เฉินเสียนมีการตอบสนองอย่างรวดเร็ว เห็นว่าชาวบ้านด้านหน้านั้นเหมือนว่านิ่งอึ้งไป ไม่รู้เลยสักนิดว่าควรจะไปหลบที่ไหน
เธอรีบดึงชาวบ้านคนนั้นวิ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว วิ่งไปได้ไม่นาน ก็ลื่นล้มลงไปบนโคลนเลนอีก ทั้งสองลื่นไปข้างหน้าด้วยกัน พอตรวจดูก็เห็นว่าได้หลบผ่านจุดสำคัญนั้นมาแล้ว
ดินโคลนด้านบนตกลงมา มีส่วนหนึ่งที่ตกลงมาบนตัวเฉินเสียน
ทั้งสองลื่นออกจากทางเดินโคลนมาไกลพอสมควร
ทหารติดตามด้านหลังและทหารคุ้มกันอยากจะพุ่งข้ามไปก็คงไม่ทันการเสียแล้ว โคลนจำนวนมากไหลถล่มลงมา พวกเขาได้แค่ต้องถอยไปด้านหลัง
สุดท้ายทั้งเนินเขาถล่มลงเกือบครึ่ง โคลนเลนที่พึ่งมาใหม่ปกคลุมทางเดินล่างเนินเขาจนมิด
เฉินเสียนและชาวบ้านเดินทางมาฝั่งนี้สำเร็จ แต่ทหารติดตามและทหารคุ้มกันเมืองกลับถูกขวางไว้อีกฝั่ง ไม่สามารถผ่านไปได้
สีหน้าของชาวบ้านซีดเซียว มีความรู้สึกว่ารอดตายมาได้อย่างไม่เคยนึกมาก่อน ทำให้เขาไม่ได้สติอยู่นาน
เฉินเสียนลุกขึ้นมาจากพื้น ปัดโคลนที่อยู่บนตัว โคลนที่อยู่ด้านหลังค่อนข้างเยอะ ด้านหน้าเหมือนว่าชาวบ้านตกลงมารองอยู่ด้านล่างเธอ
เฉินเสียนถาม:“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”
ชาวบ้านลุกจากพื้นขึ้นมา ลื่นเล็กน้อย แล้วส่ายหน้าอย่างแข็งทื่อ อย่างกับรูปปั้นดินเหนียว
เฉินเสียน:“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
ชาวบ้านเงยหน้ามองสภาพที่อยู่ตรงหน้า ตกใจกลัวจนเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมา
เมื่อครู่เขาตอบสนองช้า ถ้าหากไม่ใช่เพราะเฉินเสียนดึงเขาได้ทันเวลา บางทีเขาคงถูกดินถล่มทับตายไปแล้ว
ชาวบ้านเหมือนจะยังตะลึงอยู่ ขณะที่พูดก็สั่นไปด้วย “ข้าน้อย……ขอบ พระทัย……องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนหันไปถามทหารติดตามที่อยู่อีกฝั่ง:“พวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ไม่เป็นไรกันใช่หรือไม่?”
ทั้งสี่คนที่อยู่อีกฝั่งไม่ได้มีอะไรร้ายแรง อย่างมากก็แค่ทั้งตัวเต็มไปด้วยโคลน แต่เส้นทางถูกทับไปแล้ว พวกเขาไม่สามารถข้ามมาได้
เฉินเสียน:“สถานการณ์ในหมู่บ้านเร่งด่วน ข้าเข้าไปในหมู่บ้านก่อน พวกเจ้าก็กลับไปทางเดิมเถอะ”
ทหารติดตาม:“องค์หญิงโปรดรอก่อนพ่ะย่ะค่ะ รอให้เปิดเส้นทางนี้ได้ กระหม่อมจะเข้าหมู่บ้านพร้อมกับองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ” ขณะที่พูดประโยคนี้ ทหารคุ้มกันเมืองทั้งสองคนหมุนกลับไปทางเดิมอย่างรีบร้อน ไปพากองช่วยเหลือสนับสนุนมา
เฉินเสียนมองท้องฟ้า แล้วพูด:“รอเปิดเส้นทางเสร็จ ไม่แน่ว่าฟ้าอาจจะมืดแล้ว เช่นนั้นก็เสียเวลาเปล่าสิ”
หลังจากนั้นเฉินเสียนก็ให้ชาวบ้านนำทาง เดินไปยังหมู่บ้านที่อยู่ข้างหน้าต่อ ทหารติดตามสองคนที่อยู่ด้านหลังไม่สามารถข้ามมาได้ ทำได้เพียงมองด้วยความรีบร้อน
พอเดินผ่านเนินโค้งนี้ เดินตามทางลำธารไปอีกที เดินต่ออีกไม่ไกล ก็สามารถมองเห็นหมู่บ้านได้รางๆแล้ว
หมู่บ้านถูกฝนชะล้างจนเงียบสงัด
ในขณะที่เข้าประตูหมู่บ้านมา จู่ๆก็ได้ยินเสียงสุนัขเห่า
ชาวบ้านไล่สุนัขตัวใหญ่นั้นไป แล้วตะโกนเสียงดัง:“มีคนมาช่วยพวกเราแล้ว!”
หลังจากนั้นหมู่บ้านที่เดิมทีเงียบสงบก็ฟื้นคืนขึ้นมา มีชาวบ้านทยอยกันออกมาดูอย่างรีบร้อน
ถึงแม้ว่าทั้งตัวของชาวบ้านจะเต็มไปด้วยโคลนแต่ก็ยังบดบังความดีใจและความหวังไม่มิด เขาเดินไปที่กลุ่มชาวบ้านแล้วพูด:“คุกเข่าลง รีบคุกเข่าลง!”
ชาวบ้านนำคุกเข่าลงตรงหน้าเฉินเสียน แล้วเรียกเธอด้วยความเคารพ“องค์หญิงจิ้งเสียน” ชาวบ้านเหล่านี้ถึงรู้ ว่าคนที่ชาวบ้านคนนั้นพากลับมามีฐานะถึงองค์หญิง
ชาวบ้านเหล่านี้ไม่เคยได้ออกไปเจอโลกภายนอก ต่างก็พากันคุกเข่าแล้วก้มหัว
เฉินเสียนมองสถานการณ์:“รีบลุกขึ้นเถอะ พาข้าไปหาคนป่วยก่อน”
มีชาวบ้านประมาณครึ่งหนึ่งที่ติดเชื้อจากโรคระบาด ชาวบ้านที่เป็นผู้สูงอายุร่างกายอ่อนแอติดก่อน แล้วค่อยๆแพร่กระจายไปยังร่างกายของชาวบ้านที่ร่างกายแข็งแรง
เฉินเสียนบอกพวกเขา ห้ามดื่มน้ำในแม่น้ำเซียงชั่วคราว รอผ่านไปสักพัก อีกไม่กี่วัน รอให้น้ำสะอาดขึ้นแล้วค่อยดื่มค่อยใช้ อีกอย่างคือห้ามดื่มห้ามใช้น้ำดิบ
ชาวบ้านเริ่มตระหนักรู้ ว่าโรคระบาดนี้เกิดจากแหล่งน้ำ
หลังจากนั้นชาวบ้านก็ไปที่นาตักน้ำมาชำระล้างโคลนให้ แล้วย้ายหม้อเหล็กขนาดใหญ่ออกมา ใช้หินก่อกำแพงเป็นเตาชั่วคราว เอาเครื่องปรุงยาใส่ลงไปในหม้อต้ม
คนที่มีอาการหนัก ให้ไปรวมไว้อีกที่หนึ่ง และเฉินเสียนจะฉีดยาทีละคนเพื่อยับยั้งอาการติดเชื้อ
จู่ๆในหมู่บ้านก็ปรับสภาพขึ้นมาได้ มีควันโขมง บรรยากาศคึกคัก เสียงคนเสียงสุนัขมีมาไม่ขาดสาย
ท้องฟ้าเริ่มมืด ในหม้อเหล็กร้อนระอุ เฉินเสียนกำลังต้มยาหม้อแล้วหม้อเล่า แล้วใช้กระบวยตักแจกส่งออกไป
ในเวลานี้ก็มีชาวบ้านพูดขึ้นมาจากด้านหลัง:“องค์หญิงจิ้งเสียนพ่ะย่ะค่ะ มีคนมาหาพระองค์พ่ะย่ะค่ะ!”
เฉินเสียนนึกว่าเป็นทหารติดตามและทหารคุ้มกันเมืองที่เปิดเส้นทางได้แล้ว ไม่แปลกใจเท่าไรที่พวกเขาตามมาที่หมู่บ้านในภายหลัง
เฉินเสียนกำลังจะเรียกพวกเขาให้เข้ามาช่วย เธอคนเดียวทำค่อยไม่ทัน แต่พอหันกลับไปมองคนที่มา ท่าทางเธอก็หยุดไปชั่วขณะ
คนที่มาไม่ใช่ทหารติดตามและก็ไม่ใช่ทหารคุ้มกันเมือง ไม่ใช่คนอื่นใด แต่เป็นซูเจ๋อ
มีแค่เขาคนเดียว
ชายเสื้อสีดำมีคราบโคลนเป็นลายพร้อย เขายืนอยู่ตรงนั้นมองเฉินเสียนด้วยความนิ่งเงียบ แสงยามโพล้เพล้ทั้งสี่ทิศรวมเข้าด้วยกัน ไฟตรงกลางเตาระยิบระยับขึ้นมา
บรรยากาศเงียบไปชั่วขณะ
เฉินเสียนขมวดคิ้วแล้วนึกขึ้นได้ เธอไม่อยากเจอซูเจ๋อในเวลานี้ แต่ทำไมเขาถึงมักจะโผล่มาต่อหน้าเธอ
เธอไม่อยากจะไปคิดมากสักพัก ให้เธอได้ช่วยคนในหมู่บ้านนี้อย่างสบายใจไม่ได้หรือ
ชาวบ้านที่นี่ไม่รู้ว่าซูเจ๋อคือใคร มีความสัมพันธ์อย่างไรกับเฉินเสียน แต่บรรยากาศเหมือนไม่มีชีวิตชีวา ผู้หญิงหลายคนในหมู่บ้านต่างอาบน้ำร้อนมาก่อน พวกเขามองออก เลยไม่ได้พูดอะไรมากความ
ชาวบ้านที่นำทางซูเจ๋อมา เห็นว่าทั้งสองไม่คุยกัน เลยถามอย่างตรงไปตรงมา:“องค์หญิงจิ้งเสียน พระองค์ไม่รู้จักเขาหรือ?”
เฉินเสียน:“ไม่ ข้ารู้จัก”
หลังจากนั้นพวกผู้หญิงก็ดึงชาวบ้านที่นำทางมาออกไป อ้างว่าให้ไปส่งยา แล้วเดินออกไป
เฉินเสียนหันหน้ากลับมา ไม่ได้มองเขาอีก พูดเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น:“ท่านมาได้อย่างไร”
ซูเจ๋อ:“ได้ยินว่าบนเส้นทางเกิดเหตุขึ้นนิดหน่อย ข้าเลยมาดู”
“คนอื่นๆล่ะ?”
“ยังขุดลอกเส้นทางอยู่ ถล่มมาค่อนข้างหนักทีเดียว อาจจะต้องรอสองวันถึงจะทำความสะอาดแล้วเปิดเส้นทางได้”
“อ้อ ข้าเกือบลืม ท่านมีวิชาตัวเบา”
การพูดคุยของทั้งสองคนเปลี่ยนไปอย่างผิดปกติ มีซูเจ๋ออยู่ เฉินเสียนสบายใจไม่น้อย เขารับผิดชอบช่วยดูอาการของชาวบ้าน ปรับยาให้ตามอาการป่วยของพวกเขา
เวลานี้ฟ้ามืดแล้ว ในหมู่บ้านเริ่มเตรียมอาหารมื้อค่ำแล้ว
เนื่องจากที่เฉินเสียนมาในฐานะองค์หญิง ทำให้คืนนี้ที่หมู่บ้านคึกคักขึ้นมาไม่น้อย
ชาวบ้านต้อนรับอย่างอบอุ่น ทุกบ้านต่างก็นำวัตถุดิบที่ดีที่สุดในบ้านออกมาทำอาหารมื้อค่ำด้วยกัน
หลังจากที่ชาวบ้านที่ติดเชื้อทานยาแล้ว อาการก็คงที่
หลังจากนั้นพอเฉินเสียนมีเวลาก็เอาน้ำที่ต้มเช็ดล้างทำความสะอาดโคลนบนร่างกาย
ตอนนี้เฉินเสียนและซูเจ๋ออยู่ในบ้านของผู้ใหญ่บ้าน ด้านหน้ามีอาหารมื้อค่ำเต็มโต๊ะ และนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันและกัน
คืนนี้ฟ้ามืดแล้ว เส้นทางก็ไม่สะดวกที่จะเดิน คาดว่าก็คงกลับไปไม่ได้
เดิมทีเฉินเสียนไม่ได้วางแผนว่าจะกลับไป คิดว่าจะอยู่ดูอาการชาวบ้านที่นี่สักสองสามวัน รอให้โรคระบาดหายขาดก่อนแล้วค่อยกลับไป แต่ตอนนี้มีซูเจ๋อเพิ่มมา
ห้องในบ้านของผู้ใหญ่บ้านค่อนข้างกว้าง มีห้องเหลือหลายห้องที่สามารถให้เฉินเสียนและซูเจ๋อได้พักค้างแรม
หญิงผู้หนึ่งเตรียมห้องเสร็จแล้ว ก็หยิบเหล้ามาหนึ่งไห:“มิทราบว่าองค์หญิงจิ้งเสียนและท่านชายผู้นี้ดื่มเหล้าหรือไม่เพคะ นี่เป็นเหล้าที่หม่อมฉันหมักเอง ในบ้านตอนนี้ไม่มีน้ำสะอาดสำหรับต้มชา เช่นนั้นใช้เหล้าแทนชาก่อนนะเพคะ”
เฉินเสียน:”ขอบใจมาก“
ซูเจ๋อไม่ดื่มเหล้า แต่เธอดื่มเหล้า