“ได้… ได้ ข้าจะฟังท่าน ต่อไปนี้เจ้าน่องน้อยจะใช้ชื่อว่าซูเซี่ยน” เฉินเสียนตอบ “ท่านต้องกลับมานะ เขาจะได้กลายเป็นเด็กที่มีแต่คนอิจฉา…”
เปลือกตาของซูเจ๋อตกลงจนแทบจะปิดสนิทและมีประกายของความชื้นเล็กน้อย พร้อมกันนั้นก็ถอนหายใจเล็กน้อยด้วยความเสียใจ “สุดท้ายถ้าข้าไม่อยู่ เมื่อไม่มีใครคอยปกป้องท่าน อาเสียน ท่านต้องจำไว้ ท่านต้องปกป้องตัวเองให้ได้ก่อน”
“ไม่เอานะ” เฉินเสียนส่ายหัวอย่างดื้อรั้น “ท่านไม่อยู่ไม่ได้นะ ท่านจะไม่อยู่ไม่ได้…”
“การมีชีวิตอยู่ของเจ้าน่องน้อยช่วยเบี่ยงเบนความสนใจให้ท่านได้” ดวงตาของซูเจ๋อเปียกชื้น หยดน้ำตาร่วงลงมา “ถ้าถึงคราวจำเป็นจริงๆ อาเสียน… ท่านต้องทิ้งเขา”
“ซูเจ๋อ ท่านอย่าทิ้งข้าไปได้ไหม” เฉินเสียนรู้สึกว่างเปล่า ร่างกายว่างเปล่า หัวใจว่างเปล่า แม้แต่คำพูดก็ว่างเปล่า…
ซูเจ๋อเพียงแค่เอนศีรษะพิงไหล่ของเธอโดยไม่ตอบอะไรอีก
สิ่งหนึ่งที่เฉินเสียนเสียใจมากที่สุดก็คือการที่เธอไม่ได้เปิดใจกับเขาตั้งแต่เนิ่นๆ สิ่งที่เสียดายที่สุดคือยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เธอยังไม่ได้ทำร่วมกับเขา
ก่อนหน้านี้เธอนึกเสียใจเสมอที่เธอกลายเป็นแม่คนก่อนที่จะได้พบเจอกับความรักที่แท้จริง
แต่ตอนนี้เมื่อเธอตกหลุมรักใครสักคนขึ้นมาจริงๆ จะไม่ให้โอกาสเธอได้ใช้ชีวิตร่วมกับเขาเลยหรือ
นี่มันช่างโหดร้ายกับเธอและซูเจ๋อเหลือเกิน!
เฉินเสียนเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า “ซูเจ๋อ ถ้าท่านกล้าตายละก็ ต่อจากนี้ข้าจะเลี้ยงดูนายบำเรอเยอะๆ เลยคอยดู ข้าจะทำให้ท่านเป็นได้แค่ผีขี้อิจฉา”
ตอนแรกเธอคิดว่าซูเจ๋อจะไม่ตอบอะไรอีก แต่อยู่ๆ เขาก็เอ่ยออกมาอย่างอ่อนแรงว่า “ถ้าท่านกล้าทำอย่างนั้น ข้าจะคลานขึ้นไปรบกวนท่านทุกคืน”
เฉินเสียนยิ้มทั้งน้ำตา พอยิ้มแล้วก็สะอึกสะอื้นขึ้นมาอีกครั้ง
แม่ทัพใหญ่แห่งเย่เหลียงรีบนำกำลังขึ้นมาบนภูเขาทันทีที่รู้ว่าพวกเขาถูกโจมตีระหว่างทาง
เมื่อพวกเขามาพบจุดที่มีกองหินกองหญ้าระเกะระกะก็เห็นว่าทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยก้อนหินที่กลิ้งตกลงมาจากบนภูเขา มีศพของนักฆ่าถูกบดทับอยู่ใต้ก้อนหิน บนพื้นเต็มไปด้วยคราบเลือด และมันซ่อนร่องรอยของการต่อสู้อันดุเดือดไว้ไม่มิด
เมื่อแม่ทัพใหญ่แห่งเย่เหลียงมองไปจนทั่วแล้วยังไม่เห็นซูเจ๋อกับเฉินเสียน เขาจึงออกคำสั่งให้รื้อก้อนหินทั้งหมดออกไป
ในจำนวนนั้นมีก้อนหินขนาดยักษ์ที่สะดุดตาที่สุดกดทับลงมา โดยมีเศษหินนับไม่ถ้วนสุมอยู่รอบๆ เป็นกองพะเนิน
ทหารของเย่เหลียงขนย้ายก้อนหินเหล่านั้นออกไปทีละก้อนๆ เมื่อมองทะลุผ่านรอยแตกเข้าไปจึงเห็นรางๆ ว่ามีคนอยู่ในนั้น จากนั้นจึงตะโกนไปว่า “ยังมีคนอยู่ข้างใน!”
ด้วยเหตุนี้ทหารทุกคนรวมถึงแม่ทัพใหญ่จึงช่วยกันงัดก้อนหินที่กองสุมอยู่ตรงนั้นออกไป
ในที่สุดก้อนหินที่ติดอยู่ก็เริ่มคลายออก แสงสว่างจากด้านบนค่อยๆ ส่องเข้าไปในซอกหินที่หลุดออกมา
เมื่อทุกคนเคลื่อนย้ายก้อนหินออกไปได้แล้ว พวกเขาก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น
ร่างที่เป็นสีเทาสลัวของคนสองคนโอบกอดกันแน่นอยู่ใต้ก้อนหินขนาดยักษ์ คนหนึ่งใช้ร่างยันก้อนหินไว้เพื่อแสวงหามุมสงบให้เธอ ส่วนอีกคนแอบอิงอยู่ในอ้อมแขนของเขา ใช้สองมือดันก้อนหินที่อยู่ข้างหลังเอาไว้เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระที่เขาต้องแบกรับ
ไม่รู้ว่าพวกเขาประคับประคองกันอยู่เช่นนี้มานานแค่ไหนแล้ว แม้ว่าจะมีคนมาช่วย แต่ก็ไม่เห็นว่าพวกเขาจะมีปฏิกิริยาใดๆ
แม่ทัพใหญ่แห่งเย่เหลียงจำได้ว่าชายและหญิงคู่นี้เป็นองค์หญิงและทูตแห่งต้าฉู่
แม่ทัพใหญ่ไม่กล้าชักช้า เขารีบเรียกทุกคนมารวมตัวกันเพื่อช่วยกันออกแรงย้ายก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนนี้ออกไป
ด้วยคำสั่งนี้ ทุกคนจึงออกแรงพร้อมกัน พวกสูดลมหายใจเข้าก่อนจะฝืนยกก้อนหินขึ้นทีละน้อย
ในที่สุดซูเจ๋อที่ยันอยู่ข้างใต้ก็ค่อยคลายแรงและล้มตัวมาทางเฉินเสียนอย่างเงียบๆ
เฉินเสียนกอดเขาไว้เต็มอ้อมแขน ร่างกายของเธอค่อยๆ ฟื้นตัวจากอาการชา เมื่อเห็นว่าน้ำหนักที่ทับทาบลงมาในอ้อมกอดคือซูเจ๋อและบนร่างกายของเขามีเลือด อีกทั้งบนมือของเธอยังเต็มไปด้วยเลือดของเขา ความเจ็บปวดแทบขาดใจก็จู่โจมเข้ามาทั่วทั้งกายา
เธอเอ่ยทั้งน้ำตาว่า “ซูเจ๋อ ท่านต้องจำเอาไว้ ขาข้างที่เหยียบเข้าไปในดินแดนหลังความตายนั่น ท่านต้องถอนมันคืนกลับมาหาข้า!”
มีความรักความห่วงใยและความโศกเศร้าที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าปกคลุมอยู่ระหว่างเธอกับซูเจ๋อ
เพียงแต่ไม่มีเวลาให้แปลกใจ แม่ทัพใหญ่รีบแบกซูเจ๋อขึ้นหลังและลงไปจากภูเขาอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว ข้ามสะพานแขวนและตรงกลับไปยังพระราชวัง
ภายในราชนิเวศน์มีหมอหลวงอยู่และจะช่วยรักษาเขาได้อย่างเต็มที่
เฉินเสียนกลับไปยังราชนิเวศน์ซึ่งเธอเพิ่งจากไปเมื่อตอนเช้าอีกครั้งในขณะที่ยังอยู่ในอาการมึนงง
เธอได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย มีรอยถลอกที่เห็นได้ชัดบนแขนและข้อต่อนิ้ว นอกจากนี้ยังมีบาดแผลจากคมดาบอีกเล็กน้อย หลังจากล้างทำความสะอาดแผลเสร็จแล้ว นางกำนัลก็นำยาชั้นดีเข้ามาให้เธอ
เธอสะบัดตัวหนีจากนางกำนัลและเดินโซซัดโซเซออกไปข้างนอก เธอคว้าตัวใครคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ แล้วถามว่า “ซูเจ๋ออยู่ไหน”
คนที่เธอคว้าตัวไว้นั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นองค์ชายหกที่เคยเจอกันเมื่อสองวันก่อน
องค์ชายหกแอบประหลาดใจเมื่อเผชิญหน้ากับแววตาที่แทบจะกินเลือดกินเนื้อของเฉินเสียน เขายกนิ้วชี้ไปทางหนึ่งช้าๆ
จากนั้นเฉินเสียนก็ปล่อยเขาและวิ่งไปทางนั้นอย่างคนอกสั่นขวัญหาย
องค์ชายหกหันกลับไปมองแผ่นหลังของเธอ ช่างดูแตกต่างจากความใสซื่อไร้เดียงสาก่อนหน้านั้นเหลือเกิน ทว่ากลับเผยให้เห็นอารมณ์บางอย่างที่น่าสนใจ
องค์หญิงจิ้งเสียนผู้นี้ดูเหมือนจะห่วงใยทูตแห่งต้าฉู่ที่มาพร้อมกับเธอมากเกินไปหน่อย
ซูเจ๋อยังคงอาศัยอยู่ในเรือนหลังเดิม ซึ่งในขณะนี้มีหมอหลวงอยู่รายล้อมรอบตัวเขา
เฉินเสียนยืนอยู่ที่ประตูหน้าห้องราวกับคนที่ถูกสูบเรี่ยวแรงไปจนหมด
เมื่อเห็นร่างของชายหนุ่มซึ่งนอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าที่ขาวซีดไร้สีเลือดท่ามกลางผู้คนมากมาย เธอก็แทบหมดความกล้าที่ก้าวเข้าไป
ดวงตาของเขาปิดสนิท ผิวของเขากลายเป็นสีขาวจนแทบจะโปร่งใส บนใบหน้าด้านข้างมีรอยถลอกอยู่เล็กน้อยและปรากฏให้เห็นรอยเลือดสีแดง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นสีสันเพียงอย่างเดียวที่ปรากฏอยู่บนร่างกายของเขา
อาการบาดเจ็บที่หลังของซูเจ๋อรุนแรงมาก ทว่าเขาแบกรับน้ำหนักไว้ตั้งนานขนาดนั้น อาการบาดเจ็บเท่านี้ยังถือว่าเบานัก แผ่นหลังของเขาแบกรับน้ำหนักไว้มากเกินไปจนทำให้กระดูกซี่โครงที่หน้าอกของเขาหักสองซี่
ในสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนั้น ซูเจ๋อได้แต่กัดฟันทนและใช้พละกำลังทั้งหมดที่มี ต้องกล้ำกลืนฝืนทนแม้ว่าตนเองจะกระอักเลือด
อาการบาดเจ็บของเขาไม่ได้มีเพียงแค่บาดแผลภายนอก แต่ปอดก็อาจจะได้รับบาดเจ็บไปด้วย
ทว่าอาการที่น่าเป็นห่วงในขณะนี้คือบาดแผลที่รุนแรงภายนอกซึ่งอาจทำให้เขาเสียชีวิตได้
หมอหลวงจัดการกับบาดแผลพลางถอนใจ เขาส่ายหน้าและพูดถึงเรื่องนี้
ทันใดนั้น เสียงใครบางคนก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง “ข้าช่วยเอง”
ขณะที่หมอหลวงหันกลับไปมอง พวกเขาก็ถูกเฉินเสียนผลักออกไป เธอนั่งยองๆ ลงที่ข้างเตียงของซูเจ๋อ จับมือที่เย็นเยียบของเขาขึ้นมาและวางนิ้วลงบนจุดชีพจร
ชีพจรของเขาอ่อนมาก
หมอหลวงจำเธอได้และกล่าวว่า “องค์หญิงจิ้งเสียนควรกลับไปพักผ่อนก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะพยายามรักษาท่านทูตอย่างสุดความสามารถ”
“ข้าบอกว่าให้ข้าทำไงละ”
เฉินเสียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามสงบสติอารมณ์จากความเศร้าและความเจ็บปวด เธอเอื้อมมือไปที่ใต้หน้าอกของซูเจ๋อ ใช้นิ้วสัมผัสไปทั่วบริเวณซี่โครงที่แตกหักของเขา
เธอรู้สึกขอบคุณผู้ที่สอนทักษะทางการแพทย์แก่เธอเป็นอย่างมาก เพราะมันทำให้เธอจัดการกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย
ดูเหมือนคนที่สอนวิชาแพทย์ให้เธอจะสอนวิธีการจัดการกับกระดูกที่หักให้ด้วย
เฉินเสียนดีใจมาก โชคดีจริงๆ โชคดีที่เฉินเสียนคนก่อนเคยร่ำเรียนมา
เธอยึดซี่โครงของซูเจ๋อกลับเข้าที่ หลังจากนั้นจึงพันไว้ให้คงรูปด้วยผ้าพันแผล
เมื่อพลิกตัวซูเจ๋อและเห็นบาดแผลที่หลังของเขาด้วยตาของตนเอง นัยน์ตาของเธอก็แดงก่ำ เธอกลืนก้อนสะอึกลงคอและถามหมอหลวงว่า “มีดินสอกับกระดาษไหม”