ฉินหรูเหลียงพูดขึ้นว่า : “ท่านไม่ยอมให้ข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ และตัวข้าเองก็ไม่สามารถจะช่วยเหลืออะไรได้ ในเมื่อไม่มีอะไรให้ทำอยู่แล้ว ทำอาหารสักหน่อยยังพอได้บ้าง ท่านลองชิมดู”
เฉินเสียนเริ่มตักอาหารมาชิม ฉินหรูเหลียงจึงถามขึ้นว่า : “รสชาติพอได้ไหม?”
ในใจของเธอตอนนี้มันไม่ใช่รสชาติ เธอไม่เคยนึกเลย ว่าแม่ทัพใหญ่แห่งอาณาจักรต้าฉู่ ที่เคยเป็นคนที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ทุกอย่าง แต่มาวันนี้เขากลับเข้าห้องครัวเป็น กลิ่นอายจิตสังหารค่อยๆ ถูกกลิ่นควันและกลิ่นน้ำมันในห้องครัวกลบเกลื่อนจนหมด
เฉินเสียนกลืนลงคออย่างยากลำบาก แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ท่านไม่เหมาะกับการทำอาหาร คนทำอาหารจะต้องเป็นคนที่มีจิตใจละเอียดอ่อน ท่านทำเค็มไปแล้ว”
“อย่างงั้นหรือ คราวหน้าข้าจะระวัง”
“ฉินหรูเหลียง” เฉินเสียนถามขึ้นว่า : “ทำไมท่านถึงไม่ยอมให้ซูเจ๋อรักษาแขนของท่านให้หายดี”
“สิ่งที่รับมาจะต้องมีข้อแลกเปลี่ยนเสมอ ข้าไม่อยากจะถูกเขาบงการ” ฉินหรูเหลียงเม้มปากแล้วจึงพูดขึ้นว่า : “คนผู้นั้นโอหังเกินกว่าที่ท่านจะจินตนาการได้ เขานึกว่าตัวเองสามารถควบคุมทุกคนได้ เฉินเสียน คนแบบนั้นน่ากลัวที่สุด”
เฉินเสียนพูดขึ้นด้วยความเข้าใจ : “มิน่าล่ะ เขาถึงบอกว่าต้องให้ท่านเป็นคนตัดสินใจคิดพิจารณาเองให้ดี ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถบังคับใครได้ทั้งนั้น” เธอหันไปมองฉินหรูเหลียง แล้วถามต่อว่า : “เขาไปบงการและควบคุมอะไรท่านหรือ?”
ฉินหรูเหลียงพูดขึ้นว่า : “เขาคิดว่าข้าจะตอบตกลงอย่างง่ายดาย ข้าเพียงแค่ไม่อยากที่จะก้มหัวให้เขา”
บางทีฉินหรูเหลียงอาจจะรู้สึกว่าคนอย่างซูเจ๋อน่ากลัวจริงๆ ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น เพราะแม้แต่เฉินเสียนเองก็เคยมีห้วงเวลาหนึ่งที่รู้สึกว่าซูเจ๋อน่ากลัวและหยั่งลึกไม่ถึง
เขาสร้างกับดักขึ้นทีละกับดัก การคิดการของเขาทั้งลึกซึ้งและกว้างไกลจนผู้อื่นไม่สามารถเข้าถึงได้ เขาวางแผนเสร็จสรรพตั้งแต่แรก รอเพียงคนข้างนอกกระโดดเข้าไปก็เท่านั้น
เฉินเสียนสามารถเข้าใจฉินหรูเหลียงได้ แต่ตอนนี้เพราะเธอได้รักซูเจ๋ออย่างสุดหัวใจ เพราะฉะนั้นเวลานี้เธอจึงรู้สึกว่าถ้าหากเขาจะตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง แล้วเขาจะต้องคิดพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน มันเป็นเรื่องที่ปกติมาก
ไม่อย่างงั้นเขาจะเดินอยู่ปลายหน้าผามาจนถึงทุกวันนี้ได้ยังไงกัน
เฉินเสียนพูดขึ้นว่า : “ซูเจ๋อพูดถูก ท่านต้องการเวลาเพื่อพิจารณา ข้ายังหวังอยู่เสมอ ว่าสักวันหนึ่งท่านจะกลับมาเป็นฉินหรูเหลียงคนเดิม”
ฉินหรูเหลียงคิดในใจ คำพูดที่ซูเจ๋อพูดกับเขาตอนอยู่ในรถม้าวันนั้น เฉินเสียนคงไม่รู้สินะ
ซูเจ๋อคนลุ่มลึกอย่างเขา คงจะไม่มีวันยอมเปิดเผยด้านมืดให้เฉินเสียนเห็นอย่างแน่นอน
ฉินหรูเหลียงไม่ได้พูดอะไรมาก เขาพูดเพียงว่า : “รอเวลาผ่านนานไป ท่านจะมองเขาออกได้อย่างชัดเจน เขาซับซ้อนซ่อนเงื่อนเกินกว่าที่ท่านจะจินตนาการได้”
เมื่อฉินหรูเหลียงเดินจากไปแล้ว เฉินเสียนยังนั่งใช้ความคิดอยู่ที่ทางเดินคนเดียว
ซูเจ๋อคนผู้นี้เป็นดังที่เขาพูดไว้ไม่มีผิด ลุ่มลึกและซับซ้อน
แต่คนผู้นี้ตอนนี้กำลังช่วยกันระบายน้ำ ระดมช่วยเหลือผู้ประสบภัยร่วมกับแม่ทัพโฮ้วอย่างไม่หยุดยั้ง
แค่พวกเขามีหัวใจเป็นอันหนึ่งเดียวกัน ยังไม่เพียงพออีกหรือ
วันรุ่งขึ้นในระหว่างที่กำลังระบายน้ำ เฉินเสียนได้ไปติดตามผลลัพธ์และความเคลื่อนไหว
ฝนตกปรอยๆ แม่ทัพโฮ้วได้สั่งการให้เหล่าทหารขุดลอกแม่น้ำ ขาทั้งคู่สวมใส่รองเท้าหนังสีดำเดินเหยียบย่ำอยู่ในโคลนตมไปๆ มาๆ จนดินโคลนสาดกระเซ็น ชุดเกราะสีดำที่สะท้อนน้ำนั่น
พวกเขากำลังสร้างอ่างกักน้ำพื้นที่ราบต่ำในบริเวณที่ไม่มีผู้คน เพื่อที่จะสามารถระบายน้ำส่วนหนึ่งของแม่น้ำเซียงไปยังอ่างกักน้ำนี้
หลังฝนในช่วงสารทฤดูผ่านไป พื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับอ่างกักน้ำเริ่มมีการทำการเกษตรใหม่อีกครั้ง และได้ยืมน้ำจากอ่างกักน้ำเพื่อชลประทาน
บวกกับปริมาณดินโคลนที่ไหลเข้าสู่อ่างกักน้ำ เมื่อน้ำถูกระบายและระเหยออกไปจนหมด ไม่เพียงแต่จะสามารถเติมเต็มพื้นดิน แต่กลับเกิดเป็นผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ผืนใหญ่
ขณะที่เฉินเสียนไปถึงนั้น ซูเจ๋อกำลังยืนอยู่บนผืนหญ้าตรงขอบ
ผืนหญ้าที่เขียวชอุ่มสองประกายระยิบระยับเพราะโดนละอองน้ำฝน เพียงแต่ปลายต้นหญ้านั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน
ซูเจ๋อสวมชุดดำทั้งชุด ด้านหลังของเขาเป็นผืนฟ้าและขุนเขาที่มีสีเป็นหนึ่งเดียวกัน เขายืนอยู่ท่ามกลางสายฝนปรอย ชายชุดของเขาเปียกชุ่ม ละอองฝนทำให้ใบหน้าของเขาเปียกชื้นเกิดเป็นมิติที่ทั้งตื้นและลึกขึ้นมา คิ้วของเขาเรียวยาวสงบนิ่ง ราวกับภาพวาดก็ไม่ปาน
เฉินเสียนเดินไปยืนอยู่ข้างๆ เขาเงียบๆ ในมือถือร่มสีเขียวคันหนึ่ง ช่วยเขาบังฝน
ซูเจ๋อเงยหน้าขึ้นมองร่มเหนือศีรษะ แล้วจึงหันหน้ามามองเฉินเสียน พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ทำไมมาถึงที่นี่ได้?”
เวลานี้สีท้องฟ้าเริ่มมืด
เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “รอตั้งนานแต่ไม่เห็นท่านกลับมาเสียที ข้าก็เลยมาดูเสียหน่อย” เธอถามขึ้นว่า : “ทำไมท่านถึงไม่กางร่ม?”
ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ฝนปรอย แต่หากยืนอยู่ที่นี่นานๆ ความชื้นก็จะแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายได้
ซูเจ๋อหรี่ตาลง มองดูบรรดาเหล่าทหารที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ตรงหน้าอย่างเหน็ดเหนื่อย แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “พวกเขาไม่กลัวลมฝน แล้วข้าจะถอยกลับได้อย่างไรกัน อยากเป็นหนึ่งใจเดียวกับพวกเขา ก็ควรที่จะพาตัวเองไปยืนอยู่ตรงจุดที่เท่าเทียมและเสมอภาคกับพวกเขา”
เขาหันมายิ้มให้เฉินเสียน แล้วพูดต่อว่า : “น่าเสียดายตรงที่ว่าในสายตาของพวกเขา ข้าเป็นเพียงแค่บัณฑิตที่ไร้เรี่ยวแรงไร้ความสามารถ ไม่อย่างงั้น ข้าคงลงไปช่วยพวกเขาขุดลอกแม่น้ำแล้ว”
“แต่อาการบาดเจ็บของท่านยังไม่หายดีเลย”
“อาเสียน ข้าไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น”
จากนั้นเฉินเสียนก็เก็บร่มลง พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “งั้นข้าตากฝนเป็นเพื่อนท่าน”
ละอองฝนละเอียดอ่อนดุจใยแมงมุมที่นุ่มละมุนค่อยๆ พรมลงมาช้าๆ ปกคลุมไปทั่วร่างกายของทั้งสองคน
เพียงครู่เดียวเส้นผมของเฉินเสียนก็มีหยดน้ำที่ค่อนข้างละเอียดเกาะตามเส้นผม เป็นผลึกเม็ดสีใสบริสุทธิ์ พลอยทำให้ทั้งตัวของเธอเหมือนมีผลึกใสบริสุทธิ์เคลือบอยู่
เธอหรี่ตาลง มองผืนน้ำที่มีทั้งเฉดสีเข้มและสีจางที่ตีนเขาอันไกลโพ้นนั่น
ซูเจ๋อพูดขึ้นว่า : “ตั้งแต่สมัยโบราณเป็นต้นมา ในทุกๆ รัชสมัยต่างใช้วิธีการกำราบปราบปรามราษฎรด้วยกองทัพทหาร เป็นการยากที่จะรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้ แต่น้ำท่วมขังในสารทฤดูครั้งนี้ แม่ทัพโฮ้วได้นำทหารกองปราบปรามของเขตชายแดนใต้ ในความยากลำบากครั้งนี้ ช่วยเหลือราษฎรที่ประสบภัยพิบัติ ทั้งจากอุทกภัยและอัคคีภัย เหล่าทหารและราษฎรได้บรรลุถึงความปรองดองและความสามัคคีอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน อาเสียน ทั้งหมดนี้เป็นผลงานของท่านด้วยทั้งนั้น”
บางทีคนที่อยู่ในตำแหน่งที่สูงส่ง ออกมาทำคุณประโยชน์ให้กับเหล่าทหารและราษฎร จะทำให้หัวใจของพวกเขารู้สึกอบอุ่น พวกเขาจะจดจำและสำนึกในบุญคุณเสมอ
ไม่ว่ากองกำลังทหารทางตอนใต้เหล่านี้จะมาจากสนามแห่งชีวิตหรือสนามแห่งความตาย จะเป็นผู้คนที่พลัดถิ่นเพราะกันดารอาหาร ทนทุกข์ลำบากตรากตรำมาเนิ่นนาน ก็ยังต้องการความอบอุ่นเหมือนๆ กัน
หากพวกเขาไม่ได้เห็นเองกับตา ว่าเฉินเสียนและเหล่าทหารได้ออกไปขุดยา หาอาหาร และดูแลเหล่าทหารทุกคนที่ป่วยด้วยโรคระบาดไข้รากสาดน้อยเองกับมือ ชื่อเสียงเรียงนามของเฉินเสียนคงจะไม่แพร่กระจายไปทั่วกองทหารรวดเร็วเช่นนี้แน่นอน ทหารเหล่านี้ก็คงจะไม่ได้รับกำลังใจเหล่านี้ ฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง
ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว ตอนที่เฉินเสียนเข้าไปช่วยแม่ทัพโฮ้ว ซูเจ๋อเองยังคงยืนดูอยู่ด้านข้างไม่ไกลมาก
เรื่องพวกนี้เขาไม่สามารถช่วยเฉินเสียนทำได้ เธอต้องเดินทางนี้ด้วยตัวเอง ชื่อเสียงพวกนี้ เธอจำเป็นที่จะต้องสะสมมันทีละก้าวด้วยตัวของเธอเอง
หากเปรียบเทียบกับเฉินเสียนแล้ว ซูเจ๋อไม่ได้ต้องการชื่อเสียง เขาวางตัวเองไว้ในตำแหน่งที่ไม่สะดุดตาที่สุด ตอนที่เฉินเสียนอยู่ด้วยเขาจะคอยเป็นแค่ตัวประกอบ เวลาที่เฉินเสียนไม่ได้อยู่ด้วย ในสายตาของผู้อื่นนั้น เขาเป็นเพียงแค่นักปราชญ์ที่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง
เมื่อเฉินเสียนลงไปแล้ว เธอก็ทำตัวเองเสียจนสกปรกเลอะเทอะไปหมด ทั้งตัวเต็มไปด้วยดินโคลน แต่เธอเองก็ไม่ได้สนใจ รีบแทรกตัวเข้าไปท่ามกลางเหล่าทหารอย่างรวดเร็ว
เมื่อฟ้ามืดแล้ว ทุกคนต่างพากันเดินทางกลับไปยังเมืองอวิ๋น
เฉินเสียนได้ลงมือตุ๋นซุปแก้หนาวอีกครั้ง แจกจ่ายทุกคนคนละถ้วย
เมื่อห้องครัวส่งอาหารมา เฉินเสียนและซูเจ๋อนั่งทานอาหารตรงข้ามกัน
ซูเจ๋อพูดขึ้นว่า : “ข้าได้ยินมาว่าช่วงนี้ฉินหรูเหลียงเข้าครัวฝึกทำอาหาร ซุปนกพิราบในตอนนั้นเขาเป็นคนตุ๋นให้ท่านหรือ?”
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นนกพิราบ? ไม่ใช่นกหรอกหรือ?” เฉินเสียนเหลือบไปมองเขา
ซูเจ๋อพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า : “อ๋อ ที่แท้แล้วเป็นนกพิราบหรอกหรือ เฮ่อโยวไม่ได้พูดให้ชัดเจน นกพิราบกับนกก็อยู่ในตระกูลเดียวกันนั่นแหละ แล้วซุปอร่อยหรือเปล่า?”