่ทำไว้บนตัวข้า ข้าก็ยิ่งไม่อยากจะลบร่องรอยที่ข้าทำไว้บนตัวท่านเช่นกัน”
เฉินเสียนสะเทือนเบาๆ
ซูเจ๋อพูดอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “เพียงแต่รอยของท่านนี้ มันค่อยๆจางหายไป ไม่สามารถเก็บเอาไว้ได้ตลอด แบบนี้ก็ไม่สะดวกสำหรับท่าน”
ผ่านไปสักครู่ เขาจึงพูดว่า “เสร็จแล้ว ช่วงบ่ายจนถึงช่วงค่ำท่านไม่ต้องกังวลใจ ข้าจะทำให้เฮ่อโยวยุ่งจนไม่มีเวลามาวุ่นวายถามเรื่องนี้กับท่านอีก”
ซูเจ๋อเอายาทาวางไว้ให้ แล้วจึงออกไปโดยไม่มีการหยุดพักเดิน
คิดไม่ถึงว่าฉินหรูเหลียงจะเป็นคนดื้อรั้นมาก ยังคงยืนหยุดอยู่ที่หน้าประตูอยู่ จนเขาเห็นซูเจ๋อเดินออกมา ถึงจะเพิ่งจะเลิกทำ
ตลอดช่วงบ่ายเฮ่อโยวนั้นยุ่งมาก เพราะถูกขุนนางชั้นผู้ใหญ่หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำให้เขาออกไปทะเลสาบกักเก็บน้ำของแม่น้ำเซียงที่อยู่นอกเมือง จนถึงช่วงค่ำเพิ่งจะได้กลับมา
ช่วงค่ำซูเจ๋อก็เป็นคนช่วยเธอทายาอีกรอบ รอเริ่มวันที่สอง พบว่ารอยนั้นจึงค่อยๆจางหายไป ถ้าไม่สังเกตมองดีๆก็จะมองไม่เห็น
เฉินเสียนตั้งใจที่จะเปลี่ยนผ้าพันคอสวยผืนใหม่ เพื่อให้เฮ่อโยวมาเปิดออก
เมื่อเฮ่อโยวมาเปิดออกมอง เห็นแต่ผิวที่ขาวนุ่มนาลของเธอ รอยบาดเจ็บอะไรก็ไม่มี
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น เฉินเสียนสั่งให้ทหารติดตามนำตัวหลิ่วเฉียนเฮ้อออกมาตากแดด
ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างยุ่งกับการจัดการโรคระบาดกันอยู่ แน่นอนว่าไม่มีใครมีเวลามาสนใจเขา
ยาที่ต้มใช้เพื่อป้องกันโรคระบาดเท่านั้น ตามปกติแล้วก็จะมีคนมาส่งให้เขาหนึ่งชุด
หลิ่วเฉียนเฮ้อพักอยู่ในกรงเหล็ก อยู่คนเดียวอย่างกระวนกระวาย
ช่วงเวลานี้ เขาได้ใช้ความสามารถทั้งหมดของร่างกาย อยากจะหนีออกจากกรงเหล็ก แต่ว่าก็ล้มเหลวทุกครั้ง
คิดไม่ถึงว่ากรงเหล็กของเย่เหลียงนั้นจะคุณภาพที่ดีขนาดนี้!
หลิ่วเฉียนเฮ้อไม่มีทางที่จะได้ล้างหน้าบ้วนปาก แล้วก็ไม่ได้แต่งตัวดีอะไร คันไปทั้งตัว ถ้ายังไม่ย้ายออกไปตากแดด อาจจะเกิดเห็บเหาได้
ฉินหรูเหลียงเดินผ่านไป มองเห็นหลิ่วเฉียนเฮ้อเป็นคนที่โปร่งใสคนหนึ่ง
หลิ่วเฉียนเฮ้อส่งสายตามองผ่านผมที่ยุ่งเหยิงไปยังฉินหรูเหลียง แล้วเรียกเขา“ฉินหรูเหลียง ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า”
ถึงแม้หลิ่วเฉียนเฮ้อจะเป็นพี่ชายแท้ๆของหลิ่วเหมยอู่ แต่เมื่อหลายปีผ่านมานี้ฉินหรูเหลียงกับเขานั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน
แต่ว่าฉินหรูเหลียงก็หยุดเดิน
หลิ่วเฉียนเฮ้อพูดออกมาจากใจว่า “ข้าคิดไม่ถึงว่า สุดท้ายเซียนเสวี่ยจะยอมแต่งงานกับเจ้า แต่ข้าก็ต้องขอบคุณเจ้า ที่รับนางกลับเข้าเมืองหลวง เพื่อหลีกหนีจากความยากจนข้นแค้นของชายแดน หลายปีมานี้เซียนเสวี่ยสบายดีไหม?”
สีหน้าของหลิ่วเฉียนเฮ้อนั้นดูอย่างจริงใจ
ฉินหรูเหลียงพูดอย่างใจเย็นว่า “เจ้าวางใจได้ นางสุขสบายดี”
“เซียนเสวี่ยเป็นคนจิตใจดีอ่อนไหวตั้งแต่เด็ก ต้องการคนปกป้อง ครั้งที่แล้วได้ยินเฮ่อโยวบอกว่าเซียนเสวี่ยแอบคบชู้……นั่นต้องถูกคนอื่นใส่ร้ายแน่นอน ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถดูแลนางได้ดี ”
ฉินหรูเหลียงพูด “ข้าดูแลนางด้วยตัวข้าเอง ถึงแม้จะเห็นกับตาตัวเองว่านางทำเรื่องแบบนี้ออกมา ข้าก็ไม่เคยปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรมกับนาง ที่จะไล่นางออกไปจากบ้าน”
เรื่องที่พูดมานั้นสำหรับฉินหรูเหลียงแล้ว มันเป็นช่วงเวลาที่น่าอัปยศอดสู
ก่อนหน้านี้ เขารักหลิ่วเหมยอู่มากๆ ตอนที่ได้เห็นฉากนั้นด้วยตาตัวเอง ไม่มีใครสามารถเข้าใจความรู้สึกทุกข์ใจของเขาได้
เพียงแต่เรื่องนี้มันผ่านมานานมากแล้ว ฉินหรูเหลียงนึกถึงมันขึ้นมาอีกครั้ง ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกรับไม่ได้อะไรขนาดนั้น
เวลาและประสบการณ์ทำให้เขาสามารถเผชิญกับเรื่องที่ผ่านมาได้อย่างไม่หวาดหวั่น
ถึงขนาดที่เขาสามารถพูดถึงมันได้อย่างอารมณ์สงบนิ่งโดยไม่ต้องกลับมาถามตัวเองว่าตัวเองผิดอะไร
เขาปฏิบัติกับหลิ่วเหมยอู่ ดีมากๆจนไม่มีคำบรรยายอะไร แต่ในที่สุดหลิ่วเหมยอู่ก็ทำไม่ดีกับเขาก่อน หักหลังเขาก่อน เขานั้นทำผิดอะไรหรือ?
หลิ่วเฉียนเฮ้อถอนหายใจแล้วพูดว่า “ชั่วชีวิตของนางสามารถหาคนที่สามารถพิงพึงได้แบบเจ้า ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว”
“ก่อนหน้านี้เจ้าอาจไม่ได้คิดอย่างนี้”
“เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว” หลิ่วเฉียนเฮ้อพูด “เพียงแต่เสียดายที่ข้าเป็นคนของตระกูลหลิ่ว ความแค้นของตระกูลหลิ่วนั้นข้าไม่สามารถจะลืมได้ เจ้ากับข้ามีจุดยืนที่ต่างกัน มิฉะนั้นบางทีเราอาจจะกลายมาเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันก็ได้ ”
หยุดสักครู่หนึ่ง หลิ่วเฉียนเฮ้อก็พูดขึ้นต่อว่า “เซียนเสวี่ยก็เป็นคนในตระกูลหลิ่ว เจ้าฝ่าฝันอันตรายที่จะปกป้องนางมาจนถึงทุกวันนี้ มองแล้ว เจ้าคงจะรักเซียนเสวี่ยจริงๆ เจ้าก็คงอดไม่ได้ที่จะเห็นนางเป็นทุกข์?”
ฉินหรูเหลียงไม่แก้ตัว
เมื่อก่อนเป็นเช่นนั้นจริงๆ
แต่มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่สามารถย้อนกลับไปเป็นเหมือนแต่ก่อนได้แล้ว
หลิ่วเฉียนเฮ้อใช้ช่วงเวลาที่เหล็กกำลังร้อนๆนี้พูดซ้ำต่อว่า “เซียนเสวี่ยมีข้าเป็นพี่ชายแท้ๆของนางคนเดียว นางคงไม่อยากเห็นข้ามีปัญหาอะไร หรือว่าเจ้าอดทนที่จะเห็นนางเฝ้ามองความตายของข้าได้?”
ฉินหรูเหลียงพูด “พูดมาตั้งมากมาย ในที่สุดก็พูดเข้าประเด็นหลัก ”
หลิ่วเฉียนเฮ้อพูดกดเสียงต่ำว่า “ข้าไม่ได้ขอร้องให้เจ้าปล่อยข้า หวังเพียงเจ้าจะให้เข็มกับข้าหนึ่งอัน จะเปิดออกหรือไม่นั้น มันก็เป็นโชคของข้า ข้าสัญญา หลังจากครั้งนี้ข้าจะไม่ปรากฏตัวในเมืองหลวงอีก จะไม่คิดเป็นศัตรูกับเจ้า ฉินหรูเหลียง เหมือนทำเพื่อเซียนเสวี่ย ครั้งนี้เจ้าปล่อยข้าไปได้หรือไม่?”
สีหน้าของฉินหรูเหลียงสงบนิ่งดั่งกับน้ำในสารทฤดู
เขาพูด “เจ้าเคยไปเมืองหลวง?”
สีหน้าของหลิ่วเฉียนเฮ้อนิ่งไปสักครู่ แล้วพูดว่า “ข้าบอกว่าต่อหลังจากนี้ไปข้าจะไม่ไป”
“เจ้าเข้าข้างเย่เหลียง เป็นขโมยขายชาติบ้านเมือง เหล่าทหารของต้าฉู่นับไม่ถ้วนที่ต้องเสียชีวิตไปเพราะการสมรู้ร่วมคิดชั่วๆของเจ้า ข้าจะปล่อยเจ้าไปได้อย่างไร?”
สีหน้าของหลิ่วเฉียนเฮ้อเปลี่ยนไป แล้วพูดว่า “ฉินหรูเหลียง เจ้าเป็นแบบนี้แล้ว ต้าฉู่ให้ประโยชน์อะไรกับเจ้ากันแน่ ถึงเวลานี้เจ้ายังจะถวายตัวรับใช้มันอีก!เจ้าคิดว่าสภาพเจ้าตอนนี้กลับไปแล้วจะยิ่งใหญ่เหมือนแต่ก่อนรึ!”
ฉินหรูเหลียงพูดอย่างใจเย็นว่า “ในทางกลับกัน เจ้าสร้างความสำเร็จความยิ่งใหญ่อยู่ในเย่เหลียง กี่ครั้งที่เจ้ามุ่งร้ายดึงดูดให้ข้าไปตายตอนนั้น ทำไมถึงไม่นึกถึงเซียนเสวี่ยรึ?”
“นั่นเป็นเพราะข้าถูกบังคับให้ทำ!”
“จนถึงทุกวันนี้เจ้ายังเป็นนักโทษของราชสำนักอยู่ ถ้าเกิดข้าปล่อยเจ้าไป ข้าก็จะโดนลงอาญา เจ้าก็จะปฏิบัติตัวทำเหมือนว่าข้าถูกบังคับ”
พูดจบ ฉินหรูเหลียงก็เดินผ่านหลิ่วเฉียนเฮ้อไปอย่างไม่รีบร้อน หลิ่วเฉียนเฮ้อสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง อดไม่ได้ที่จะตะโกนด่าออกมา
เสียงด่าว่าของเขาทำให้ดึงดูดเฉินเสียนมา ขณะนั้นเฉินเสียนก็ค่อยเดินมายังที่แสงแดดส่งไปถึง ชำเลืองมองไปที่หลิ่วเฉียนเฮ้อแล้วพูดว่า “ขอร้องให้ไว้ชีวิตไม่สำเร็จ อับอายจนโกรธเลยรึ?”
หลิ่วเฉียนเฮ้อจ้องมองไปที่เฉินเสียนอย่างโกรธแค้น ถ้าสายตาของเขาสามารถเปลี่ยนไปเป็นมีดได้ คงจะฟันเฉินเสียนให้ออกมาเป็นชิ้นๆแล้ว
เฉินเสียนนั่งตรงบันไดข้างๆ กรงเหล็กที่ขังเขา แล้วพูดว่า “ลักษณะของท่านแม่ทัพที่เหมือนตายแบบนี้ อย่าพูดถึงเจ้าเป็นพี่ชายของหลิ่วเหมยอู่เลย ถ้าเกิดเป็นพ่อของนางแท้ๆ เขาก็ไม่แน่ว่าจะเห็นแก่ญาติพี่น้องแล้วปล่อยเจ้าออกไป”
หลิ่วเฉียนเฮ้อพูดเยาะเย้ยและถากถางว่า “เหอะ เจ้าเข้าใจเขาดี! เพียงแต่น่าเสียดายที่ในใจของเขาให้เซียนเสวี่ยเป็นที่หนึ่งมาตลอด เจ้ามันก็แค่ผู้หญิงที่ถูกสามีทอดทิ้ง”
เฉินเสียนชำเลืองมอง “เจ้ากับหลิ่วเหมยอู่นี่สมกับเป็นพี่น้องกันจริงๆ รีบอยากหาที่ตายทั้งคู่”
ไม่รู้ว่าเธอไปเอาขวดกระเบื้องออกมาจากไหน มาเล่นอยู่ในมือ ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “คุ้นๆไหม?นี่คือสั่วเซียนโหวมีที่พิษร้ายแรง ไม่มีสีไม่มีกลิ่น เมื่อโดนพิษเข้าไปจางๆต้องใช้เวลารักษาสักระยะ แต่ถ้าโดนพิษอย่างหนักเลือดจะออกจากทวารทั้งเจ็ดทำให้ตายได้ในทันที ใช่หรือไม่?”
ทำไมหลิ่วเฉียนเฮ้อจะไม่คุ้น นั่นคือยาพิษที่เขาพกไว้ใช้ติดตัว
เฉินเสียนพูด “พอดีเลย ก่อนที่จะไปข้าได้ถามท่านแม่ทัพใหญ่ของเย่เหลียงเพื่อทวงเอายาพิษนี้ไว้ ”
หลิ่วเฉียนเฮ้อ ถามเสียงต่ำว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
เฉินเสียนเม้มปากหัวเราะ แล้วพูดว่า “ นอกจากว่าจะรักษาเขาด้วยวิธีของเขาเอง เจ้าทายว่าข้าจะสามารถทำอะไร”
ขณะพูดเฉินเสียนก็ลุกแล้วปัดมุมเสื้อ ไปยืนอยู่ด้านนอกของกรงเหล็กที่ขังหลิ่วเฉียนเฮ้อไว้
หลิ่วเฉียนเฮ้อถอยไปข้างหลัง ตั้งเตรียมตัวอย่างระมัดระวัง
เฉินเสียนพูดเตือนความจำว่า “ถ้าข้าจำไม่ผิด ครั้งที่แล้วหลิ่วเหมยอู่ก็โดนพิษอันนี้ เพียงแต่นางโดนไม่เยอะ รักษาไม่กี่วันก็ดีขึ้น”
“ตอนนั้นฉินหรูเหลียงพยายามหายาแก้พิษให้นางอย่างกับเป็นคนบ้า หมอบอกว่า ถ้าจะถอนพิษสั่วเซียนโหวได้นั้น ต้องใช้ยาตัวหนึ่งที่มาทำยา นั่นก็คือรกมนุษย์”
เฉินเสียนถามเขา “เจ้ารู้เรื่องนี้หรือไม่? ยาที่ใช้ถอนพิษสั่วเซียนโหวต้องใช้รกมนุษย์มาทำยาใช่ไหม?”
หลิ่วเฉียนเฮ้อไม่ตอบคำถาม