ภายหลัง สองขาเฉินเสียนไร้เรี่ยวแรงราวกับย่างเหยียบอยู่บนดอกฝ้าย เอ่ยด้วยความรำไรอย่างท่วมท้น “ซูเจ๋อ ข้าใกล้จะหายใจไม่ได้แล้ว”
เสียงแผ่วเบาอันอ่อนนุ่มและอาลัยรักวนเวียนอยู่รอบๆหู
ซูเจ๋อดื่มด่ำไปมาอีกสักพักแล้วค่อยๆปล่อยออก
ทั้งสองแข่งกันหายใจหอบเหนื่อยอย่างวุ่นวายอยู่ในห้องที่เงียบสงัด
ซูเจ๋อหลุบตามองหัวใจเฉินเสียนเต้นรัวแรง ติ่งหูสีแดงฉานกระจายไปยังลำคอกับใบหน้าอันขาวเนียนเกลี้ยงเกลา ตัดกับดวงตาสุกสกาวแวววับ ช่างงามพิสุทธิ์ชวนหลงใหลยิ่งนัก
ซูเจ๋อยื่นนิ้วไปลูบไล้คางของเธอจนแดงระเรื่อ ริมฝีปากอิ่มเอิบบวมแดง
เฉินเสียนอ้าปากเอ่ยกับเขาเบาๆด้วยเสียงแหบพร่า “ซูเจ๋อ”
ชั่วอึดใจนี้ซูเจ๋อรู้สึกว่าเพียงถ้อยคำเบาๆหนึ่งประโยคกับหนึ่งอากัปกิริยา เธอก็ปะเหลาะเขาจนใจละลายแล้ว
ซูเจ๋อยื่นมือโอบกอดเธอไว้ในอ้อมแขนอย่างแน่นหนึบ
เขาก้มหน้าถูไถอยู่บนบ่าเธอพร้อมกับกล่าวว่า “ข้ากลับมาแล้ว”
เฉินเสียนหรี่ตาดื่มด่ำความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเมื่อยามถูกเขาสวมกอด เธอยกมือกอดกลับแบบไม่อิดออด
อ้อมกอดนี้ยังคงรู้สึกคุ้นเคยจนทำให้เธอน้ำตาคลอเบ้า
จากนั้น มือที่กอดไหล่เขาพลันรู้สึกเหนียวชื้น
ร่างกายเฉินเสียนแข็งทื่อ
ซูเจ๋อกลับพูดด้วยเสียงอ่อนโยนแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น “อย่าขยับ บาดแผลข้าฉีกขาดแล้ว ท่านให้ข้ากอดอีกหน่อยเถอะ”
เฉินเสียนกล่าวอย่างปวดใจ “รู้ว่าแผลฉีกขาดแล้วยังใช้แรงอีก”
“ควบคุมไม่อยู่”
“เจ็บไหม?”
ซูเจ๋อกล่าว “ถูกท่านดึงดูดความสนใจไปหมด จึงไม่ค่อยเจ็บมาก”
“ในหัวใจ”
ต่อมาซูเจ๋อจึงยอมปล่อยเธอและนอนบนเตียงอย่างเชื่อฟัง
เฉินเสียนแหวกอาภรณ์เขาออกก็พบว่า ผ้าพันแผลมีเลือดซึมจนเกือบแดงไปหมดแล้ว อดรู้สึกหงุดหงิดและร้อนรนไม่ได้
ดูสภาพบาดแผลของเขาคงจะฉีกขาดตั้งนานแล้ว ทว่าเขาดันไม่ใส่ใจเสียเลย
เฉินเสียนเปลี่ยนผ้าพันแผล ทายาให้เขาใหม่ ยามฝังเข็ม ร่างกายที่อ่อนระโหยโรยแรงคล้ายกับฝังเข็มให้เขาครั้งแรก พอจับตำแหน่งได้ก็หยุดสักพักแล้วถึงจะฝังลงไป
ร่างกายซูเจ๋อไม่แข็งแรง แต่นอนมาหลายวันจึงมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก กล่าวว่า “ฝังเข็มอย่างลังเล กลัวฝังผิดจุดเหรอ?”
เฉินเสียนพูดไหล่ไปตามน้ำ “ข้าแค่ไม่มีแรง จะฝังผิดได้เยี่ยงไร”
ซูเจ๋อหรี่ตา ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “เพราะข้า ท่านถึงต้องลำบากใจขนาดนี้”
เฉินเสียนฝังลงไปอีกเข็ม พลางกล่าวว่า “พึ่งกลับจากเส้นทางยมโลกก็พูดมากเสียจริง”
ซูเจ๋อยิ้มด้วยใบหน้าซีดเซียวพร้อมกับกล่าวว่า “ข้าไม่เย้าแหย่ท่านแล้ว”
หากแม้นมือเฉินเสียนจะยุ่งอยู่ มุมปากก็ไม่วายยกขึ้นคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
กระสับกระส่ายและกลัดกลุ้มมาหลายวัน ในที่สุดระหว่างคิ้วเธอก็ฉาบฉายอารมณ์ชื่นมื่นออกมา
ขอเพียงได้ยินเสียงซูเจ๋อ ถึงเธอจะถูกหยอกล้อก็ไม่เป็นไร
ซูเจ๋อเอ่ย “อาการบาดเจ็บของข้าสาหัสปานนี้ คาดไม่ถึงว่าท่านจะค่อยๆรักษาให้ข้าหายดีได้”
“ท่านกำลังชมวิชาแพทย์ของข้าอยู่หรือ?” เฉินเสียนกล่าวอย่างไม่แยแส “ท่านเหมือนไม่ประหลาดใจที่ข้ามีวิชาแพทย์ พอๆกับที่เป็นศิลปะการต่อสู้เลย”
เธอควรนึกถึงจุดนี้ตั้งนานแล้ว ซูเจ๋อรู้อดีตของเธอเป็นอย่างดี ตอนที่เธอเริ่มระแคะระคายว่า เฉินเสียนคนก่อนก็คือหญิงโดดเดี่ยวที่ซูเจ๋อกล่าวถึง เธอก็ควรรู้แล้วว่า ซูเจ๋อเป็นผู้สอนเธอทุกความสามารถ
ซูเจ๋อสอนเธอเดิน สอนร่ำเรียนตำรา สอนทุกอย่างที่เขาเป็นและคอยอยู่เคียงข้างเธอในเยาว์วัยจนเธอเติบใหญ่
เฉินเสียนเงยหน้ามองเขาปราดหนึ่ง เอ่ยอีกครั้งว่า “เหตุใดจึงไม่พูดเล่า ละอายใจหรือ?”
ซูเจ๋อเอ่ยว่า “มีเล็กน้อย”
เฉินเสียนยกคิ้ว “ไม่ว่าจะด้านวรยุทธ์หรือวิชาแพทย์ ข้าก็ห่างชั้นกับท่านมาก เพราะเมื่อก่อนข้าไม่ตั้งใจเล่าเรียนหรือไม่ ท่านอาจารย์?”
“……” ซูเจ๋อเงียบไปชั่วครู่ พลางถามว่า “ฉินหรูเหลียงบอกท่านหรือ?”
คนที่นี่ไม่มีผู้ใดรู้เรื่องพวกนั้น ดังนั้นซูเจ๋อแทบจะไม่ต้องคิดก็รู้เลยว่าเป็นเขา
เฉินเสียนถามกลับว่า “หากไม่มีผู้ใดบอกข้า ท่านคงไม่คิดจะบอกข้าสินะ”
ซูเจ๋อคิดดูแล้วจึงพูดว่า “พอรู้ว่าข้าคืออาจารย์ของท่าน หากท่านคิดเอาจริงล่ะ ควรทำเช่นไร? ท่านก็จะถือข้าเป็นอาจารย์ตลอด ซึ่งตั้งแต่ต้นข้าก็ไม่อยากอยู่ในสถานะอาจารย์ของท่านเลย”
เฉินเสียนเก็บเข็มเงินอย่างชำนาญ ทันใดนั้นเธอเข้าไปชิดใกล้ซูเจ๋อกะทันหัน ปลายจมูกชนปลายจมูก
เธอมองนัยน์ตาซูเจ๋อพร้อมกับถามเขาว่า “ท่านกลัวว่าหากข้ารู้ว่าท่านเป็นอาจารย์แต่แรก ข้าจะไม่ตกหลุมรักท่านหรอกหรือ?”
“ข้าไม่มั่นใจ”
เมื่อก่อนซูเจ๋อกล่าวเช่นนี้ เฉินเสียนจะรู้สึกว่าเขาจงใจทำตัวบริสุทธิ์
ทว่าได้ยินเวลานี้ เธอรู้สึกโศกเศร้ายิ่งนัก
เฉินเสียนกล่าว “ข้าไม่ใช่เฉินเสียนคนก่อน ข้าไม่ใส่ใจว่าท่านเป็นใคร
ข้าพยายามฝืนใจไม่ให้รักท่าน ไม่ให้จริงจังกับท่าน แต่สุดท้ายก็ต้องล้มเหลวทุกครั้ง
มันไม่ได้เกี่ยวว่าข้ากับท่านเป็นใคร ถึงข้าจะรู้ว่าท่านเป็นอาจารย์ของข้า แต่ข้าก็ยังรักท่านอยู่ดี”
ฉินหรูเหลียงแค่ให้เธอรู้ความจริง ซึ่งไม่ส่งผลต่อความรู้สึกเธอเลยสักนิด
สำหรับเธอแล้วรู้หรือไม่รู้ก็มีค่าเท่ากัน
เฉินเสียนจำได้เพียงว่า เธอกับซูเจ๋อพบเจอครั้งแรกที่รังโจรภูเขา
ซูเจ๋อจ้องเธออย่างใจจดใจจ่อ พูดเสียงเบาว่า “ท่านไม่ใส่ใจ แต่คนอื่นใส่ใจ คำว่าอาจารย์มีศักดิ์เทียบเท่าบิดา ท่านจะอยู่กับข้าอย่างเปิดเผย คนอื่นไม่มีทางยอมรับเป็นแน่”
“นี่เป็นเรื่องของข้า ไยข้าต้องให้คนอื่นยอมรับด้วย?” เฉินเสียนตอบ “หากยังไม่ได้บานปลายจนย่ำแย่ ท่านก็คือพี่ชายที่ข้าพลัดพรากจากกันหลายปี ข้าจะรัก คนอื่นจะทำอันใดข้าได้”
“ข้าไม่ใช่พี่ชายที่พรากจากท่านหลายปีแน่ๆ” ซูเจ๋อยิ้มบางๆ “เป็นสารภาพรักที่ซาบซึ้งกินใจที่สุดเท่าที่ข้าเคยได้ยินมา”
“อย่างไรเสียก็มีเพียงข้าที่สารภาพรักกับท่าน” เธอก้มหน้ายิ้ม “หากภายภาคหน้ามีผู้อื่นมาสารภาพอีก ท่านคงไม่รู้สึกซาบซึ้งแล้วกระมัง”
เขายิ้มพร้อมกับพูดว่า “ยามนั้นมาถึงท่านต้องลงไม้ลงมือแล้ว”
หลังจากหัวเราะเสร็จ เฉินเสียนเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ซูเจ๋อ ข้าจะไม่ถอยอีกแล้ว”
เธอรับการสูญเสียเขาไม่ได้ เพียงแค่ความทุกข์ระทมในช่วงนี้ เฉินเสียนก็รู้สึกมากพอแล้ว
นางกำนัลนำอุปกรณ์สำหรับต้มโอสถมาส่งตั้งนานแล้ว เพียงแต่ตอนนั้นประตูห้องปิดแน่นสนิท นางเคาะประตูเท่าไหร่ก็ไม่มีคนตอบ ซึ่งระหว่างนั้นซูเจ๋อกับเฉินเสียนกำลังนัวเนียกันอยู่ที่มุมผนัง
นางกำนัลคิดว่าเฉินเสียนนอนหลับพักผ่อนอยู่ในห้อง จึงวางอุปกรณ์ไว้ข้างๆหม้อโอสถด้านนอก แล้วก็จากไป
เฉินเสียนอยากลุกไปด้านนอก เนื่องจากซูเจ๋อยังต้องดื่มโอสถอีกครั้งในยามราตรี
ซูเจ๋อคว้ามือของเธอไว้ เธอหันมาเอ่ยว่า “ข้าไปต้มโอสถไม่นาน”
“คืนนี้ไม่ดื่มแล้ว ท่านมานอนเป็นเพื่อนข้าสักครู่เถอะ” ซูเจ๋อเสริมต่อว่า “วิธีนี้ได้ผลกว่าโอสถทุกชนิด”