สิ้นเสียงมือที่เอวแน่นขึ้นราวกับห่วงเหล็ก
“ข้าไม่ควรให้ท่านไปกระตุ้นความทะเยอทะยานเขา”
เฉินเสียนยิ้มไร้สุ้มเสียง แต่กลับมีความขมฝาดแผ่ซ่านออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ กล่าวว่า “ข้าทำได้ดีมิใช่หรือ?ข้าสำเร็จแล้ว”
เพียงแต่สิ่งที่เธอไม่รู้คือ ยามที่เธอโยนตบต่อหน้าต่อตาซูเจ๋อ เขาต้องทนมองเธอโดยไม่อาจช่วยเธอได้ ยามนั้นแรงมารในหัวใจเขาขยายตัวถึงขีดสุดแล้ว
รู้สึกเจ็บปวดจนกลืนกินเขาได้เลย
แต่ไหนแต่ไรความอดกลั้นต่อความขมขื่นกลายการบดบังและความคุ้นชินที่ดีที่สุดของเขา
ทว่าทุกฉากทุกตอนในราตรีนี้ ช่างเหมือนฝันร้าย ซึ่งเขาถูกฝันร้ายทาบทับร่างจนไม่อาจเคลื่อนไหวได้
ซูเจ๋อกล่าวเสียงต่ำ “เป็นความผิดข้าเอง”
เฉินเสียนกล่าวอย่างสงบ “อยากได้อะไรต้องลงทุนเสียหน่อย สิ่งที่แลกมาในคืนนี้ถือว่าน้อยมาก ท่านวางใจเถอะ ข้าปลงกว่าใครอื่น”
“เช่นนั้นเหตุใดท่านจึงไม่มองข้าเลย”
ซูเจ๋อยกนิ้วเตรียมไปจับรอยบวมช้ำของเฉินเสียน ทว่าเฉินเสียนกลับหลบไปเสีย มือของเขาค้างอยู่กลางอากาศ
เฉินเสียนกล่าว “ข้าไม่ได้คิดอย่างอื่น เพียงแค่ไม่อยากให้ท่านมองข้าในสภาพน่าเวทนาเช่นนี้”
“ขอเพียงท่านมองไม่เห็น สัมผัสไม่โดน หัวใจท่านจะได้รู้สึกดีหน่อย ข้าก็ด้วย”เฉินเสียนจงใจทำท่าทางเบาใจ
“ยามที่เฉินเสียนแต่งเข้าจวนแม่ทัพ มันอนาถกว่านี้มากเลย ตอนนั้นท่านก็มองไม่เห็นเช่นกันไม่ใช่หรือ?”
เวลานี้เฮ่อโยวตื่นขึ้นมา จากนั้นก็ก้าวออกจากห้องอย่างสะลึมสะลือ โดยที่ไม่รู้ว่ากี่ชั่วยามแล้ว พลางบ่นพึมพำว่า “ทำไมฟ้ามืดแล้วล่ะ ไม่รู้จักปลุกข้าเลย”
เมื่อก้าวข้ามธรณีประตู เขาเงยหน้าพลันเห็นมีบุคคลสองคนกำลังสวมกอดกันอยู่ในลานบ้าน สมองลืมตอบสนองไปชั่วขณะ
เสียงทุ้มต่ำของซูเจ๋อแว่วเข้ามา “เข้าไป”
“ออ”เฮ่อโยวหันหน้าไปยังห้องนอน ทว่าเมื่อยกเท้าก็รู้สึกชอบกล “เอ๋ ไยข้าต้องเข้าไปตามที่ท่านบอกด้วย?ท่านบัณฑิตรู้ตัวว่าทำอะไรอยู่หรือไม่ ยังไม่รีบปล่อยเฉินเสียนอีก”
ซูเจ๋อเงยหน้าขึ้นจากบ่าเฉินเสียน ฉายประกายความเย็นยะเยือกในแววตา ทำให้เฮ่อโยวสยดสยองยิ่งนัก เขานึกถึงภาพซูเจ๋อสังหารคนใต้แสงจันทราโดยไม่กะพริบตาสักครั้ง
เฮ่อโยวถอยหลังไปทางห้องนอนสองก้าว
ได้ยินซูเจ๋อเอ่ยด้วยมาดโอ่อ่าผสมปะปนกับเผด็จการอย่างเย่อหยิ่ง “ข้าจะกอดนาง เจ้าอยากคัดค้านหรือ?”
เฮ่อโยวเศร้ากับชีวิต เขาจะกล้าคัดค้านได้อย่างไร เอ่ยว่า “ใครอยากคัดค้านกัน ข้า ข้าแค่รู้สึกว่าแบบนี้ไม่งาม”
“ข้ากลับรู้สึกว่าดีมาก” ซูเจ๋อหรี่ตา “ปิดประตู”
เฮ่อโยวเปล่งเสียงครวญครางอย่างหงุดหงิด “ปิดก็ปิด ใครกลัวใคร” พูดจบพลันเกิดเสียงปิดประตู ปัง!
หลังเฮ่อโยวออกมาปั่นป่วน เฉินเสียนก็หัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ความรู้สึกท้อแท้หมดอาลัยตายอยากก็มลายหายไปกว่าครึ่ง
เธอกล่าว “ท่านปล่อยข้าเถอะ ข้าจะไปล้างกายเสียหน่อย”
น้ำเสียงซูเจ๋อไม่เหลือความเย็นเยียบแล้ว กล่าวกับเฉินเสียน “ยังเจ็บอยู่ไหม?”
เฉินเสียนเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ตอนแรกก็เจ็บอยู่ ตอนนี้ดีขึ้นเยอะแล้ว ใช้การถูกตบหนึ่งฝ่ามือแลกกับชีวิตจ้าวเทียนฉี คุ้มมาก”
“อาเสียน วันหลังข้าไม่ให้ท่านทำเรื่องเลวทรามด้วยกันแล้ว”
เฉินเสียนกล่าว “ไม่ อย่างนี้แหละสะใจดี”
เฮ่อโยวบ่นอุบอิบอยู่ในห้อง “พวกท่านกอดหนำใจหรือยัง ข้าจะฉี่”
ซูเจ๋อคลายมือออกจากเฉินเสียน พลางพูดเสียงเบา “วันรุ่งมีศีรษะแขวนอยู่เหนือกำแพงเมืองจะยิ่งสะใจกว่า ท่านจะล้างกายมิใช่รึ เข้าไปเถอะ ข้าจะตักน้ำให้ท่าน”
เฉินเสียนผละจากอ้อนกอดเขา แล้วหันหลังเดินไปยังห้องนอนพร้อมกับเอ่ยว่า “เรื่องคืนนี้ ท่านลืมเสียเถอะ ไม่งั้นจะทำให้ท่านรู้สึกว่าตัวเองเสียหน้า”
“ได้ ข้าจะลืม”
เนื่องจากไม่มีฝนตกติดต่อกันหลายเดือน ดังนั้นน้ำที่สามารถกักเก็บในเมืองได้จึงมีกำจัด
ซูเจ๋อยกมาเพียงครึ่งถังเท่านั้น ซึ่งต้มให้อุ่นก่อนจะส่งเข้าห้องของเฉินเสียน
เธอถอดอาภรณ์ชำระล้างคร่าวๆ คราบต่างๆพลันจางหายจากเรือนร่าง
เพียงแต่เธอไม่คิดจะออกจากห้องอีก อยากนอนติดเตียงอยู่อย่างนั้น
ไม่นานก็ได้ยินเสียงเคาะประตู เฉินเสียนขี้เกียจขานรับเหลือหลาย
ซูเจ๋อยืนตะโกนอยู่ด้านนอก “อาบเสร็จหรือยัง?”
เห็นเฉินเสียนไม่ตอบ เขาก็ยืนเร่งเฉินเสียนให้ตอบอยู่หน้าประตูอย่างไม่ลดละ “ยัง ท่านกลับไปนอนเถอะ ไม่ต้องสนใจข้า”
ซูเจ๋อถาม “น้ำครึ่งถังจำเป็นต้องอาบนานเช่นนี้ไหม?”
เฉินเสียนเงียบก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าเหนื่อยแล้ว อาบเสร็จจะพักผ่อน”
“ประคบน้ำแข็งตรงแผลก่อนแล้วค่อยพักผ่อน ต้องลดอาการบวมแต่เนิ่นๆ” ซูเจ๋อกล่าว “หากไม่อยากออกมา ข้าเข้าไปก็ได้”
ซูเจ๋อยืนรออยู่ด้านนอกสักพัก เห็นเฉินเสียนไม่มีทีท่าใดๆจึงยกมือเตรียมผลักประตู สำหรับเขาแค่เพียงใช้แรงเล็กน้อยก็สามารถพังตัวล็อคประตูได้อย่างสบายๆ ไม่ได้หนักหนาสาหัสเลย
พึ่งเตรียมทำท่า เฉินเสียนก็รีบลงจากเตียงแล้วเปิดประตูโดยไว
ชั่วอึดใจเดียวก็ไร้สุ้มเสียง
มุมปากเฉินเสียนบวมบ้างแล้ว เธอรู้ว่าสภาพตัวเองในยามนี้ย่ำแย่เพียงใด จึงไม่มองสีหน้าซูเจ๋อเลย แค่เอื้อมมือกล่าวว่า “น้ำแข็งล่ะ ข้าจะประคบเอง”
ซูเจ๋อมองใบหน้าด้านข้างของเธอด้วยแววตายากจะหยั่งถึง เขาอยากไปจับดู แต่ข่มกลั้นความรู้สึกอย่างสุดพลัง พลางเอ่ยปากพูด “ข้านำน้ำแข็งมาเอง ท่านอยากประคบเองก็ไปหาน้ำแข็งเองสิ”
เฉินเสียนได้ยินก็หงุดหงิด “คนถูกตบคือข้า ท่านตามใจข้าหน่อยไม่ได้หรือ?”
ซูเจ๋อกล่าวด้วยความจริงจัง “ท่านโดนตบเพราะเชื่อคำข้า ข้าควรรับผิดชอบ”
“ข้าอยากอยู่คนเดียว”
“เช่นนั้นจะคิดฟุ้งซ่านง่าย ข้าไม่ให้ท่านมีโอกาสนั้น”
เฉินเสียนกล่าว “ท่านเอ่ยตรงขนาดนี้ ข้ายังมีทางเลือกอีกหรือ?”
ซูเจ๋อจึงกล่าวว่า “ท่านยังเลือกได้ว่าจะประคบในห้องหรือนอกห้อง”
เฉินเสียนยังไม่อยากอยู่กับซูเจ๋อในห้องตามลำพัง จึงเดินผ่านเขาไปยังด้านนอก
ทั้งสองนั่งตรงระเบียงด้านหน้าประตู
ซูเจ๋อขยับเข้าใกล้เล็กน้อย มือข้างหนึ่งจับคางเฉินเสียนขึ้น ส่วนอีกข้างก็ใช้น้ำแข็งที่มีผ้าหุ้มไว้ค่อยประคบบริเวณใบหน้าด้านข้างและมุมปากของเธอ
เฉินเสียนหลุบสายตามองมือเรียวยาวของเขาที่กำลังเคลื่อนไหวไปมา
ลมหายใจแผ่วเบาประหนึ่งขนปักษาของซูเจ๋อสัมผัสใบหน้าเธอ
เขาประคบน้ำแข็งอย่างอ่อนโยนและจดจ่อ
สุดท้ายเธอจำต้องช้อนตามองใบหน้าเขา
เฉินเสียนกล่าวเสียงเบา “ซูเจ๋อ ข้าไม่อยากให้ท่านโทษตัวเอง”
ซูเจ๋อหยุดการกระทำ
“ทุกชีวิตย่อมถูกการโดนทำร้ายเป็นพลังขับเคลื่อนให้ก้าวเดินสู่ความสำเร็จอย่างเข้มแข็งกันเล่า” เฉินเสียนกล่าว “ข้าไม่ได้ลั่นวาจาด้วยความโกรธ ข้าพูดจากความรู้สึกที่ได้เผชิญมา รู้สึกเห็นอกเห็นใจท่าน จากตอนนั้นถึงตอนนี้ ท่านคงต้องแบกรับหนักกว่าข้าใช่หรือไม่?”
เธอเอ่ย “ท่านมีเรื่องที่ท่านอยากทำ ส่วนข้ามีคนที่ข้าต้องการปกป้อง”
อย่าว่าแต่หนึ่งฝ่ามือเลย ถึงจะต้องรับมีดกริช หากสามารถช่วยเขาผ่อนแบ่งเบาความทุกข์ได้ เฉินเสียนก็ไม่อิดออดสักนิด
ไม่รู้ว่าเกิดความรู้สึกเช่นนี้เมื่อไหร่ อาจเริ่มจากนาทีที่เขาเร่งเดินทางมาหาเธอทั้งวันทั้งคืนอย่างไม่รู้จักเหนื่อย
หรืออาจเริ่มจากตอนที่เขาอุ้มปกป้องเธอ แล้วกระโดดลงจากเนินเขาอย่างไม่คิดชีวิต ซึ่งตัวเขาเองนั่นได้หมดสติเป็นที่เรียบร้อย
พอเธอรู้ตัว ความรู้สึกเช่นนี้ก็ได้ฝังลึกลงไปเสียแล้ว