ข้าคือหงส์พันปี – ตอนที่ 278 ในสายตาของเธอมีเพียงแค่ซูเจ๋อ

อีกฝ่ายเอื้อมมือมาช่วยประคองเธอไว้ก่อน

เมื่อเฉินเสียนเงยหน้ามอง เธอจึงเห็นว่าเขาคือฉินหรูเหลียง เธอเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเคยได้ยินใครสักคนบอกไว้ว่าฉินหรูเหลียงก็พักฟื้นอยู่ในเรือนแห่งนี้โดยที่อาศัยอยู่ในห้องฝั่งตรงข้าม

เดิมทีก่อนหน้านี้ฉินหรูเหลียงก็บาดเจ็บอยู่แล้ว ครั้งนี้เมื่อได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกครั้งเขาจึงหมดสติไปสองสามวัน และในที่สุดก็ฟื้นขึ้นมา

เพียงแต่สีหน้าของเขายังดูไม่ค่อยดีนัก ที่แขนและเอวยังมีผ้าพันแผลพันเอาไว้ เขาเพียงแค่พาดเสื้อคลุมไว้บนไหล่และฝืนลุกออกจากเตียงเดินมาที่นี่

ตอนนี้แขนข้างหนึ่งของเขายังมีผ้าพันแผลผูกประคองไว้เพื่อดามไม่ให้แขนเคลื่อน

เขาได้ยินมาว่าเฉินเสียนคอยเฝ้าอยู่ที่ห้องของซูเจ๋อตลอดหลายวันที่ผ่านมา เธอยืนกรานเช่นนั้นและไม่มีใครหว่านล้อมเธอได้เลย

เธอดูแลอาการบาดเจ็บของซูเจ๋อด้วยตัวเองโดยไม่มีเวลาแม้แต่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือปลีกตัวไปไหน

แต่ถึงอย่างไรเฉินเสียนก็ไม่ใช่ว่าจะแข็งแกร่ง ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปเธออาจจะทนไม่ไหว

ก่อนหน้านี้ฉินหรูเหลียงได้แต่ฟังคำบอกเล่าจากหมอหลวงที่รักษาอาการบาดเจ็บของเขา เมื่อลุกจากเตียงไหวเขาจึงมาที่นี่ทันที

เมื่อเห็นท่าทางที่อ่อนล้าของเฉินเสียน เขาก็ตระหนักได้ว่าหมอหลวงไม่ได้พูดเกินจริงเลยแม้แต่นิดเดียว

ฉินหรูเหลียงไม่เคยเห็นเฉินเสียนเหนื่อยล้าเช่นนี้มาก่อน

ซูเจ๋ออยู่กับเธอและเขาเป็นคนที่พิเศษไม่เหมือนใคร เพื่อช่วยชีวิตเขา เธอถึงกับไม่ยอมพัก ไม่ยอมหลับไม่ยอมนอนได้ถึงขั้นนี้

ฉินหรูเหลียงรู้สึกไม่สบอารมณ์

เขายังจำได้ว่าตอนที่เขาถูกนักฆ่าเตะจนตกภูเขา เขาได้ยินเฉินเสียนตะโกนเรียกชื่อเขาดังลั่น

ฉินหรูเหลียงคิดว่าตราบใดที่เขายอมทุ่มเทเพื่อเธอ เขาจะได้รับสิ่งตอบแทนเสมอ

แต่ตอนนี้เมื่อเทียบกับซูเจ๋อแล้ว เขาไม่ได้มีความสลักสำคัญใดๆ เลย

ผู้หญิงคนนี้ยังคงเป็นภรรยาของเขา อย่างน้อยก็ในนาม

แต่เพื่อผู้ชายคนอื่นเธอกลับดึงดันและมองข้ามสามีอย่างเขา

ฉินหรูเหลียงถึงกับรู้สึกอิจฉาซูเจ๋อขึ้นมาเล็กน้อย ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ไม่มีทางทำให้ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คืนกลับมาหาเขาได้

ได้แต่มองดูเธอโผเข้าหาผู้อื่นราวกับไฟที่ลุกโหม

ก่อนหน้านี้ความรู้สึกนี้ยังไม่รุนแรงนัก เพราะเมื่อก่อนไม่เคยมีใครมาแก่งแย่งช่วงชิงกับเขา เขารู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนและคิดเสมอว่ายังมีเวลาอีกมากที่จะค่อยๆ เติมเต็มส่วนที่ขาดไป

แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว

เฉินเสียนดึงมือออก เมื่อเห็นหน้าเขา ในที่สุดเธอก็จำได้และถามว่า “อาการบาดเจ็บของท่านเป็นอย่างไรบ้าง”

ฉินหรูเหลียงตอบว่า “ไม่เป็นอะไรมาก หมอหลวงบอกว่าบาดแผลไม่โดนจุดสำคัญ”

เฉินเสียนพยักหน้าและเอ่ยง่ายๆ ว่า “ดีแล้ว ท่านกลับไปนอนพักผ่อนจะดีกว่า”

เฉินเสียนไม่พูดอะไรมากกว่านี้ เมื่อพูดจบเธอก็เดินเลี่ยงฉินหรูเหลียงออกไป

ฉินหรูเหลียงถามว่า “ท่านจะไปไหน”

“ไปล้างหน้าแล้วจะกลับมาต้มยา”

ฉินหรูเหลียงไม่ได้รั้งเธอไว้

ไม่นานหลังจากนั้นเฉินเสียนก็กลับมา หลังจากล้างหน้าด้วยน้ำเย็นๆ เธอก็ดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก นางกำนัลติดตามมาและนำน้ำแร่ภูเขากับเตาถ่านมาให้ใหม่ จากนั้นเฉินเสียนจึงเดินไปที่เตาและเริ่มต้มยาอีกครั้ง

เดิมทีนางกำนัลต้องการจะเข้ามาช่วย แต่เมื่อเห็นเฉินเสียนหยิบจับอย่างแคล่วคล่อง พวกนางจึงไม่มีโอกาสยื่นมือเข้ามาเลย

เครื่องปรุงยาต่างๆ ถูกวางไว้ในห้อง เธอใช้มือกะปริมาณยาตามความเหมาะสมและใส่ลงไปในน้ำ จากนั้นจึงสั่งให้นางกำนัลถอยออกไป

ฉินหรูเหลียงยังคงอยู่ที่นั่น เขายืนอยู่ตรงหน้าประตูและมองดูเฉินเสียนจัดการสิ่งต่างๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แม้ว่าความจริงเธอจะเหนื่อยมากแล้ว แต่สีหน้าของเธอกลับยังเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

หลังจากเธอทำทุกอย่างเสร็จแล้ว แสงอาทิตย์ยามเช้าก็ส่องลอดเข้ามาจากช่องหน้าต่าง ส่องพื้นห้องจนเห็นเป็นสีทองอร่าม

เมื่อเฉินเสียนกลับมารู้สึกตัว เธอถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าฉินหรูเหลียงยังอยู่ที่นี่ เธอชะงักไปนิดหนึ่งและถามอย่างแปลกใจว่า “ทำไมท่านถึงยังไม่กลับไปพักอีก”

ฉินหรูเหลียงกล่าวว่า “คนตัวโตอย่างข้ายืนอยู่ที่นี่ทั้งคน แต่ท่านกลับเพิ่งเห็นว่าข้ายังไม่กลับไปงั้นหรือ? หรือว่าในสายตาของท่านมองเห็นแค่ซูเจ๋อเพียงคนเดียวจนมองไม่เห็นใครอื่นอีกแล้ว”

เฉินเสียนไม่สนใจ

ฉินหรูเหลียงกล่าวว่า “เฉินเสียน ท่านกลับไปพักก่อนดีกว่า หากท่านไม่วางใจ ข้าจะช่วยท่านดูเขาให้เอง”

“ไม่ต้อง”

บางครั้งบางคราวก็มีกลุ่มควันลอยออกมาจากเตา เฉินเสียนกลัวว่าควันเหล่านี้จะทำให้ซูเจ๋อสำลัก ดังนั้นเธอจึงย้ายออกมาต้มที่หน้าประตู

เธอรวมกระโปรงและนั่งลงที่ขั้นบันไดหน้าประตู เฝ้าดูแสงอาทิตย์ยามเช้าและยาของซูเจ๋ออยู่เงียบๆ

การรอคอยให้ผู้ที่อยู่ในห้องฟื้นขึ้นมาวันแล้ววันเล่า คือความหวังที่สำคัญที่สุดของเธอ

เพราะมีเขาผู้นี้อยู่ในหัวใจ เธอจึงไม่เหลือที่ว่างให้สิ่งอื่นใดอีกเลย

แท้จริงแล้วความรู้สึกเช่นนี้เป็นได้ทั้งความหวานที่ซึมลึกลงไปถึงขั้วกระดูก และเป็นได้ทั้งความเจ็บปวดที่พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน

เพียงแค่หลับตา เธอก็อดนึกถึงตอนที่ซูเจ๋อใช้เลือดเนื้อของเขาเพื่อค้ำจุนเธออยู่อีกด้านหนึ่งไม่ได้ ในขณะที่เลือดออก เขายังยิ้มให้เธอพลางเอ่ยคำรักที่หวานซึ้งที่สุดในโลก

ถ้าเธอถูกลิขิตให้ตกหลุมรักคนคนนี้ ทำไมก่อนหน้านี้เธอจึงไม่กล้าหาญให้มากกว่านี้ ทำไมถึงไม่ตอบรับความรักของเขาให้เร็วกว่านี้

เธอกลัวว่าตลอดชีวิตนี้ ตนเองจะทิ้งความเสียใจไว้มากมาย กลัวว่าเพียงแค่เอ่ยถึงชื่อ ‘ซูเจ๋อ’ แล้วจะทำให้เจ็บปวดรวดร้าวราวกับเลือดเนื้อกำลังถูกเชือดเฉือน

เฉินเสียนยกมือขึ้นแตะหน้าผาก สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

แสงเงินแสงทองของรุ่งอรุณสาดส่องกระทบเสี้ยวหน้าของเธอ และมันเต็มไปด้วยความเศร้า

ฉินหรูเหลียงยังเคลื่อนไหวไม่สะดวก เขาค่อยๆ นั่งลงข้างๆ เธอ

หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟที่เห็นเธอเศร้าซึมเพราะชายอื่น

จนถึงตอนนี้ หลังจากผ่านประสบการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายครั้งนี้มา ความเป็นจริงกลับเป็นเหมือนน้ำเย็นๆ ในอ่างที่รินรดลงมาบนศีรษะ

ฉินหรูเหลียงถามว่า “เฉินเสียน เป็นไปได้ไหมที่เราจะกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง”

เนิ่นนานแล้วที่ออกมาจากเมืองหลวง มีหลายครั้งหลายคราที่เขาวนเวียนอยู่ใกล้กับความเป็นความตายและนึกถึงคนที่จวน แต่เขาพบว่าคนที่มักจะผุดขึ้นมาในใจของเขาตลอดเวลาไม่ใช่คนที่อยู่ด้วยกันกับเขาตั้งแต่เช้าจรดเย็นและคอยเอาอกเอาใจเขาอย่างหลิ่วเหมยอู่ แต่เป็นผู้หญิงหัวแข็งและกล้าหาญเด็ดเดี่ยวที่อยู่ข้างๆ เขาตอนนี้

เขาจำได้เสมอในวันที่ออกมาจากเมืองหลวง เธอยืนอยู่ท่ามกลางสายลมและเอื้อมมือมาสวมเสื้อคลุมให้เขาด้วยท่าทีที่สงบ

นั่นอาจเป็นครั้งเดียวที่เธออ่อนโยน ห่างเหิน และเย็นชากับเขา

ตั้งแต่นั้นมา ภาพเงาของเธอก็เหมือนเหล็กร้อนที่นาบลงมาในใจ ผ่านวันผ่านคืนจนค่อยๆ กลายเป็นปานสีชาด

ก่อนหน้านี้เขาทำร้ายเฉินเสียนมาโดยตลอดและไม่เคยทำดีกับเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว

เขาบอกว่าเขาต้องการปกป้องเธอ แต่ใครเล่าจะต้องการการปกป้องจากคนที่เคยทำร้ายตนเองมาตลอด

ฉินหรูเหลียงกล่าวว่า “ถ้าเป็นไปได้ ข้าจะมองความสัมพันธ์ของเราใหม่อีกครั้ง จะพยายามปฏิบัติต่อท่านและชดเชยให้ท่านอย่างดีที่สุด”

และเขาก็ยังปกป้องหลิ่วเหมยอู่ คอยประคองนางไว้ด้วยความรักความทะนุถนอมดังเช่นในอดีตได้

ทันใดนั้นฉินหรูเหลียงก็นึกถึงเรื่องราวในวัยเด็กขึ้นมา ตอนที่เฉินเสียนยังคงเป็นองค์หญิงตัวน้อยที่มีคนรักใคร่เอ็นดูมากมาย เขาเอ็นดูเธอและเคยดูแลปกป้องเธอไม่ห่างกาย

ในเวลานั้นเขานึกภาพไม่ออกว่าวันหนึ่งตนเองจะกลายมาเป็นสามีของเฉินเสียน

เขาควรจะดีใจจนแทบบ้า

แต่มันเกิดอะไรขึ้น อะไรทำให้พวกเขากลายเป็นอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้

จิตใจของเฉินเสียนสงบนิ่ง เธอบอกกับเขาอย่างเด็ดขาดว่า “เป็นไปไม่ได้ที่เราจะเริ่มต้นกันใหม่ หรือพูดอีกอย่างก็คือ เราไม่เคยเริ่มต้นมาตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก”

“เฉินเสียนในอดีตชอบท่าน ความจริงนางรักท่านมาก” เธอกล่าว “ไม่กี่วันก่อนตอนที่อยู่ในคุก ข้าฝันถึงเรื่องในวัยเด็กของนาง ท่านทะเลาะกับนางและพาหลิ่วเชียนเสวี่ยเดินจากไปโดยไม่เคยหันกลับมาอีกเลย นางร้องไห้ราวกับแมลงตัวเล็กๆ ที่น่าสงสารเมื่อนางหันกลับไปมองท่าน”

ฉินหรูเหลียงมีสีหน้าตกตะลึง

“ท่านต้องคิดแน่ๆ ว่านางดื้อรั้นและหัวแข็งขนาดนั้น คนอย่างนางคงไม่มีทางร้องไห้”

ข้าคือหงส์พันปี

ข้าคือหงส์พันปี

องค์หญิงเฉินเสียนผู้โง่เขลา ถูกไล่ออกจากจวน ถูกทำให้เสียโฉม และยังมีทารกอยู่ในท้องของเธอ! ในวันที่สามีของเธอแต่งงานกับอนุภรรยา เธอมาแสดงความยินดี จัดการกับอนุคนใหม่อย่างรุนแรง และทำให้แขกในงานต่างตกใจ อนุคนใหม่ที่คิดว่าเธอเป็นเช่นไก่ที่อ่อนแอ? แต่ไม่คิดว่าจะสามารถต่อกรกับเธอได้?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset