สายตาของฉินหรูเหลียงจ้องมองเธออยู่ตลอดเวลา เขาพูดขึ้นว่า : “การเจรจาสันติภาพได้เจรจาเงื่อนไขอะไรบ้าง?”
“อาณาจักรต้าฉู่ยกสามคูเมืองให้กับ อาณาจักรเย่เหลียง สองอาณาจักรพักศึก อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข”
ฉินหรูเหลียงคิดไม่ถึงเลย เขาแทบไม่อยากจะเชื่อ : “อาณาจักรเย่เหลียงจะยินยอมได้อย่างไร อย่าว่าแต่ข้าไม่เชื่อเลย กลับถึงเมืองหลวงแล้ว แม้แต่ฝ่าบาทเองก็ไม่ทรงเชื่อเหมือนกัน”
เฉินเสียนมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า : “อาณาจักรเย่เหลียงต้องการห้าคูเมือง แต่อาณาจักรต้าฉู่ยินยอมให้แค่สามคูเมืองเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงได้โยนปัญหานี้ให้กับใต้เท้าซูไปจัดการ และตอนนี้ใต้เท้าซูก็ได้ใช้สามคูเมืองในการต่อรองเจรจาสันติภาพของทั้งสองอาณาจักรได้สำเร็จ ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้คนอื่นพึงพอใจอีกหรือ?”
ฉินหรูเหลียงจึงพูดขึ้นว่า : “ฝ่าบาทไม่เคยพึงพอพระทัยในตัวเขาเสมอ”
ยาที่ใสจนเห็นถึงก้นถ้วย เฉินเสียนวางถ้วยยาลงและกำลังจะลุกขึ้น ฉินหรูเหลียงกลับเอื้อมมือมารั้งข้อมือของเธอไว้
เฉินเสียนหรี่ตาลง พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา : “ทำไม?”
ฉินหรูเหลียงพูดขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า : “ท่านอย่าอยู่กับเขาได้หรือไม่?”
เฉินเสียนไม่ได้ตอบอะไร สายตาของเธอจับจ้องไปยังมือของเขาที่จับข้อมือของเธออยู่ มือที่ผอมแห้งและดูไร้เรี่ยวแรงนั่น เธอขมวดคิ้ว แล้วจึงเลิกคิ้วขึ้นสูงพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ไม่ให้ข้าอยู่กับเขา แล้วจะให้ข้าอยู่กับท่านหรือไง? ท่านจะปกป้องข้าหรือ?”
ฉินหรูเหลียงเงียบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบกลับอย่างจริงจังว่า : “วันข้างหน้า ข้าจะปกป้องท่านอย่างสุดความสามารถเท่าที่ข้าจะทำได้”
เฉินเสียนได้ยินแล้วเหมือนว่ากำลังฟังเรื่องตลกขำขัน เธอฉีกยิ้มขึ้นที่มุมปากแล้วพูดขึ้นว่า : “ฉินหรูเหลียง ถ้าหากว่าข้ากับหลิ่วเหมยอู่กำลังเผชิญหน้ากับความอันตราย และท่านก็สามารถช่วยได้แค่คนเดียวเท่านั้น ท่านมั่นใจหรือเปล่าว่าท่านจะปกป้องนางหรือปกป้องข้า?”
ฉินหรูเหลียงนิ่งเงียบไป และลังเลใจในที่สุด
อาจเป็นเพราะการที่เขามีความลังเล เขาจึงเป็นฉินหรูเหลียงคนนี้กระมัง
เฉินเสียนไม่ได้รู้สึกว่าการลังเลของเขาเป็นสิ่งที่ไม่ควร ถ้าหากเขาพูดว่าจะปกป้องเธอโดยที่ไม่ลังเลเลยสักนิด เธออาจจะรู้สึกผิดหวังด้วยซ้ำไป
เฉินเสียนพูดขึ้นว่า : “ไม่ต้องรอฟังคำตอบของท่าน ข้าก็พอจะรู้คำตอบ และยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้แขนของท่านก็อยู่ในสภาพที่ใช้การไม่ได้ จะปกป้องผู้อื่นได้ยังไงกัน? ท่านปกป้องแค่ตัวท่านให้ดีก็ไม่เลวแล้วล่ะ”
คำพูดของเธอทิ่มแทงไปยังความรู้สึกของฉินหรูเหลียง
ทำให้ฉินหรูเหลียงตระหนักถึงการสัมผัสนี้ขึ้นมา เขารีบปล่อยมือของเฉินเสียนเป็นอันดับแรก แล้วรีบชักแขนข้างขวากลับมา
ข้อมือข้างขวาของเขามีแผลฉกรรจ์ขนาดใหญ่ และรอยแผลเป็นนั้นก็ยังใหม่อยู่
เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “พวกเขาตัดเส้นเอ็นมือด้านขวาของท่านหรือ?”
ฉินหรูเหลียงหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยความขมขื่น : “หลังจากที่เห็นแขนข้างซ้ายของข้าถูกตัดเส้นเอ็นตั้งแต่นั้นเนิ่นๆ พวกเขาจึงตัดเส้นเอ็นแขนข้างขวาข้าด้วย”
ในขณะที่ฉินหรูเหลียงถูกคุมขังอยู่ในคุกนั้น เขาได้ดูถูกและละทิ้งในตัวเองไปแล้ว เพราะเขารู้สึกว่าตัวเขาเองเป็นแค่คนพิการคนหนึ่ง ถูกปล่อยตัวไปก็เท่านั้น มีแต่จะทำให้อาณาจักรต้าฉู่ต้องพลอยอับอายไปด้วย ชีวิตที่เหลืออยู่อาจจะไม่สามารถถือดาบได้ตลอดชีวิต
ตอนนี้หมอหลวงในวังกำลังรักษาบาดแผลภายนอกของฉินหรูเหลียง ส่วนเส้นเอ็นแขนที่ถูกตัดขาดไปนั้น ยากที่จะต่อกลับได้
ฉินหรูเหลียงพูดขึ้นว่า : “ไม่ว่ายังไงก็ต้องชดใช้อยู่ดี เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับท่าน มันเป็นสิ่งที่ข้าสมควรจะโดน”
เฉินเสียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย : “ข้าไม่ได้โทษตัวเองเสียหน่อย ถ้าหากให้ท่านเลือกใหม่อีกครั้ง ตอนที่หลิ่วเหมยอู่โดนพิษ ท่านก็ยังเลือกที่จะไม่สนชีวิตข้ากับลูกในท้อง และก็จะใช้รกของข้าเพื่อจะนำไปช่วยชีวิตนาง ส่วนข้าก็ยังเลือกที่จะให้แขนท่านพิการอยู่ดี”
“ข้ารู้” ฉินหรูเหลียงพยักหน้าเบาๆ : “ด้วยเหตุนี้ข้าจึงได้แต่โทษตัวเองเสมอมา”
เฉินเสียนหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “รอกลับเมืองหลวงแล้ว ข้าจะทำให้ท่านได้รู้ ว่าการทำยาถอนพิษสั่วเชียนโหวนั้น สรุปแล้วต้องใช้รกของมนุษย์หรือไม่”
ฉินหรูเหลียงเงียบไป
เฉินเสียนลุกขึ้น หมุนตัวแล้วหันออกไปด้านนอก พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ท่านพักผ่อนเถอะ”
ฉินหรูเหลียงเงยหน้าขึ้น ก็เห็นซูเจ๋อมายืนรออยู่ที่นอกประตูแล้ว
เมื่อเฉินเสียนออกไปแล้ว ซูเจ๋อได้ทอดสายตามองเข้ามาในห้องอยู่ครู่หนึ่ง แววตาของเขาลุ่มลึก นัยน์ตาขาวดำแบ่งแยกชัดเจน เขาหยุดสายตาไว้ที่ฉินหรูเหลียงเพียงครู่เดียว
ตอนที่องค์จักรพรรดิเย่เหลียงจะทรงลงโทษองค์ชายหกนั้น พระองค์ได้เชื้อเชิญเฉินเสียนกับซูเจ๋อมาด้วย
ตอนนั้นองค์ชายหกคุกเข่าอยู่กับพื้น ราวกับว่าพึ่งร้องไห้มา น้ำตาคลอเบ้า ดูแล้วน่าสงสารจับใจ
องค์จักรพรรดิเย่เหลียงยังทรงตรัสขึ้นด้วยความพิโรธ : “ข้าให้เจ้าพาองค์หญิงจิ้งเสียนไปเที่ยวรอบๆ องค์หญิงจิ้งเสียนยังไม่ทันตื่น แต่เจ้ากล้ามาก บังอาจเข้าไปในห้องนอนขององค์หญิง! ตอนนี้องค์หญิงก็อยู่ที่นี่ด้วย ข้าจะลงโทษเจ้าต่อหน้าองค์หญิง ไม่อย่างงั้นก็เรียกข้าว่าจักรพรรดิเย่เหลียงไร้ขนบธรรมเนียมได้เลย!”
องค์จักรพรรดิทรงตรัสต่อไปว่า : “ใครก็ได้ จับตัวไปองค์ชายหกไปโบยยี่สิบไม้”
“เสด็จพ่อ ลูกสำนึกผิดแล้ว!”
เฉินเสียนที่พึ่งออกมาจากฉินหรูเหลียง อารมณ์จึงไม่ค่อยดี ในเมื่อองค์จักรพรรดิเชื้อเชิญให้เธอมาดู งั้นเธอก็คงจะต้องตั้งใจดูดีๆ แล้วล่ะ
องค์จักรพรรดิเย่เหลียงหวังว่าเธอจะมาห้ามปรามยับยั้งได้ทันท่วงที แต่น่าเสียดายแต่ต้นจนจบเฉินเสียนกลับนั่งเป็นทองไม่รู้ร้อน และไม่ได้ออกปากห้ามปรามเลยแม้แต่คำเดียว
องค์ชายหกที่ใสซื่อไร้เดียงสาจึงถูกโบยจนครบยี่สิบไม้
นางกำนัลเองไม่ได้เบามือเลยสักนิด เฉินเสียนเองก็ไม่มีกะจิตกะใจจะไปสนใจอะไรมาก แต่องค์ชายหกนี้ไม่ได้ร้องขอให้องค์จักรพรรดิมารักและเอ็นดู และไม่ได้สนใจว่าจะถูกพามาที่ราชนิเวศน์หรือไม่ องค์จักรพรรดิไม่สามารถสั่งให้องค์ชายหกพาเฉินเสียนเที่ยวชมรอบวังได้
เพราะฉะนั้นเรื่องแบบนี้ ก็สมควรโดนลงโทษแล้ว สุดแล้วแต่พวกเขาก็แล้วกัน
เมื่อองค์จักรพรรดิเย่เหลียงเสด็จออกไปแล้ว องค์ชายหกก็กุมก้นไว้ค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล อารมณ์ภายใต้จิตใจของเขาก็ปรากฏขึ้นบนมาหน้า ช่างเป็นภาพที่ยอดเยี่ยมเสียจริง เขาที่เจ็บจนร้องไห้ พูดขึ้นด้วยความโมโหและเสียใจว่า : “ทำไมท่านถึงไม่ช่วยข้า?”
“มันเป็นเรื่องของบ้านเจ้า ทำไมข้าต้องช่วยเจ้าด้วย?”
“ถ้าเกิดท่านยอมช่วยข้า เสด็จพ่อก็คงจะไม่ลงมือหนักขนาดนี้ ตอนนี้ข้าถูกโบยแล้ว จะพาท่านเที่ยวได้ยังไง?”
เฉินเสียนหรี่ตาลง พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ครั้งหน้าถ้าข้ายังเห็นว่าเจ้าเข้าห้องของข้าอีก เจ้าก็จะถูกลงโทษอีก ครั้งหน้าจะไม่ใช่แค่ตีก้นของเจ้า แต่จะตีแก้มกลมๆ ของเจ้าด้วย”
องค์ชายหกจ้องตาเขม็ง พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ท่านมันคนใจร้าย!”
เฉินเสียนหัวเราะพลางมองท่าเดินที่กะโผลกกะเผลกของเขาที่ค่อยๆ เดินจากไป
ถึงแม้ว่าจะไม่มีองค์ชายหกนั้นเป็นคนนำเที่ยว องค์จักรพรรดิเย่เหลียงก็ได้ทรงรับเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่เฉินเสียนและซูเจ๋อจะกลับไป ยกเว้นที่ประทับส่วนพระองค์ในราชนิเวศน์แล้ว นอกนั้นพื้นที่อื่นก็สามารถเที่ยวชมได้ตามอำเภอใจ
เข้าสู่พลบค่ำ ซูเจ๋อพาเฉินเสียนเดินข้ามสะพานคูน้ำธรรมชาติ ทั้งคู่ค่อยๆ เดินช้าๆ ข้ามไปยังฝั่งตรงข้าม
ค่อยๆ เดินขึ้นเนินเขาทางฝั่งตรงข้าม ตรงขึ้นสู่ยอดสูงสุดของเทือกเขาหิมะ ชื่นชมวิวทิวทัศน์ตลอดทางเดินที่ทอดยาวนั่น
ยิ่งขึ้นสูงก็ยิ่งรู้สึกหนาวขึ้นเรื่อยๆ
บนเทือกแห่งเขานี้ สามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของทั้งสี่ฤดูกาลได้อย่างชัดเจน
หิมะที่ไม่มีวันละลายบนยอดเขานั่น ได้ชมหิมะในช่วงคิมหันตฤดูเข้าสู่สารทฤดูแบบนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ดี
ในที่สุดเฉินเสียนและซูเจ๋อก็ขึ้นมาจนถึงยอดเขา พอดีกับช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์อัสดง สาดส่องย้อมหิมะที่ขาวสะอาดทั้งภูเขาจนกลายเป็นสีแดงทอง สวยสดงดงามจรรโลงใจ
เฉินเสียนสูดลมหายใจเข้าลึก
อากาศที่ค่อนข้างเย็นจัด
เธอถามขึ้นว่า : “ซูเจ๋อ พาข้ามาที่นี่ทำไม?”
“ชมวิวทิวทัศน์” เขาพูดขึ้นอย่างกระจ่างชัด : “อาเสียน ฉินหรูเหลียงทำทานไม่สบายใจหรือ? ท่านเป็นห่วงเขา?”
เฉินเสียนจึงถามขึ้นว่า : “ข้าไม่ควรเป็นห่วงเขาหรือ? หรือบางทีก็ไม่ควรห่วงกระมัง”
เธอนั่งลงบนเทือกเขาที่หนาวเหน็บ หรี่ตาลงทอดมองพระอาทิตย์อัสดงที่ไกลโพ้น
สีสันของแสงอาทิตย์อัสดงน่าหลงใหล แต่แสงที่กระทบลงบนผิวหน้ากลับไร้ซึ่งความอบอุ่น
เวลาเฉินเสียนเจอหน้ากับฉินหรูเหลียง เธอก็มักจะหวนนึกถึงเรื่องบางเรื่อง เด็กหนุ่มคิ้วเข้มดวงตากลมโตภายใต้แสงแดดนั่น และใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ภาพที่เขาส่งมอบผลแอพริคอตให้เธอกิน